รีวิว Xiaomi Mi 6 สเปกระดับท็อป ราคาระดับกลาง
Our score
9.1

Xiaomi Mi 6

จุดเด่น

  1. ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสเปกที่ได้ และงานประกอบชั้นดี
  2. มี 2 เลนส์ เลนส์หนึ่งใช้ซูม 2 เท่า ถ่ายภาพหน้าชัด หลังเบลอได้เนียนตา กล้องระบุตำแหน่งคนได้ชัดเจน (ถ้าไม่ถ่ายเกินระยะที่กล้องแนะนำ)
  3. มีลูกเล่นที่สำคัญครบ เช่น อัดเสียงโทรศัพท์ได้ แคปจอแนวยาวได้ ลงแอป 2 บัญชีได้
  4. ออกแบบเครื่องสวยสะดุดตา ขนาดกระทัดรัด
  5. รองรับ Wifi 5 GHz ทั้งการรับสัญญาณและการทำ Hotspot

จุดสังเกต

  1. ไม่มีช่องเสียบหูฟัง! และไม่แถมหูฟังด้วย (แต่มีหัวแปลงมาให้นะ)
  2. คุณภาพภาพถ่ายยังสู้เรือธงค่ายอื่นๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะการถ่ายในที่แสงน้อย ถ่ายวิดีโอภาพสั่นจนนึกว่า Mi 6 ไม่มีกันสั่น และไม่ดึงเอาเลนส์ซูมมาใช้
  3. กล้องหน้าไม่มีโหมดหน้าชัดหลังเบลอ
  4. มีปัญหากับการแจ้งเตือนของแอป LINE ลงแอป Netflix ไม่ได้
  5. ใส่ MicroSD เพิ่มไม่ได้
  • รูปลักษณ์ภายนอก

    9.5

  • คุณภาพหน้าจอ

    9.2

  • ประสิทธิภาพเครื่อง

    9.5

  • คุณภาพกล้อง

    7.5

  • ความคุ้มค่า

    10.0

หลังจากที่ Xiaomi เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ เราก็ได้เห็นสมาร์ทโฟนสเปกแรงๆ ราคาคุ้มๆ จาก Mi มากขึ้นนะครับ ซึ่งเรือธงในปีนี้อย่าง Mi 6 ก็พร้อมให้แบไต๋รีวิวแล้ว

สเปกของ Mi 6

  • หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 835 octa-core 2.45GHz
  • GPU : Adreno 540
  • RAM : 6 GB
  • ROM : 64 GB หรือ 128 GB (ใส่ MicroSD ไม่ได้)
  • หน้าจอ : 5.15 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p อัตราส่วน 16:9
  • กล้องหลัง : กล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล กล้องตัวแรกเป็นเลนส์มุมกว้าง 27 mm f/1.8, กล้องอีกตัวเป็นเลนส์ซูม 2 เท่า 52 mm f/2.6 พร้อมแฟลช 2-tone
  • กล้องหน้า : 8 ล้านพิกเซล
  • ใส่ 2 Nano-sims แบบ Dual-standby รองรับ 4G ทั้งคู่ แต่เชื่อมต่อ 4G กับ 3G ได้พร้อมกัน
  • Android 7.1.1 ครอบด้วย MIUI 8.2
  • ราคา : รุ่นความจุ 64GB ราคา 13,790 บาท และรุ่นความจุ 128GB ราคา 15,990 บาท

ประสิทธิภาพของ Mi 6

ขอบเครื่องสีทองที่เด่นมาก

เนื่องจาก Mi 6 ใช้ซีพียูตัวท็อปในตอนนี้คือ Snapdragon 835 ประสิทธิภาพจึงไม่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่นๆ ที่ใช้ชิปตัวนี้มากครับ (แต่ที่ต่างคือราคาขายถูกกว่ารุ่นท็อปค่ายอื่นๆ เป็นหมื่น!)

  • Geekbench 4 : Single Core ได้ 1930 คะแนน, Multi Core 5489 คะแนน และ Compute (วัดผล GPU) ได้คะแนน 7735 (เทียบกับ Galaxy S8 ได้คะแนน 1960, 6439, 8333 ตามลำดับ, iPhone 8 Plus ได้คะแนน 4213, 10113, 15525 ตามลำดับ)
  • 3DMark ใช้ชุดทดสอบ Sling Shot Extreme ได้คะแนน 3024 เทียบกับ Galaxy S8 ที่ได้ 3405
  • Androbench วัดความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูล ได้ความเร็วในการอ่านต่อเนื่อง 725 MB/s เขียนต่อเนื่อง 226 MB/s

การออกแบบ Mi 6

เทียบกับ iPhone 7 ทางด้านซ้าย จะเห็นว่าเครื่องกว้างพอๆ กัน แต่ Mi 6 เครื่องยาวกว่า จอใหญ่กว่า

Xiaomi Mi 6 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนสเปกเรือธงเครื่องเล็กตัวหนึ่งในตลาดเลย ความกว้างเครื่องพอๆ กับ iPhone 6/7/8 แต่มีจอ 5.15 นิ้ว (iPhone จอ 4.7 นิ้ว) ก็ถือว่าว่าทำขอบได้เล็ก เครื่องเลยมีขนาดเล็ก ความรู้สึกในการจับถือก็มั่นคง ขนาดเครื่องพอดีมือ ฝาหลังก็โค้งรับอุ้งมือพอดี งานประกอบแน่นหนา จอภาพสดใส ดูชัดเจน ผู้ใช้จึงรู้สึกว่ามันเป็นมือถือที่มีราคา ใช้แล้วรู้สึกมั่นใจว่าถือของดีอยู่ในมือ

 แต่ความมันเงาของเครื่องก็ทำให้เกิดปัญหา 2 อย่างคือรอยนิ้วมือติดง่าย และเครื่องลื่นมากจนเวลาเอาไปวางที่ไหนต้องระวัง เครื่องอาจจะลื่นไหลตกลงพื้นเองได้ ก็อาจจะต้องใส่เคสช่วยหน่อย (แต่ความสวยจะลดไปเยอะ) 
ฝาหลังเลอะง่ายเป็นเรื่องปกติ อย่าไปคิดมาก

การดีไซน์เครื่องนั้นแปลกตาพอสมควร ด้วยดีไซน์กระจกสะท้อนขอบมนทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะเครื่องสีน้ำเงินที่ได้มารีวิว ก็สะท้อนเป็นแสงสีน้ำเงินทั้งตัวเครื่องด้านหลังและขอบจอด้านหน้า ตัดกับส่วนขอบเฟรมเครื่องที่เป็น Stainless Steel สีทอง แม้ฝาหลังสีน้ำเงินสะท้อนแสงจะคล้ายๆ กับ HTC U11 แต่ขอบสีทองนี้แปลกตากว่าเครื่องอื่นๆ

ด้านหน้าของ Mi6 นั้นมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังกระจก พร้อมปุ่ม Recent App และ Back แบบสัมผัสอยู่ด้านข้างครับ ก็สามารถเข้าไปปรับได้ว่าจะให้ปุ่มซ้ายกับปุ่มขวาเป็นอะไร แถมปรับได้อีกว่าถ้ากดปุ่มค้างจะเป็นคำสั่งอะไร ซึ่งเราชอบการออกแบบที่มีปุ่มแยกออกมาแบบนี้นะ ทำให้ไม่เสียพื้นที่หน้าจออันมีค่าของ Android

ปุ่มด้านหน้า และฟังก์ชั่น Dual App

คุณภาพกล้องของ Mi 6

การถ่ายภาพนิ่ง

ภาพจากกล้องหน้าของ Mi 6

Xiaomi Mi 6 นั้นมีกล้อง 2 ตัวเป็นเลนส์ธรรมดากับเลนส์ซูมเหมือนกับ iPhone 7 Plus ครับ การจัดเลนส์แบบนี้ถือว่าตรงจริตผู้ใช้ที่มักจะซูมภาพด้วยมือถือกันอยู่แล้ว ทำให้การซูมภาพ 2 เท่ายังมีรายละเอียดชัดเจนดีอยู่เพราะทั้ง 2 เลนส์มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากัน

และเพราะว่าเป็นระบบเลนส์คู่จึงทำให้ Mi 6 สามารถใช้เลนส์ซูม 2 เท่าถ่ายภาพโหมดหน้าชัดหลังเบลอได้เหมือน iPhone 7 Plus เป๊ะ แถมการเบลอฉากหลังถือว่าทำได้แม่นยำมาก เนียนกว่าสมาร์ทโฟนหลายๆ ตัวที่เคยได้ลองมา ถ้าเราถ่ายในระยะตัวแบบกับมือถือห่างกันไม่เกิน 2 เมตรอย่างที่ระบบแนะนำนะ แต่การทำหน้าชัดหลังเบลอทำได้กับการถ่ายภาพด้วยกล้องหลังเท่านั้น ไม่สามารถใช้กล้องหน้าถ่ายได้

โดยรวมแล้วกล้องของ Mi 6 ถือว่าดีกว่ากล้องของ Mi รุ่นอื่นๆ โดยเฉพาะการละลายหลังที่เนียนตา มีโหมดการทำงานหลายอย่าง

  • ถ่าย Panorama ได้ทั้งกล้องหลังเอาไว้ถ่ายวิว และกล้องหน้าที่เรียกว่าโหมด Group Selfies ทำให้เก็บคนได้เยอะขึ้น และเก็บวิวมาได้มากขึ้น
  • โหมดโปรที่สามารถปรับ White balance, ISO (เลือกได้สูงสุด 3200), ความเร็วชัตเตอร์ (เลือกได้ตั้งแต่ 1/1000 – 1/4s) ระยะโฟกัส
  • โหมด Tilt-Shift สำหรับถ่ายภาพให้เบลอเป็นระนาบ
  • มีฟิลเตอร์ภาพให้เลือกหลากหลาย

แต่ถ้าเทียบกับกล้องของสมาร์ทโฟนตัวท็อปรุ่นอื่นๆ ก็ยังไม่เก่งเท่านะครับ เพราะไม่สามารถถ่ายภาพแบบ RAW ได้ ภาพที่ได้มักจะออกโทนมืดๆ ทึมๆ หน่อย การถ่ายภาพในที่แสงน้อยจะเห็นว่าสีดรอปลงชัดเจน

พอแสงน้อยหน่อย รูปก็ขาดความสดใสไปเยอะ
ส่วนกล้องหน้าก็ทำงานได้ดีครับ ผิวเนียนตาดี

การถ่ายวิดีโอ

Xiaomi Mi 6 นั้นถ่ายวิดีโอได้ถึงระดับ 4K ซึ่งคุณภาพวิดีโอที่ถ่ายออกมาได้ถือว่าดูคมและดูดีทีเดียว แต่จากวิดีโอตัวอย่างเราจะเห็นปัญหา 2 อย่างของการถ่ายวิดีโอคือ

  1. Mi 6 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS แบบ 4 แกน (ตามที่หน้าเว็บบอก) แต่การถ่ายจริง ภาพสั่นไหวพอสมควร เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอื่นๆ ไม่ว่าจะถ่าย 4K หรือ Full HD ภาพจะสั่นตามการเคลื่อนกล้องหมด
  2. การถ่ายวิดีโอจะไม่ได้ใช้เลนส์ที่ 2 เลย ไม่ว่าจะซูมภาพก่อนถ่ายหรือซูมระหว่างถ่าย คือการใช้เลนส์มุมกว้างมาซูมทั้งนั้น ไม่ได้ใช้เลนส์ 2x ช่วยเลย ซึ่งในวิดีโอตัวอย่างเราถ่ายเป็น 4K จะเห็นว่าระหว่างซูมวิดีโอ มันกระตุกด้วย

ประสบการณ์การใช้งาน Mi 6

หลังจากใช้งาน Mi 6 อยู่พักใหญ่ๆ ก็สรุปประสบการณ์การใช้งานออกมาได้ดังนี้ครับ เริ่มจาก GPS ทำงานได้ดี ใช้นำทางรถยนต์ได้แม่นยำ และยังนำทางได้ไม่หวั่นแม้วิ่งใต้ทางด่วนหรือลงอุโมงค์ ไม่เจอปัญหารับสัญญาณ GPS ไม่ได้จนหยุดนำทางไป แต่เห็นหลายรีวิวในไทยเจอปัญหา GPS นะ ไม่แน่ใจว่ารอมมันแตกต่างกันรึเปล่า (เราเทสด้วย MIUI 8.5.1 Stable Global ROM) แต่เครื่องที่เราได้มารีวิว นำทางได้ดีเลย

อุปกรณ์ภายในกล่อง มีครบทุกอย่างยกเว้นหูฟัง

พอร์ต USB-C ที่มีให้พอร์ตเดียวนั้นทำงานได้หลายอย่าง นอกจากชาร์จแล้วยังสามารถเสียบฮับ USB-C เพื่ออ่าน SD Card หรือแฟลชไดร์ฟได้ด้วย

การเสียบหัวแปลง USB-C เป็นช่อง 3.5 mm เพื่อต่อหูฟังนั้นทำได้หนาแน่นดี เสียงที่ออกจากเครื่องมาถึงหูฟังก็ดีพอสมควร แต่ตามสไตล์ Mi ที่ระบบปรับแต่งเสียงในเครื่องนั้นปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับหูฟังของ Mi เป็นหลัก ถ้าใช้หูฟังอื่นๆ ก็ต้องหาตัวเลือกที่เหมาะสมกันเอง (แต่ยังไงมือถือที่มีช่อง 3.5 mm ไปเลยก็ทำให้ใช้ชีวิตได้สะดวกกว่านะ) ส่วนลำโพงของตัวเครื่อง มีด้านล่างตัวเดียว เสียงดังใช้ได้ แต่เบสไม่มีเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไปครับ

เรื่องที่ชอบในมือถือจีน Mi 6 ก็มีครบถ้วน เช่น

  • ฟังก์ชั่นการบันทึกเสียงสนทนา ถ้าเป็น iPhone ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มนะ
  • ฟังก์ชั่นแคปหน้าจอตามยาว แคปดราม่าในแอปแชทสนุกเลย
  • ความสามารถ Dual Apps ที่ใช้งานแอปอย่าง Facebook, LINE, Messenger ได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียวก็ทำได้
  • พร้อมความสามารถ Second Space ที่สร้างพื้นที่การใช้งานที่ 2 ในเครื่องได้ เหมือนมีโทรศัพท์ 2 เครื่องในเครื่องเดียว
  • App lock ที่ล็อกแอปที่ต้องการให้ใส่รหัสก่อน

เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหน้าของ Mi 6 ทำงานได้ดีตามมาตรฐานของ Android ยุคนี้ (ที่ดีกว่า iPhone อีก) คือแตะเปิดจอได้รวดเร็ว โดยที่จอไม่ต้องเปิดขึ้นมาก่อน และสามารถใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกแอปที่ใช้ App lock ได้ด้วย หรือแอปที่ทำงานกับลายนิ้วมือได้เช่น 1Password ก็ใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกได้ทันที

ชาร์จไฟได้รวดเร็ว

Mi 6 นั้นรองรับการชาร์จแบบ Quick Charge 3.0 โดยอแดปเตอร์ที่แถมมาให้สามารถจ่ายไฟได้ 3 ระดับคือ 5V 3A, 9V 2A, 12V 1.5A ซึ่ง MIUI มีข้อดีตรงรายงานได้ด้วยว่าชาร์จไฟด้วยอัตราเร็วเท่าไหร่ ทำให้รู้ว่านอกจากหัวชาร์จเร็วที่ให้มาในกล่องแล้ว เราใช้หัวชาร์จอะไรชาร์จเร็วได้อีก แต่ความอึดของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำได้กลางๆ คือใช้พ้นวันสบายๆ แต่ไม่เหลือเยอะพอสำหรับใช้วันที่ 2 สักนิดสักหน่อย ซึ่งเราก็คาดหวังว่าแบตเตอรี่ 3350 mAh มันน่าจะอึดได้กว่านี้นะ

เก็บตกประสบการณ์ที่พบเจอจาก Mi 6

  • มีรีโมทสั่งงานทีวี เครื่องเสียงได้ด้วย ด้านบนของเครื่องจะมีช่อง Infrared อยู่
  • รองรับ Wifi 5 GHz และสามารถใช้ Hotspot แบบ 5GHz ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อดีมากสำหรับคนที่ใช้ Wifi ในพื้นที่ที่มีสัญญาณหนาแน่น
  • ที่น่าแปลกใจคือลงแอป Netflix ไม่ได้เลย โดนบล็อก ส่วน iflix ลงได้ไม่มีปัญหา ใครที่ติดหนังจาก Netflix น่าจะต้องพิจารณาเรื่องนี้
  • ในระหว่างที่รีวิว การแจ้งเตือนของ MIUI นั้นมีปัญหากับ LINE คือมองไม่เห็นข้อความตัวอย่างที่เพื่อนส่งมาในไลน์ ก็ทำให้รำคาญเวลาใช้พอสมควร หวังว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคต

รุ่นความจุ 64GB ราคา 13,790 บาท และรุ่นความจุ 128GB ราคา 15,990 บาท