บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเขียนให้รูปแบบ Chronologically คือเรียงตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากลำดับการเล่นในเกมหรือสิ่งที่ตัวละครรับรู้นะครับ เนื่องจากเชื่อว่าการเขียนลักษณะนี้จะครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดได้มากกว่า และแน่นอนว่าสปอยล์หนักหน่วงมาก ใครที่ยังไม่ได้เล่นหรืออยากเสพย์เนื้อเรื่องของเกมซีรี่ส์นี้ด้วยตัวเองก่อนก็ระวังกันด้วยนะครับ

สำหรับสรุปนี้จะเป็นตอนที่ 3 ของซีรี่ส์ สรุปเนื้อเรื่องเกม Persona 5 นะครับ โดยจะเล่าในเหตุการณ์หลักของเกม นับจากช่วงหลังคดีของอิจิริวไซ มาดาราเมะ ไปจนถึงจุดพลิกผันของเรื่องราวจากคดีของคุนิคาสุ โอคุมุระ โดยผมจะข้ามคำอธิบายถึงกฏเกณฑ์และเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นที่มาที่ไปต่างๆซึ่งได้ถูกกล่าวถึงในตอนที่ 1 และ 2 แล้วเน้นที่เหตุการณ์กับตัวละครในปัจจุบันนะครับ ใครที่สนใจปูพื้นฐานจากตอนที่แล้วสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่เลยครับ

ตอนที่ 1 : โซ่ตรวนแห่งมนุษยชาติ

ตอนที่ 2 : เหล่าจอมโจรผู้ทวงคืนความยุติธรรม

ส่วนใครที่อยากข้ามไปอ่านเรื่องราวในช่วงสุดท้ายของเกม สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ

ตอนที่ 4 : บทสรุปของเกมแห่งชะตากรรม

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

หลังจากความสำเร็จของพวกเราในการจัดการกับมาดาราเมะ ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจใน Phantom Thieves อย่างจริงจัง พวกเขาต่างก็เฝ้ารอปฏิบัติการครั้งต่อไปของ Phantom Thieves และเป้าหมายที่พวกเขาจะเปิดโปง ซึ่งนั่น ก็รวมถึงอาเคจิและชิโดะที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆอีกด้วย

ภัยร้ายในเงามืด

สองวันถัดมา โคบายาวะที่โดนชิโดะเร่งให้หาตัว Phantom Thieves ให้เจอจึงได้ติดป้ายประกาศให้นักเรียนคนใดที่มีปัญหา สามารถร้องเรียนและขอคำปรึกษาจากสภานักเรียนได้ทันที โดยหวังว่าจะเป็นการเร่งให้มาโคโตะหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เย็นวันนั้นที่ห้องสภา เธอก็ได้รับคำร้องเรียนมาจริงๆ แต่กลับเป็นคำร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่มีเด็กนักเรียนโรงเรียนชูจินถูกข่มขู่หรือแบล๊คเมลล์เพื่อเรียกค่าไถ่โดยที่พวกเขาไม่สามารถแจ้งตำรวจได้ มาโคโตะจึงจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาครูใหญ่โคบายาคาวะเพื่อให้โรงเรียนออกมาตราการรับมือ ทว่า โคบายาคาวะกลับไม่สนใจและบังคับให้มาโคโตะจัดการเรื่อง Phantom Thieves ให้ได้ก่อน

วันที่ 9 มิถุนายน

เรา ริวจิ แอน และมอร์กาน่าที่อยู่ในกระเป๋าของเราต้องไปทัศนศึกษาที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ระหว่างที่กำลังจะไปหาอะไรทานก่อนกลับบ้านนั่นเอง พวกเราจะได้พบกับอาเคจิ โกโร่เป็นครั้งแรก อาเคจิจะเข้ามาทักทายเพราะได้ยินเสียงคนพูดถึงแพนเค้กที่เป็นของโปรดของเขา ก่อนที่เขาจะจากไป

ซึ่งนี่คือความผิดพลาดครั้งสำคัญของเขาเลยทีเดียว เพราะคนที่พูดเรื่อแพนเค้กมีเดียงคนเดียวเท่านั้นคือ มอร์กาน่า และอย่างที่เรารู้กันว่าคนธรรมดาที่ไม่เคยเข้าสู่ Metaverse มาก่อนจะได้ยินเสียงมอร์กาน่าเป็นเสียงเมี้ยวๆเท่านั้น การที่อาเคจิได้ยินเรื่องของแพนเค้กจึงจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวเขาในอนาคต

วันต่อมา พวกเราจะได้ดูการถ่ายทำรายการโทรทัศน์สดๆภายในสถานี ซึ่งรายการที่ว่าจะเชิญอาเคจิมาให้สัมภาษณ์เรื่อง Phantom Thieves ตอนนั้นเองที่พวกเราได้รู้ว่าอาเคจิเป็นถึงนักสืบรุ่นเยาว์ที่กำลังเป็นที่จับตามอง โดยอาเคจิจะหยั่งเชิงพวกเรา Phantom Thieves ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า แม้การการกระทำของพวกเราที่ผ่านมาจะเป็นการทำให้คนชั่วสารภาพผิด แต่การถือครองพลังในลักษณะนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการสะกดจิตซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่อันตรายมาก และการที่พวกเรากระทำการโดยปราศจากกฏหมายรองรับแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับศาลเตี้ยซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ สำหรับเขาแล้ว Phantom Thieves ก็ไม่ต่างอะไรกับอาชญากร

วันที่ 14 มิถุนายน

เราจะโดนมาโคโตะเรียกไปพบที่ห้องสภานักเรียน เธอจะเปิดเทปเสียงที่เธอแอดอัดตอนที่ริวจิและแอนเผลอพูดถึงเรื่อง Phantom Thieves ที่โรงเรียนให้เราฟังเพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวว่าพวกเราคือ Phantom Thieves ก่อนที่จะไปพบเพื่อนๆของเราที่จุดนัดพบที่ชิบุย่าพร้อมกับเรา แล้วโชว์เทปเสียงให้คนอื่นๆได้ฟังด้วย

มาโคโตะจะยื่นข้อเสนอกับเรา เพราะเธอเองก็อยากจะเชื่อว่าพวกเรากระทำการต่างๆไปด้วยเจตนาที่ดี ดังนั้นเธอจะให้โอกาสพวกเราพิสูจน์ตัวเอง โดยเธออยากจะให้พวกเรารับงานที่จะขโมยหัวใจของมาเฟียที่กำลังคุกคามนักเรียนของโรงเรียนชูจินในขณะนี้ แลกกับการที่เธอจะลบเทปเสียงเหล่านี้ซะ โดยเธอจะให้เวลาเราสองอาทิตย์เพื่อทำให้สำเร็จ แม้จะไม่ยินดีนัก แต่งานนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันที่หากเราทำได้สำเร็จ ย่อมจะสร้างความชอมธรรมและประกาศจุดยืนของกลุ่ม Phantom Thieves ได้ชัดเจนขึ้นแน่ๆ

พวกเราต่างเริ่มออกตามหาข้อมูลเพื่อระบุตัวหัวหน้าแกงค์มาเฟียนี้ทันที โดยเริ่มจากเราและแอนที่จะต้องช่วยกันหาข้อมูลจากนักเรียนที่เป็นเหยื่อของเรื่องนี้ จนเราได้ทราบว่าวิธีการของมาเฟียเหล่านี้ คือการล่อให้พวกนักเรียนไปทำงานพิเศษพร้อมเสนอเงินดีๆให้ จากนั้นพวกมันจะให้เด็กคนนั้นลักลอบขนส่งยาเสพย์ติด ระหว่างที่กำลังทำการส่งนั่นเอง พวกมันก็จะถ่ายรูปเด็กคนนั้นเอาไว้แบล๊คเมลล์ แล้วรีดไถเงินจากเด็กคนนั้นไปเรื่อยๆ หากไม่สามารถส่งเงินให้ได้ตามกำหนดก็เรื่องก็จะไปถึงผู้ปกครอง หากเป็นนักเรียนหญิงก็อาจโดนบังคับให้ทำงานค้าบริการเพื่อชำระหนี้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด โดยแหล่งล่อเด็กนักเรียนให้มาทำงานของพวกมันก็อยู่ที่ชิบุย่านั่นเอง จนในที่สุด เราก็ได้ชื่อของหัวแกงค์มาเฟียมา นั่นก็คือ จุนยะ คาเนชิโร่ (Junya Kaneshiro)

เป้าหมายที่สาม : จุนยะ คาเนชิโร่

ในวันต่อมาเราได้ใช้ชื่อ จุนยะ คาเนชิโร่ ระบุไปใน Metaverse Nav แล้วก็พบว่ามี Palace ของเขาอยู่จริงๆ จากนั้นพวกเราสามารถระบุคีย์เวิร์ดอีกสองคำได้ สถานที่คือ “เขตชิบุย่าทั้งหมด” กับ Palace ที่เป็น “ธนาคาร”

เมื่อเข้ามาใน Palace ของคาเนชิโร่แล้ว เราจะได้พบกับผู้คนที่เป็นตู้ ATM เดินไปเดินมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคาเนชิโร่มองผู้คนเป็นแค่ตู้กดเงินให้กับเขาเท่านั้น ก่อนที่พวกเราจะได้พบว่าธนาคารที่เป็นตัว Palace หลักของเขา กลับลอยอยู่กลางอากาศ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความระมัดระวังตัวของคาเนชิโร่ที่ไม่ยอมให้คนนอกรู้ถึงที่ซ่อนตัวของเขานั่นเอง เมื่อเห็นดังนั้น พวกเราที่จนปัญญาจะหาทางขึ้นไปยังธนาคารลอยฟ้านั้นจึงต้องออกมาก่อน

กุญแจสำคัญในตอนนี้คือต้องรู้ให้ได้ว่าที่ซ่อนตัวของคาเนชิโร่ในโลกของความเป็นจริงอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเองที่มาโคโตะอยากจะยื่นมือเข้ามาช่วย ก่อนที่แอนจะโมโหจนถึงกับว่ามาโคโตะ “ไร้ประโยชน์” ตอนนั้นเองที่มาโคโตะผู้ถูกกดดันถึงขีดสุดหมดความอดทนและต้องทำอะไรซักอย่าง เธอรู้ว่าพวกเราต้องการรู้ที่อยู่ของคาเนชิโร่และบอกว่าเธอจะจัดการให้เอง

มาโคโตะยอมเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้พวกมาเฟียพาเธอไปหาคาเนชิโร่ จากนั้นก็ให้พวกเราที่ต่อสายโทรศัพท์กับเธออยู่ คอยติดตามว่าเธอถูกพาตัวไปที่ไหน พวกเราที่เห็นว่าเธอวู่วามเกินไปจึงรีบขึ้นแท๊กซี่ตามไปในทันที

ในที่สุดทั้งเราและมาโคโตะก็ได้มาประจันหน้ากับคาเนชิโร่ที่รังของเขา แม้จะตกใจกับการปรากฏตัวของพวกเราเพราะเดิมทีเขาจะให้มาโคโตะมาเป็นสินค้าทางบริการของเขามากกว่า แต่ก็ไม่วายฉวยโอกาสทำให้พวกเรากลายเป็น “ลูกค้า” ของเขาไปทั้งหมดเลยแทน เขาถ่ายภาพพวกเราที่อยู่ในสถานที่แบบนี้เอาไว้เพื่อใช้แบล๊คเมลล์พวกเรากับทางโรงเรียน โดยเรียกเงินจากพวกเราถึง 3 ล้านเยน ภายใน 3 อาทิตย์

พวกเราทั้งหมดรวมทั้งมาโคโตะรอดออกมาได้พร้อมหนี้สิน 3 ล้านเยน มาโคโตะจะขอโทษขอโพยที่ความวู่วามของเธอทำให้พวกเราพลอยซวยไปด้วย ก่อนที่เธอจะเล่าสาเหตุที่เธอพยายามจะทำตัวให้มีประโยชน์กับพวกเราเหลือเกิน

มาโคโตะ นิจิมะ เป็นน้องสาวของ ซาเอะ นิจิมะ(Sae Nijima) อัยการมือดีของหน่วยสอบสวนพิเศษ มาโคโตะและซาเอะสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากนั้นหลายปีก็เสียพ่อที่เป็นตำรวจไปอีกขณะปฏิบัติหน้าที่ นั่นจึงทำให้มาโคโตะและซาเอะต้องใช้ชีวิตหลังจากนั้นตามลำพังเพียงสองคน ซาเอะผู้เป็นพี่สาวจึงต้องรับภาระในการเลี้ยงดูมาโคโตะไป เธอพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะไต่เต้าจนได้เป็นอัยการของหน่วยสอบสวนพิเศษ แม้เดิมทีซาเอะจะมุ่งมั่นที่จะเป็นอัยการเพราะได้รับแรงบันดาลมาจากพ่อของเธอ แต่ความเครียดและเหนื่อยล้ากับการต้องต่อสู้ในสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ของญี่ปุ่นก็ทำให้เธอลืมเลือนมันไป ซาเอะเริ่มโทษพ่อของเธอที่ยึดติดกับความถูกต้องจนตัวตายและทิ้งภาระทั้งหมดไว้กับเธอ เธอกลายเป็นคนที่ยึดติดกับชัยชนะและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาไม่ว่าจะด้วยวิธีที่สกปรกแค่ไหนก็ตาม ซาเอะจึงเริ่มมองมาโคโตะเป็นกาฝากในชีวิตของเธอด้วยที่เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบทำงานหาเช้ากินค่ำเพื่อส่งเสียมาโคโตะจนไม่มีเวลาและความสุขเป็นของตนเอง

ทางด้านมาโคโตะนั้น ลึกๆแล้วเธอยังยึดมั่นในความยุติธรรมและมีพ่อของเธอเป็นแบบอย่างอยู่เสมอมา นั่นจึงทำให้เธอและซาเอะเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่มาโคโตะเองก็รู้ดีว่าเธอเป็นภาระให้กับซาเอะมากเพียงใด เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ ทำผลการเรียนให้ดี ทำกิจกรรมที่เป็นผลดีต่อประวัติการศึกษา เพื่อที่จะได้มีงานดีๆทำอย่างที่ซาเอะคาดหวังเอาไว้ และที่สำคัญคือเพื่อที่จะได้เป็นอย่างซาเอะที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มาโคโตะจึงมีชีวิตโดยอยู่ภายใต้กรอบของผู้อื่นมาตลอด

จนกระทั่งคดีของคาโมชิดะและ Phantom Thieves เกิดขึ้น มาโคโตะที่จริงๆก็พอจะรู้ถึงเรื่องของคาโมชิดะทำอยู่แล้วแต่กลับไม่เคยทำอะไรกับเรื่องนี้ จึงเริ่มรู้สึกตัวและสับสน ในขณะที่ใครที่ไหนไม่รู้อย่าง Phantom Thieves สามารถจับกุมคาโมชิดะและช่วยเหลือเหล่านักเรียนที่ตกเป็นเหยื่อของเขาได้ เธอที่มีอำนาจของประธานนักเรียนอยู่ในมือกลับไม่ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือนักเรียนเหล่านั้นเลยเพราะไม่มีใครบอกให้เธอทำ ความสับสนนั้นยิ่งหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อครูใหญ่โคบายาคาวะสั่งให้เธอตามจับ Phantom Thieves ทั้งๆที่ลึกๆแล้วเธอเห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา และเมื่อเธอจะเปรยๆเรื่องนี้กับซาเอะ ก็กลับถูกตวาดใส่ว่าไม่ควรจะเอาเวลามาคิดเรื่องไร้สาระและควรจะสนใจแต่การเรียนให้สมกับที่ซาเอะอุตส่าห์ส่งเสีย เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เธอเริ่มไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าสิ่งที่เธอควรทำคืออะไร เธออยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น แต่การเชื่อฟังคำสั่งและอยูแต่ภายในกรอบมันคือคำตอบจริงๆหรือ

เมื่อได้ฟังเรื่องคร่าวๆของมาโคโตะ พวกเราก็จะพอเข้าใจเหตุผลของเธอขึ้นมา ก่อนที่มาโคโตะจะขอให้พวกเรายกเลิกภารกิจนี้ซะแล้วเธอจะหาทางจัดการกับเงิน 3 ล้านเยนให้เราเอง แต่ มอร์กาน่ากลับคิดได้ว่าเราสามารพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ ก่อนจะขอให้พวกเราพามาโคโตะเข้าไปยัง Palace ของคาเนชิโร่ด้วย

เมื่อมาถึง พวกเราจะเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับ Metaverse ให้มาโคโตะฟัง โดยแผนการของมอร์กาน่าที่ว่าก็คือการให้มาโคโตะที่ตอนนี้เป็น “ลูกค้า” ของคาเนชิโร่แล้ว ทำการขอเข้าไปในธนาคารของคาเนชิโร่ที่ลอยฟ้าอยู่ เมื่อมาโคโตะแสดงตัว ธานาคารนั้นก็ลดระดับลงมารับตัวมาโคโตะทันที

เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เราจะขอพบชาโดว์คาเนชิโร่ในฐานะลูกค้าพิเศษ ก่อนที่เขาจะสั่งลูกน้องชาโดว์ให้จัดการฆ่าทุกคนยกเว้นมาโคโตะที่เป็นลูกค้าของเขาซะ เขาจะพูดยั่วยุมาโคโตะเรื่องพี่สาวของเธอที่มีน้องสาวโง่เง่าเช่นนี้ แล้วแนะนำว่าเธอควรจะเริ่มหาลูกค้าซะ ไม่นานเธอก็จะหาเงินมามากพอที่จะใช้หนี้ได้แน่ๆ ขอแค่เธอยอมอดทนและเชื่อฟังคำสั่งก็พอ คำพูดเหล่านี้ได้จี้ปมของมาโคโตะเข้าอย่างรุนแรง เธอหมดความอดทนที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของคนอื่นเพื่อที่จะได้เป็น “นักเรียนดีเด่น” เต็มทีแล้ว ความยุติธรรมของเธอมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระพรรค์นี้เสียหน่อย

“เจ้าตัดสินใจที่ย่างก้าวไปในเส้นทางแห่งการต่อสู้แล้วสินะ”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเราก็มาทำสัญญากันเถอะ”
“ข้าคือเจ้า และเจ้าก็คือข้า”
“ในที่สุดเจ้าก็พบความยุติธรรมของตนเองแล้ว”
“ได้โปรด อย่าได้หลงลืมมันอีกเชียวล่ะ”
“วันนี้แหละคือวันสิ้นสุดการศึกษาของตัวเจ้าที่ผิดพลาด”

มาโคโตะที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตนเองก็ได้ทำสัญญากับ Persona ประจำตัวของเธอ…”ฉันจะเดินหน้าเต็มกำลัง ไม่มีหยุดยั้งอีกต่อไป ใช่มั้ย Johanna”

ด้วยพลังที่ตื่นขึ้นมาของมาโคโตะ พวกเราสามารถหนีออกมาจาก Palace ได้สำเร็จ

มาโคโตะที่ค้นพบคำตอบของตัวเองแล้วก็จะขอร่วมทีม Phantom Thieves กับเรา ซึ่งเธอก็จะช่วยจัดการกับเรื่องของครูใหญ่โคบายาคาวะให้ด้วย จากนั้นพวกเราก็จะพร้อมเริ่มภารกิจแทรกซึม Palace ของคาเนชิโร่กันอย่างเต็มตัว พร้อมกับมาโคโตะในโค้ดเนม ควีน (Queen)

เมื่อพวกเราทำการแทรกซึม Palace ของคาเนชิโร่ไปจนถึงตำแหน่งสมบัติแล้ว พวกเราก็จะส่ง Calling Card ให้กับคาเนชิโร่ ด้วยการติด Calling Card นี้ไปทั่วชิบุย่า ทำให้ผู้คนในชิบุย่าต่างก็พากันตื่นเต้นและรับรู้เรื่องของคาเนชิโร่แล้ว ทางด้านคาเนชิโร่ก็ได้ลูกน้องนำเรื่องของ Calling Card มารายงานให้ฟัง

เมื่อพวกเราบุกไปจนถึงห้องเก็บสมบัติ กลับพบว่าชาโดว์คาเนชิโร่ได้มาดักรออยู่  ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็น Bael ปีศาจแห่งความตะกละ เข้ามาปะทะกับเรา

เค้าลางที่มาพร้อมกับชื่อเสียง

พวกเราสามารถล้มเขาได้ พร้อมกับสมบัติของเขาที่เป็นแท่งทองขนาดใหญ่กระจัดกระจายไปทั่ว ชาโดว์คาเนชิโร่ที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมแพ้แต่โดยดี แต่เขาก็ได้เปรยๆกับพวกเราว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่หาประโยชน์จาก Metaverse โดยไม่สนว่าใครจะเป็นจะตายทั้งสิ้น ต่างกับพวกเราที่โง่เง่าใช้มันเพื่อผดุงความยุติธรรมไร้สาระ โดยก่อนที่เราจะทันได้ถามอะไร Palace ก็จะถล่มลงมาเสียก่อน พวกเราจึงต้องรีบขนสมบัติของคาเนชิโร่หนีออกมา ส่วนคนกลุ่มนั้นที่ชาโดว์คาเนชิโร่พูดถึงก็คืออาเคจิอีกนั่นแหละ

พวกเรามาประชุมกันต่อที่ห้องของเรา และลองเปิดกระเป๋าทองอันเป็นสภาพของสมบัติของคาเนชิโร่เมื่อมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ภายในนั้นมีแบงค์เต็มไปหมดอันแสดงให้เห็นว่าเงินนี่แหละคือบ่อเกิดแห่งแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวของคาเนชิโร่ แต่เนื่องจากทั้งหมดเป็นแบงค์กาโม่ที่มีหน้าของคาเนชิโร่พิมพ์อยู่เท่านั้น จึงมีแค่กล่องทองคำนี้ที่น่าจะพอนำไปขายได้

มาโคโตะจะติดต่อมาหาเราเพื่อรายงานว่าคาเนชิโร่ได้ถอดหนี้ของเราออกแล้ว รวมทั้งยังลบภาพถ่ายของพวกเราทุกคนด้วย และในตอนนี้พี่สาวของเธอก็กำลังคุ้มครองตัวคาเนชิโร่ที่เข้ามอบตัวและให้การสารภาพอยู่เนื่องจากคาเนชิโร่ที่ออกมาสารภาพเช่นนี้อาจจะถูกฆ่าปิดปากได้ง่าย ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเราทำสำเร็จ

คืนวันที่ 8 กรกฏาคม

คำให้การของคาเนชิโร่ก็ช่วยตำรวจดำเนินการกวาดล้างมาเฟียที่คุกคามผู้คนอยู่ในเขตชิบุย่าได้สำเร็จ ก่อนที่วันถัดมามาโคโตะจะรายงานกับโคบายาคาวะว่าเธอพิจารณาแล้วว่า Phantom Thieves ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เธอจะขอยุติการสอบสวนเรื่องนี้ซะ ซึ่งก็ทำให้โคบายาคาวะตกที่นั่งลำบากมากเพราะไม่อาจรายงานผลให้กับชิโดะได้

ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้กระแสของ Phantom Thieves ตีกลับคำให้สัมภาษณ์ของอาเคจิ ผู้คนเริ่มเชื่อถึงการมีอยู่ของพวกเราในฐานะฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ พอทางด้านอาเคจิและชิโดะได้เห็นเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเราตั้งใจที่จะทำการปฏิรูปสังคม (Social Reform) ด้วยการใช้พลังของ Metaverse เพื่อล้วงเอาความมืดในสังคมออกมาตีแผ่ ซึ่งคงจะไม่เป็นการดีต่อพวกเขาแน่หากปล่อยไว้เช่นนี้ อาเคจิจึงคิดแผนที่จะป้ายความผิดในคดี Mental Shutdown และ Psychotic breakdown ทั้งหมดที่อาเคจินั่นแหละเป็นคนก่อ ให้กับ Phantom Thieves

แต่ก่อนอื่นก็ต้องทำให้พวกเราโด่งดังกว่านี้ซะก่อน…

สาส์นท้ารบจากโลกไซเบอร์

วันที่ 18 กรกฏาคม

ได้เกิดข่าวใหญ่ขึ้น เมื่อกลุ่มนักแฮคเกอร์ที่อ้างตนเป็นผู้ผุงความยุติธรรมในโลกไซเบอร์ที่ชื่อ MedJed ได้ยื่นข้อตกลงให้กับ Phantom Thieves ผ่านเว็บไซต์ของพวกเขา ด้วยการที่กลุ่ม Phantom Thieves จะต้องเข้าร่วมกับพวกเขา ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะลงทัณฑ์ Phantom Thieves ในข้อหาที่อ้างความยุติธรรมจอมปลอม การประกาศนี้ทำให้พวกเราตกที่นั่งทำลากไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้น จึงไม่สามารถรับมือด้วยการช่วงชิงหัวใจอย่างที่ผ่านๆมาได้ ในขณะที่กระแสสังคมต่างก็เฝ้ารอการตอบโต้ของ Phantom Thieves

ตอนนั้นเองที่มีเมสเสจปริศนาส่งเข้ามาในมือถือของเราในนาม Alibaba (อะลีบาบา) โดยบุคคลปริศนานี้จะระบุว่าเขามีหลักฐานมัดตัวเรื่องที่พวกเราเป็น Phantom Thieves จากนั้นจะยื่นข้อเสนอให้กับเรา ด้วยการที่เราจะต้องทำการขโมยหัวใจของคนๆหนึ่งให้ ถ้าทำได้เขาก็จะไม่นำหลักฐานเหล่านั้นส่งให้ตำรวจ แถมยังจะช่วยเรารับมือกับ MedJed อีกด้วย ก่อนที่เขาจะส่ง Calling Card มาให้พวกเราใช้เสร็จสรรพ และระบุชื่อของเป้าหมายในข้อตกลง นั่นคือ ฟุตาบะ ซากุระ

ซึ่งตัวจริงของ Alibaba ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวฟุตาบะที่เก็บตัวอยู่ในบ้านของโซจิโร่เองนั่นแหละ

แม้จะอยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่ฟุตาบะก็เป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะความสามารถทางด้านการเขียนโค้ดและแฮคกิ้ง ตอนที่ย้ายมาอยู่กับโซจิโร่เธอจึงแอบติดเครื่องดักฟังเอาไว้ที่ Leblanc เพื่อคอยดูว่าโซจิโร่จะตั้งใจทำงานรึเปล่า ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอได้ยินเรื่องที่พวกเราเป็น Phantom Thieves เข้า ฟุตาบะจึงอยากจะที่ให้พวกเราช่วยขโมยหัวใจที่โศกเศร้าของเธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพหลอนและทุกข์ทรมานอยู่แต่ภายในห้องเช่นนี้อีกต่อไป

พวกเราที่ได้รู้ชื่อ ฟุตาบะ ซากุระ ก็นึกได้ทันทีว่า ซากุระ เป็นนามสกุลของโซจิโร่ จึงพยายามสอบถามข้อมูลจากเขา แต่โซจิโร่ที่ไม่อยากให้พวกเราเข้ามามีเอี่ยวด้วยจึงพยายามบอกปัดไปทุกครั้ง พวกจึงพยายามสอบถาม Alibaba ว่าพอจะมีทางที่เราจะได้พบกับเขาหรือคนที่ชื่อฟุตาบะนี้ไหม ฟุตาบะที่เห็นดังนั้นจึงรีบบอกยกเลิกข้อตกลงทันทีเพราะหวาดกลัวการเจอผู้คน

สถานการณ์ย่ำแย่ลงเมื่อ MedJed ได้ประกาศชัยชนะเหนือพวกเรา Phantom Thieves พร้อมกล่าวโทษสังคมญี่ปุ่นที่ถูกหลอกลวง ก่อนจะประกาศเรียกร้องให้ Phantom Thieves เปิดเผยตัวตนต่อหน้าสาธารณชน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะใช้การแฮกเข้าทำลายระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเพื่อเป็นบทลงโทษ โดยมีเส้นตายอยู่ที่ 21 สิงหาคม

ข่าวนี้ทำให้พวกเราไม่มีทางเลือก เราต้องหาทางทำอะไรซักอย่างกับ Alibaba เพื่อให้เขาช่วยพวกเรา มาโคโตะจะเริ่มปะติดปะต่ออะไรๆได้และคาดเดาว่าตัวจริงของ Alibaba น่าจะเป็นฟุตาบะเองนี่แหละ เพื่อพิสูจน์เรื่องนั้น เราจึงจะไปหาโซจิโร่ที่บ้านของเขา โดยเอาซูชิที่ตั้งใจจะซื้อกลับมาให้มอร์กาน่าทาน ใช้เป็นข้ออ้างว่าพวกเราซื้อมาฝากเขา

เมื่อไปถึงพวกเราจะพบว่าโซจิโร่ลืมล๊อคประตูไว้ พวกเราจึงขออนุญาตเข้าไปโดยพละการพร้อมกับพยายามเรียกหาฟุตาบะ ก่อนที่ไฟจะดับและเกิดความชุลมุนขึ้น ก่อนที่โซจิโร่จะกลับมาถึง พวกเราจะอธิบายเรื่องที่ซื้อซูชิมาฝากให้โซจิโร่ฟังพร้อมกับถามถึงฟุตาบะ โซจิโร่ก็เลยพาเราไปคุยที่ Lablanc แล้วอธิบายเรื่องของเขา ฟุตาบะ และวากาบะ ให้พวกเราฟัง

เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว พวกเราจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมฟุตาบะถึงอยากให้เราพวกขโมยหัวใจของเธอ ก่อนจะเช็คจาก Metaverse Nav ว่าฟุตาบะมี Palace จริงๆ สาเหตุที่ฟุตาบะมี Palace ก็เพราะความรู้สึกโทษตัวเองของฟุตาบะต่อการตายของวากาบะที่รุนแรงมากจนนำไปสู่แรงปราถนาอันบิดเบี้ยว ด้วยความคิดที่ว่า “ถ้าฉันไม่เกิดมา คุณแม่ก็คงมีความสุข” ฟุตาบะจึงขังตัวเองไว้ในห้องแห่งนี้ด้วยตั้งใจว่าที่นี่จะเป็น “สุสาน” ของเธอ

พวกเราที่ได้รู้แล้วว่าฟุตาบะมี Palace จึงต้องแอบไปหาเธอที่ห้องของเธอในวันรุ่งขึ้นเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอันจะนำมาซึ่งคีย์เวิร์ด แม้จะต้องพูดคุยกันผ่านแชทบนมือถือเพราะฟุตาบะไม่ยอมให้เราเข้าห้องของเธอแถมยังไม่ตะโกนคุยกับเราตรงๆอีกด้วย แต่ก็ทำให้เราได้คีย์เวิร์ดมาจนครบ นั่นคือ “ฟุตาบะ ซากุระ” “บ้านของซากุระ โซจิโร่” และ “สุสาน”

เป้าหมายที่สี่ : ฟุตาบะ ซากุระ

ภายใน Palace ของฟุตาบะจะเป็นปิระมิดกลางทะเลทรายอันเป็นสุสานของฟาโรห์ ที่นี่ เราจะพบว่าชาโดว์ของฟุตาบะนั้น บางครั้งก็แสดงท่าทีเป็นมิตร บางครั้งก็เป็นศัตรู นั่นก็เพราะในด้านหนึ่งชาโดว์ฟุตาบะที่เป็นตัวตนที่แท้จริงย่อมรู้ดีว่าฟุตาบะกำลังหลอกตัวเองว่าการตายของวากาบะเป็นความผิดของเธอ แต่ในอีกด้านหนึ่งความทรงจำที่บิดเบือนของฟุตาบะก็ทำให้บางครั้งชาโดว์ฟุตาบะรู้สึกโทษตัวเองขึ้นมาจริงๆเช่นกัน 

ตลอดการแทรกซึม Palace ของฟุตาบะนั้น ชาโดว์ฟุตาบะด้านที่ต้องการให้เราช่วยเหลือเธอจะคอยนำทางให้เราได้พบเบาะแสของเรื่องราวที่เปิดบ่อเกิดความบิดเบี้ยวในใจของฟุตาบะขึ้นมา จนในที่สุดเราก็มาถึงหน้าห้องเก็บสมบัติ ซึ่งประตูนี้ก็คือภาพสะท้อนของประตูห้องนอนของเธอที่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปนั่นเอง เราจึงต้องทำให้ฟุตาบะได้เห็นพวกเราเปิดผ่านประตูนั้นเข้าไปในห้องให้ได้ก่อน ประตูสู่ห้องสมบัติจึงจะเปิด

วันถัดมา เราจะไปหาฟุตาบะที่ห้องอีกครั้งและขอความร่วมมือให้เธอเปิดห้องให้เราเข้าไป แม้เธอจะอิดออดแต่สุดท้ายก็ต้องยอม เราจะได้รู้เรื่องที่แม่ของเธอเคยทำวิจัยเรื่อง Metaverse ในหัวข้อที่เรียกว่า Cognitive Pscience นั่นจึงทำให้ฟุตาบะค่อนข้างเข้าใจเรื่องของ Metaverse และสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่อยู่แล้ว ถึงได้ไหว้วานให้พวกเราช่วยตั้งแต่แรก จากนั้นเราจะส่งมอบ Calling Card ให้กับฟุตาบะ แล้วเตรียมตัวชิงสมบัติกัน

เมื่อเราไปถึงห้องสมบัติจะพบว่าไม่มีสมบัติอยู่ในนั้น ก่อนที่เราจะต้องปะทะกับวากาบะที่ปรากฏตัวขึ้นในรูปร่างของสัตว์ประหลาดคล้ายสฟิงซ์ขนาดยักษ์ อันเป็นภาพสะท้อนของวากาบะในการรับรู้ของฟูตาบะที่คิดว่าแม่ของเธอจะต้องเกลียดเธอและอยากให้เธอตายแน่ๆ

ตอนนั้นเองที่ฟุตาบะเองได้ทดลองใช้ Metaverse Nav ที่ปรากฏขึ้นมามือถือของเธอ เธอพอจะรู้มาจากการคุยกับพวกเราในครั้งก่อนว่านี่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราเข้าไปยัง Metaverse ได้ เมื่อฟุตาบะเข้ามายัง Palace ของตัวเองแล้ว ชาโดว์ฟุตาบะก็จะปรากฏตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเธอ

ชาโดว์ฟุตาบะพยายามเค้นให้ฟุตาบะเลิกหลอกตัวเองและนึกความจริงให้ออกเสียที ความทรงจำที่เธอหลงลืมไป คำสัญญาที่จะไปเที่ยวด้วยกันกับคุณแม่ ตลอดจนคำหลอกลวงในจดหมายลาตายปลอมๆ ฟุตาบะที่ได้รับความทรงจำที่แท้จริงกลับคืนมาได้ขึ้นมาพบกับพวกเราและเผชิญหน้ากับสฟิงซ์วากาบะที่สาปส่งให้เธอไปตาย ทว่าฟุตาบะในตอนนี้จะไม่หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว คุณแม่ตัวจริงที่เธอรักไม่มีทางที่จะพูดกับเธอแบบนี้ และเธอจะไม่มีวันยกโทษให้กับคนที่ฆ่าแม่ของเธอ

“พันธะสัญญาเสร็จสมบูรณ์”
“ข้าคือเจ้า และเจ้าก็คือข้า”
“ภูมิปัญญาต้องห้ามได้ถูกเปิดเผยแล้ว”
“ไม่มีภาพมายาใดๆที่จะหลอกลวงเจ้าได้อีกต่อไป”

ฟุตาบะที่เผชิญหน้ากับตัวเอง ได้ทำพันธะสัญญาแปรเปลี่ยนชาโดว์ของเธอให้กลายเป็น Persona…”Necronomicon”

ด้วยการสนับสนุนของฟุตาบะจึงทำให้เราสามารถเอาชนะสฟิงซ์วากาบะได้ ก่อนที่วากาบะในความทรงจำที่แท้จริงของฟุตาบะจะปรากฏตัวขึ้นและย้ำเตือนให้รู้ว่าวากาบะนั้นรักฟุตาบะมากเพียงใดก่อนที่เธอจะสลายไปเป็นเพียงความทรงจำ ฟุตาบะที่เหนื่อยล้าจะขอตัวไปดื้อๆ แล้ว Palace จะพังทลายลงเพราะแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวของฟุตาบะได้หายไปแล้ว นั่นก็เพราะสมบัติที่แท้จริงของ Palace แห่งนี้คือชาโดว์ของฟุตาบะที่กุมความจริงที่ฟุตาบะหลอกตัวเองมาตลอดนั่นเอง

เมื่อออกมายังโลกที่แท้จริงแล้ว เราจะแวะไปดูอาการของฟุตาบะที่ตอนนี้ยังไม่ได้สติกลับมาเลย พวกเราทุกคนจึงเป็นห่วงกันมาก ก่อนที่โซจิโร่จะอธิบายให้ฟังว่าฟุตาบะไม่ค่อยออกกำลังกายก็เลยเหนื่อยง่ายแล้วก็ชอบอยู่ดีๆก็หลับไปยาวๆดื้อๆแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่นจึงทำให้สิ่งที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ก็มีเพียงรอให้ฟุตาบะตื่นขึ้นมาแล้วช่วยเราจัดการกับ MedJed เท่านั้น

วันที่ 21 สิงหาคม

ฟุตาบะจะตื่นขึ้นมาแล้วมาปรากฏตึวถึง Leblanc ซึ่งก็ทำให้โซจิโร่ช๊อคมากแต่เขาก็ดีใจที่ในที่สุดฟุตาบะก็ยอมออกมาจากห้องเสียที จากนั้นเรากับฟุตาบะจะไปจัดการกับ MedJedกัน

ฟุตาบะทำการแฮคเข้าไปในเว็บไซต์ของ MedJed แล้วเปิดโปงหนึ่งในแอดมินของ MedJed ที่เป็นผู้ประกาศท้า Phanton Thieves ขึ้นบนหน้าเว็บไซต์ อันเป็นการประกาศชัยชนะที่พวกเรามีต่อ MedJed อย่างสมบูรณ์ เหตุการณ์นี้ได้ทำให้กระแสสังคมที่มีต่อพวกเราแปรไปในทางบวกอย่างมาก พวกเราในตอนนี้จึงกลายเป็นฮีโร่ที่ไม่ว่าใครก็ฉุดไม่อยู่แล้ว

ทว่า ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นแผนของอาเคจิและชิโดะ

จริงๆแล้วอาเคจิได้ไหว้วานให้ประธานบริษัทไอทีแห่งหนึ่งผู้เป็นพรรคพวกของชิโดะแฮคระบบของ MedJed แล้วโพสต์สาส์นท้าทั้งหมดนั่นโดยไม่ได้มีความตั้งใจจะโจมตีเศรษฐกิจของญี่ปุ่นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นการจัดฉากเพื่อทำให้ชื่อเสียงของ Phantom Thieves ยิ่งโด่งดังมากขึ้นต่างหาก โดยหากพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้จนถึงเส้นตาย ทางอาเคจิก็จะให้ MedJed แสร้งทำเป็นประกาศยอมแพ้เสียเองอยู่ดี แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ทำให้ทางอาเคจิได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาด้วยว่าในกลุ่มพวกเรามีคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไอทีอยู่ ไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามแผน ซึ่งขั้นต่อไปของพวกเขา ก็คือการป้ายความผิดให้กับพวกเราที่กำลังโด่งดังสุดๆนี่แหละ

พวกเราในตอนนี้ที่กำลังมาแรงและเป็นฮีโร่ขวัญใจมหาชนไปแล้วพร้อมกับได้ฟุตาบะมาเป็นหน่วยสนับสนุนจึงมีกำลังเต้มเปี่ยมและพร้อมจะลุยเป้าหมายต่อไปกันแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราก็ตัดสินใจจะช่วยกันทำให้ฟุตาบะมีความกล้าที่จะออกไปเจอผู้คนข้างนอกบ้านเสียก่อน ซึ่งระหว่างนั้นพวกเราก็จะได้รู้ว่าที่ฟุตาบะสามารถจัดการกับ MedJed ได้อย่างง่ายดายก้เพราะเธอนี่แหละที่เป็นคนก่อตั้ง MedJed ขึ้นมาไว้สำหรับค้นหาข้อมูลในคดีของแม่เธอ แต่พอนานๆเข้าก็มีแฮคเกอร์คนอื่นอ้างชื่อ MedJed มากขึ้นเธอก็ตัดสินใจเลิกใช้แล้วหันไปใช้ชื่อ Alibaba แทน แล้วพวกเราจะสรุปโค้ดเนมของเธอกัน ซึ่งก็คือ นาวิ (Navi) ในภาคภาษญี่ปุ่น และ ออราเคิล (Oracle) ในภาคภาษาอังกฤษ

หลังจากพาฟุตาบะไปเที่ยวชายหาดอันเป็นการสิ้นสุดโปรแกรมฝึกฝนฟุตาบะให้พบปพผู้คนได้แล้วก็ถึงเวลาหาข้อมูลของเป้าหมายต่อไป พวกเราตกลงกันว่าจะต้องหาตัวคนที่ฆ่าแม่ของฟุตาบะให้ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเราต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคดี Mental Shutdown และ Psychotic Breakdown ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับอาการของวากาบะขณะถูกรถชน ตอนนั้นเองที่มาโคโตะเสนอเรื่องที่พี่สาวของเธอกำลังทำคดีนี้อยู่พอดี ฟุตาบะจึงวานให้มาโคโตะหาจังหวะนำ Thumb Drive ของเธอไปแอบก้อปปี้ข้อมูลจากแล๊บท้อปของซาเอะให้หน่อย แม้จะลำบากใจแต่มาโคโตะรับหน้าที่นี้และทำได้สำเร็จ

เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ฟุตาบะก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการประมวลข้อมูลออกมา ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่พวกเราปีสองต้องไปทัศนศึกษาที่ฮาวายกันพอดี โดยมีมาโคโตะรุ่นพี่ปีสามบางคนถูกทางโรงเรียนไหว้วานให้ตามไปดูแลด้วย

ระหว่างที่พวกเราส่วนใหญ่อยู่ที่ฮาวาย โดยทิ้งมอร์กาน่าและฟุตาบะให้จัดการเรื่องข้อมูลอยู่ทีบ้านนั้น ก็เกิดเรื่องขึ้น

ผู้อำนวยการโคบายาวะที่ไม่สามารถหาตัว Phantom Thieves ให้กับชิโดะได้ได้ถูกชิโดะตัดเส้นสายไป โคบายาคาวะที่เห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะเอาเรื่องของชิโดะและเครือข่ายของเขาไปแจ้งให้ตำรวจทราบ ทว่าขณะกำลังเดินทางไปยังสถานีตำรวจนั่นเอง อาเคจิก็ได้จัดการสังหารชาโดว์ของโคบายาคาวะและทำให้เขาเกิดอาการ Mental Shutdown จนถูกรถชนตายคาที่ทันที

กระแสแห่งสังคมอันน่าหวาดหวั่น

เมื่อพวกเรากลับมาที่ญี่ปุ่น ฟุตาบะจะรายงานให้ทุกคนทราบถึงข้อมูลที่ได้มา ซึ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับ Mental Shutdown และ Psychotic Breakdown ที่ซาเอะรวบรวมมาได้ส่วนใหญ่นั้น ดูเหมือนจะมีผู้ที่ได้ประโยชน์จากคดีเหล่านั้นเป็นพิเศษคือชายที่ชื่อ คุนิคาสุ โอคุมุระ (Kunikazu Okumura) ประธานบริษัท Big Bang Burger แฟรนไชส์เบอร์เกอร์ที่กำลังขยายสาขาไปทั่วโลก ด้วยการใช้ประโยชน์จากคดีเหล่านั้นในการตัดคู่แข่งทางการค้า ซึ่งก็ตรงกับโพลในเว็บ Phan-Site ที่ชาวเน็ตต่างก็โหวตให้เราขโมยหัวใจของคนๆนี้เช่นกัน เนื่องจากมีข่าวลือว่าเขาใช้งานและกดขี่พนักงานของเขาเยี่ยงทาส หนำซ้ำฟุตาบะยังได้ลองใส่ชื่อของเขาลงใน Metaverse Nav แล้วก็พบ Palace อีกด้วย เป็นที่ชัดเจนว่าคุนิคาสุนี่แหละเหมาะมากที่จะเป็นเป้าหมายต่อไป 

ทว่ายูสุเกะและแอนก็เกิดลังเลขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าการที่พวกเรารีบด่วนสรุปเพียงเพราะได้รับการสนับสนุนจากผลโหวตใน Phan-Site และข่าวลือต่างๆเช่นนี้ทำให้พวกเขากังวลและคิดว่าเราควรจะรอให้กระแสอะไรๆมันสงบลงก่อน การที่ทุกคนเริ่มหวั่นไหวทำให้มอร์กาน่าฉุนขาด เขาเห็นว่าพวกเราถูกกระแสสังคมสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากเกินไปแล้ว ทั้งๆที่เดิมทีพวกเราก่อตั้งขึ้นเพื่อจะช่วยเหลือผู้คนโดยไม่เกี่ยงว่าสังคมจะคิดยังไง โดยเฉพาะริวจิที่เป็นคนที่ถูกกระแสสังคมทำให้หลงระเริงกับชื่อเสียงมากที่สุด ก่อนที่มอร์กาน่าจะตัดสินใจอาสาจะจัดการกับคุนิคาสุด้วยตัวคนเดียว

ซึ่งเหตุผลของมอร์กาน่านั้นไม่ได้มีเพียงแค่นั้น อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาโมโหมากเป็นพิเศษก็เพราะพักหลังมานี่ริวจิชอบพูดจาเหมือนเขาไม่มีประโยชน์ด้วย ตั้งแต่ที่มาโคโตะและฟุตาบะร่วมทีมมา มันสมองของทีมก็ดูเหมือนจะไปอยู่ที่ทั้งสองคนนั้น ทำให้มอร์กาน่าที่คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาของทีมมาตลอดรู้สึกด้อยค่าลง พอได้มาเห็นพวกเราที่หวั่นไหวง่ายๆแบบนี้แล้ว เขาจึงอยากจะพิสูจน์ให้ดูว่าเขามีประโยชน์กับพวกเราจริงๆ

คืนนั้นมอร์กาน่าได้ไปบุก Palace ของคุนิคาสุด้วยตนเอง โดยระหว่างที่มอร์กาน่ากำลังจะเข้า Palace ของคุนิคาสุที่อาคารสำนักงานของ Okumura Food นั้น ก็ดันมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งไล่ตามมอร์กาน่ามาเพราะเข้าใจว่ามอร์กาน่าเป็นแมวที่ดูเหงาและน่าสงสาร จนทำให้เด็กคนนั้นบังเอิญเข้ามาใน Palace ด้วยพอดี มอร์กาน่าที่ไม่สามารถเอาตัวรอดในการต่อสู้กับชาโดว์ใน Palace ของคุนิคาสุด้วยตัวเองได้ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสาวน้อยคนดังกล่าว

วันต่อมาพวกเราจะได้เห็นข่าวการบุกรุกอาคารสำนักงานของ Big Bang Burger ทำให้พวกเราคิดว่าต้องเป็นมอร์กาน่าแน่ๆ พวกเราจึงรีบรุดไปที่อาคารสำนักงานดังกล่าวในวันต่อไปทันทีด้วยเป็นห่วงความปลดภัยของมอร์กาน่า ซึ่งฟุตาบะจะสืบหาคีย์เวิร์ดจนเจอมาเตรียมพร้อมให้พวกเราอยู่แล้ว ได้แก่ ชื่อ “คุนิคาสุ โอคุมุระ” สถานที่ “อาคารสำนักงานใหญ่” และตัว Palace คือ “อวกาศ (Outer Space)” ก่อนที่พวกเราจะออกคำสั่งให้ Metaverse Nav นำเราเข้าไปทันที โดยไม่รู้เลยว่า ใกล้ๆกันนั้น อาเคจิได้แอบดักรอการปรากฏตัวของพวกเราอยู่แล้ว

ภายใน Palace ของคุนิคาสุ จะมีลักษณะเป็นสถานีอวกาศ ภายในนั้นเราจะได้เห็นหุ่นยนต์จำนวนมากที่โดนบังคับให้ทำงานอย่างไม่มีหยุดพัก หากพังก็จะถูกนำไปทิ้ง อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของคุนิคาสุ พนักงานของเขาก็เป็นเพียงหุ่นยนต์ทาสที่ต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง และถ้าหุ่นยนต์นั้นพังก็แค่เอาไปทิ้งแล้วหาตัวใหม่มาทำแทนเท่านั้น

เมื่อเราสำรวจลึกเข้าไปจะพบกับประตูตรวจสอบบุคคลที่ได้รับอณุญาตให้ผ่านเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราจะไม่สามารถผ่านได้ ตอนนั้นเอง ที่เด็กสาวปริศนาผู้สวมใส่หน้ากากสีดำปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับมอร์กาน่า เขาจะแนะนำว่าเธอคือ จอมโจรแสนสวย (Beauty Thief) คู่หูคนใหม่ของเขา เขาและจอมโจรแสนสวยจะเป็นผู้ขโมยสมบัติของคุนิคาสุเอง จากนั้นประตูตรวจสอบจะเปิดต้อนรับจอมโจรแสนสวย แต่ภายในกลับมีชาโดว์เต็มไปหมด พวกเราทุกคนจึงต้องหนีออกมาตั้งหลักกันก่อน

พวกเราจะคุ้นหน้าของจอมโจรแสนสวยและคิดว่าเธอน่าจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนชูจินเรานี่แหละ พวกเราจึงจะเช็คจากทะเบียนรายชื่อนักเรียนกัน

ในวันรุ่งขึ้นพวกเราจะหาตัวจริงของจอมโจรแสนสวยจากในทะเบียนพบในที่สุด ชื่อของเธอคือ ฮารุ โอคุมุระ (Haru Okumura) ลูกสาวแท้ๆของคุนิคาสุ โอคุมุระ นั่นเอง ก่อนที่เราและมาโคโตะจะได้พบกับเธอที่กำลังทำสวนของโรงเรียนอยู่ เธอจะเล่าเรื่องที่เธอได้พบกับมอร์กาน่าและได้เข้าไปใน Palace ของคุณพ่อของเธอให้เราฟัง และบอกจุดประสงค์ของเธอว่าเธอต้องการที่จะไถ่บาปให้กับสิ่งที่คุณพ่อทำกับพนักงานในบริษัทจึงได้ร่วมมือกับมอร์กาน่าในการขโมยหัวใจของเขา ซึ่งเธอจะทำมันร่วมกับมอร์กาน่าเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะมอร์กาน่าบอกว่าพวกเราทำตัวไม่สมเป็น Phantom Thieves

คืนนั้นแอนจะติดต่อผ่านแชทกลุ่มของพวกเราว่ามีบางคำร้องขอเล็กๆในเว็บ Phan-Site ที่ได้รับการจัดการแล้ว ทั้งที่จริงๆพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกคนจึงเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือมอร์กาน่ากับฮารุแน่ๆ พวกเราจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้เราจะไปดักรอมอร์กาน่ากับฮารุที่ Mementos กัน

พวกเราดักรออยู่ที่ Mementos โดยตั้งใจว่าจะช่วยๆกันขอโทษมอร์กาน่า จนเมื่อมอร์กาน่าและฮารุมาถึง ทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้สวย แต่ริวจิกลับเผลอพูดแย่ๆออกมาอีกเลยทำให้เสียแผนหมด มอร์กาน่าและฮารุจึงได้หนีไป

มอร์กาน่าและฮารุหนีออกไปจาก Mementos ได้สำเร็จ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในชิบุย่านั่นเอง ฮารุก็บังเอิญไปเจอกับ สุกิมุระ (Sugimura) ลูกชายของนักการเมืองผู้มีอิทธิพลและเป็นคู่หมั้นของฮารุ สุกิมุระจะโกรธมากที่เห็นฮารุมาเดินในย่านชิบุย่าดึกๆดื่นๆแบบนี้ พร้อมกับกล่าวหาว่าเธอมาเที่ยวกับผู้ชาย ก่อนจะคว้าแขนบังคับให้เธอไปกับเขา มอร์กาน่าในร่างของแมวที่พยายามจะเข้าไปช่วยก็ถูกเตะอัดกำแพงเข้าอย่างจัง พวกเราที่พึ่งออกมาจาก Mementos จะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากมอร์กาน่าพอดี ก่อนจะเข้าไปขวางสุกิมุระที่พยายามจะบังคังฮารุให้ไปกับเขา สุกิมุระที่โกรธจัดขู่จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อของฮารุก่อนจะจากไป

พวกเราจะพาฮารุและมอร์กาน่าไปพักที่ห้องของเรา เมื่อฮารุตื่นขึ้นมา เธอจะยอมรับว่าจริงแล้วๆ เหตุผลสำคัญที่เธออยากจะขโมยหัวใจของพ่อของเธอก็คือเรื่องของสุกิมุระนี่แหละ

ฮารุ โอคุมุระ เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของ คุนิคาสุ โอคุมุระ เศรษฐีและประธานบริษัท Okumura Food รุ่นที่สามซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชซ์ฟ้าสฟู้ดชื่อดัง Big Bang Burger สมัยที่ฮารุยังเล็ก Okumura Food เป็นเพียงบริษัทที่เปิดร้านกาแฟเล็กๆโดยมีคุณปู่ของเธอเป็นเจ้าของกิจการ ด้วยความที่คุณปู่ของเธอมีจิตใจเมตตาและต้องการให้ร้านกาแฟนี้เป็นที่พักใจสำหรับลูกค้า เขาจึงดำเนินกิจการโดยไม่แสวงหาผลกำไร นั่นจึงทำให้เมื่อคุณปู่ของเธอเสีย เขาก็ได้ทิ้งหนี้จำนวนมหาศาลไว้กับคุนิคาสุผู้เป็นพ่อของเธอ

ในวัยเด็ก คุนิคาสุ เคยอยากได้ของเล่นที่เป็นโมเดลยานอวกาศมากๆ แต่ด้วยฐานะทางการเงินที่ไม่ดี คุณปู่ของฮารุจึงไม่ยอมซื้อให้ไม่ว่าเขาจะขอร้องแค่ไหนก็ตาม สิ่งนี้ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้คุนิคาสุหลงใหลในความสำเร็จ ทันทีที่คุณปู่ของฮารุเสีย เขาที่ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทจึงปิดกิจการร้านกาแฟ แล้วหันไปลงทุนในกิจการอาหารฟ้าสฟู้ดแทน โดยใช้ชื่อแบรนด์ Big Bang Burger อันได้แรงบันดาลใจมาจากโมเดลยานอวกาศอันนั้น ความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญในการรับผิดชอบบริษัทและปลดหนี้สินที่คุณปู่ของฮารุเป็นผู้ก่อขึ้นทำให้คุนิคาสุเริ่มมองทุกอย่างเป็นเรื่องของธุรกิจและผลประโยชน์ จากที่เขาเคยตั้งใจจะทำให้ Big Bang Burger เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงและสร้างความสุขให้แก่ทุกคน เขาก็มองมันเป็นฐานเหยียบที่จะส่งเขาไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น นั้นจึงทำให้ในสายตาของคุนิคาสุ เหล่าลูกจ้างพนักงานทั้งหลายก็เป็นเพียงเครื่องจักรที่เขาลงทุนจ้างมาทำงานให้ ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องใส่ใจความเป็นอยู่ของเครื่องจักรเหล่านั้น หากพวกมันพังจนใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาก็แค่กำจัดทิ้งและเปลี่ยนใหม่เท่านั้น

เพราะความสำเร็จของคุนิคาสุผู้เป็นพ่อ ฮารุจึงมีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบายมาตลอด แต่นั่นก็แลกมากับอิสรภาพของเธอ ฮารุไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง เธอได้แต่ทำทุกอย่างตามคำสั่งของคุณพ่อของเธอ ผู้มองเธอเป็นเพียงทรัพย์สินสำหรับใช้เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น และในตอนนี้เขาก็กำลังจะใช้เธอเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์กับนักการเมืองผู้มีอิทธิพล ด้วยการจับคลุมถุงชนเธอให้หมั้นกับสุกิมุระ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จอันใหม่ของเขา นั่นก็คือการไต่เต้าไปสู่โลกของนักการเมือง ดังนั้น แม้ฮารุจะรังเกียจคนอย่างสุกิมุระมากเพียงใด เธอก็ไม่คิดขัดขืนคำสั่งจากพ่อของเธอ

จนกระทั่งฮารุได้มาพบกับมอร์กาน่าและพวกเรา Phantom Thieves และได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนหัวใจของผู้คน ตอนนั้นเองที่ฮารุตัดสินใจที่จะลองต่อสู้เพื่อตนเองดูสักครั้ง และนั่นก็ทำให้จิตวิญญาณแห่งการกบฏของเธอตื่นขึ้นมาส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่มากพอที่เธอจะทำพันธสัญญาในการยืมพลังของ Persona มาใช้ได้

ทางพวกเราเองเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็อยากที่จะช่วยเหลือฮารุ รวมทั้งเปิดโปงเรื่องแย่ๆที่คุนิคาสุกระทำกับพนักงานของเขา ก่อนที่จะปรับความเข้าใจกับมอร์กาน่าเสียให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็ได้เวลาลุยภารกิจแทรกซึม Palace ของโอคุมุระกัน

เป้าหมายที่ห้า : คุนิคาสุ โอคุมุระ

วันถัดมา คุนิคาสุจะสั่งให้ฮารุย้ายไปอยู่กับสุกิมุระ ในวันที่ 11 ตุลาคม แม้จะยังไม่มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่ก็เพื่อเป็นการเอาอกเอาใจสุกิมุระและลงโทษสิ่งที่ฮารุสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซึ่งนี่ก็จะเป็นเส้นตายในภารกิจของเรา

ระหว่างทางขณะแทรกซึมไปใน Palace ของคุนิคาสุ เราจะได้พบกับชาโดว์คุนิคาสุที่ดักรอเราอยู่ เมื่อชาโดว์คุนิคาสุรู้ว่าฮารุทรยศเขา เขาก็จะไม่เห็นค่าของเธอในทันที ก่อนที่จะยกเธอให้กับสุกิมุระ (ที่เป็นเพียงภาพสะท้อนของสุกิมุระตัวจริง) เอาไปทำอะไรก็ได้ จะเป็นชู้ เป็นของเล่น อะไรก็ตามที่ทำให้เขาพอใจและยังคงเส้นสายกับ Okumura Food ไว้อยู่ก็พอ ฮารุที่ได้ประจักษ์กับตาตัวเองแล้วว่าผู้เป็นพ่อกลับมองเธอเป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น จึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด หมดเวลาสำหรับการเป็นตุ๊กตาที่ยอมเชื่อฟังทุกอย่างแล้ว วันนี้เธอจะขอทรยศทุกสิ่งเพื่ออิสรภาพของเธอล่ะ

“ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจได้แล้วสินะ เจ้าหญิงผู้น่ารักของฉัน”
“อิสรภาพของเธอจะต้องได้รับมาจากการทรยศเท่านั้น”
“หากเธอยังคงเพรียกหามันล่ะก็ จงอย่าได้พลาดพลั้งเชียวล่ะ”
“ไหนตอบฉันมาซิ ใครกันแน่ ที่เธอต้องทรยศ”
“ใช่แล้ว สายตานั่นแหละ ทีนี้ฉันก็จะได้สำแดงพลังที่แท้จริงของตนเองเสียที”
“ข้าคือเจ้า และเจ้าก็คือข้า”
“เรามาเฉลิมฉลองการก้าวสู่อิสรภาพของเธอด้วยการทรยศอันแสนสวยงามกันเถอะ”

ฮารุที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตนเองก็ได้ทำสัญญากับ Persona ประจำตัวของเธอ…”Milady”

เมื่อพวกเราสามารถเคลียร์เส้นทางไปถึงสมบัติของ Palace แห่งนี้ได้แล้ว ก็ได้เวลาส่ง Calling Card ให้กับคุนิคาสุ โดยฮารุจะเป็นคนแอบเอาไปไว้ในห้องทำงานของคุนิคาสุเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะได้อ่านเอง

วันถัดมาเมื่อคุนิคาสุได้รับและอ่าน Calling Card แล้ว เขาจะแจ้งเรื่องนี้กับทางตำรวจให้มาคุ้มครองเขาทันที แม้นั่นจะทำให้เขาถูกสงสัยเนื่องจากได้รับ Calling Card เหมือนกับอาชญากรคนก่อนๆหน้าจนอาจกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวก็ตาม แต่เขาก็พร้อมจะเดิมพันกับมัน 

การตอบโต้ของคุนิคาสุทำให้พวกเราเป็นกังวล เนื่องจากตอนนี้สังคมได้รับรู้ว่าเขาได้รับ Calling Card ไปแล้ว นั่นจึงทำให้กระแสความคิดเห็นบนอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องนี้ล้นทะลักและบ้าคลั่ง พวกเราเริ่มหวั่นไหวอีกครั้งเพราะแบบนี้มันเหมือนพวกเราเป็นเครื่องมือสร้างความบันเทิงให้กับสังคมก็ไม่ปาน แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ทั้งเรื่องของฮารุและความจริงที่คุนิคาสุกระทำผิดต่อพนักงานของเขาตลอดจนความเกี่ยวข้องกับคดี Mental Shutdown ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อตัดสินใจได้ พวกเราก็ออกปฏิบัติภารกิจตามแผน

เมื่อมาถึงภายใน Palace พวกเราจะพบว่าชาโดว์คุนิคาสุได้นำสมบัติของเขาเตรียมขึ้นยานหนีไปบนอวกาศแล้ว และจะระเบิดสถานีอวกาศแห่งนี้ในไม่ช้า พวกเราจึงต้องไล่ตามเขาไป จนได้ประจันหน้ากันที่จุดยืนขึ้นลานเทคออฟของยานอวกาศ ชาโดว์คุนิคาสุจะเปิดเผยตัวตนในฐานะของ Mammon ปีศาจแห่งความโลภออกมา

เมื่อเราเอาชนะชาโดว์คุนิคาสุและช่วงชิงสมบัติมาได้แล้ว เราจะพยายามเค้นความเกี่ยวข้องของเขากับคดี Mental Shutdown ซึ่งเขาก็จะยอมรับว่าเขาลงทุนไปกับการใช้บริการดังกล่าวเพื่อขจัดคู่แข่งทางการค้าของเขา แต่ก่อนที่เราจะทันได้เค้นเขาต่อว่าผู้ให้บริการเหล่านั้นคือใคร Palace ของเขาก็จะนับถอยหลังสู่การระเบิดเสียก่อน พวกเราจึงต้องรีบหนีออกมา

พวกเราออกมาได้สำเร็จ เมื่อฮารุได้เห็นสมบัติของคุนิคาสุที่เป็นของเล่นโมเดลยานอวกาศก็นึกออกว่านี่คงเป็นของของเล่นที่พ่อของเธอเคยเล่าให้ฟังว่าเขาอยากได้มากๆตอนยังเด็ก ซึ่งมันก็ได้กลายมาเป็นบ่อเปิดแห่งแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวของเขานั่นเอง จากนั้นสิ่งที่พวกเราทำได้ก็มีเพียงรอฟังคำสารภาพของคุนิคาสุเท่านั้น

โดยหารู้ไม่ว่า ตอนที่พวกเราหนีออกมาจาก Palace นั้น อาเคจิที่แอบเฝ้าดูการต่อสู้ของพวกเราอยู่ ได้ปรากฏตัวออกมาสังหารชาโดว์คุนิคาสุอย่างเลือดเย็น เพราะทั้งหมดนี่แหละ คือแผนของเขาและชิโดะ

แผนการของพวกเขาคือใช้คดี MedJed ทำให้ Phantom Thieves โด่งดัง ก่อนที่จะทำให้กระแสเหล่านั้นตีหลับด้วยการป้วยความผิดให้กับพวกเรา โดยการแฮคเว็บ Phan-Site เพื่อให้ยอดโหวตคำร้องขอขโมยหัวใจของคุนิคาสุ โอคุมุระ พุ่งขึ้นอันดับหนึ่ง เพื่อบีบให้พวกเราต้องรับงานนี้โดยมีประชาชนเป็นสักขีพยาน แล้วอาเคจิจะดักรอวันที่พวกเราเข้า Palace ของคุนิคาสุเพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา ซึ่งก็คือวันที่พวกเราไปตามหามอร์กาน่านั่นเอง เท่ากับว่าตอนนี้อาเคจิรู้แล้วว่าพวกเราคือ Phantom Thieves 

จากนั้น เขาก็จะรอวันที่พวกเราทำการแย่งชิงสมบัติมาจาก Palace ของคุนิคาสุได้สำเร็จ เพื่อหลอกให้พวกเราตายใจ แล้วจึงจะกำจัดขาโดว์คุนิคาสุทิ้ง และใช้วิธีการบางอย่างควบคุมให้อาการ Mental Shutdown เกิดขึ้นตอนที่คุนิคาสุออกมาสารภาพผิดพอดี ซึ่งประชาชนที่รู้อยู่แล้วว่าคุนิคาสุเป็นเป้าหมายล่าสุดของ Phantom Thieves ย่อมต้องเข้าใจว่าการ Mental Shutdown นี้เป็นฝีมือของพวกเราไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น คดี Mental Shutdown และ Psychotic Breakdown ทั้งหมดที่ยังไม่ถูกคลี่คลายก็จะถูกโยนมาเป็นความผิดของพวกเราทันที ประชาชนจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเรา Phantom Thieves เป็นฆาตรกรที่ทำตัวเป็นฮีโร่มาตลอด กระแสสังคมจะตีกลับและสาปส่งพวกเราอย่างรุนแรง และตอนนั้นเอง ที่อาเคจิ จะดำเนินแผนการขั้นสุดท้าย เพื่อให้ตนเองได้กลายเป็นฮีโร่ผู้จับกุมพวกเรา โดยที่ผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของแผนการนี้ก็คือการกำจัดคุนิคาสุออกไปอย่างเนียนๆด้วย แม้เดิมทีคุนิคาสุจะเป็นลูกค้าผู้อัดฉีดเงินให้กับชิโดะเพื่อใช้บริการของอาเคจิ แต่ข่าวอื้อฉาวต่างๆเกี่ยวกับคุนิคาสุก็ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีการสาวมาถึงพวกเขาได้ นั่นจึงทำให้การกำจัดคุนิคาสุออกไปถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมในเวลาเดียวกัน

วิกฤตการณ์ของเหล่าจอมโจร

วันที่ 11 ตุลาคม

พวกเราจะรอฟังคำสารภาพของคุนิคาสุแบบถ่ายทอดสดด้วยกัน เมื่อถึงเวลา คุนิคาสุก็ออกมาให้สารภาพตามปกติ จนกระทั่งตอนที่เขากำลังจะสารภาพความเกี่ยวข้องของเขากับคดี Mental Shutdown และ Psychotic Breakdown ตอนนั้นเองที่อาเคจิจัดการให้อาการ Mental Shutdown แสดงผลทันที คุนิคาสุเสียชีวิตต่อหน้าผู้ชมทั้งประเทศที่ดูการถ่ายทอดสดอยู่

ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่อาเคจิได้วางไว้ กระแสสังคมตีกลับอย่างรุนแรง นับวันผู้คนเริ่มแสดงความเกลียดชังที่มีต่อ Phantom Thieves มากขึ้นเรื่อยๆ จากฮีโร่ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากทั่วประเทศ กลายเป็นอาชญากรภายในชั่วข้ามคืน เมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน ผู้กำกับหน่วยสืบสวนพิเสษที่เป็นจริงๆแล้วเป็นพรรคพวกกับชิโดะก็ได้สั่งให้ซาเอะ ขึ้นเป็นผู้นำทีมสอบสวนในการตามหาและจับตัว Phantom Thieves ทันที ด้วยมีเป้าหมายเพื่อเป็นกดดัน Phantom Thieves ให้หนักข้อยิ่งขึ้นตามแผนการของอาเคจิ

ซาเอะได้นำทีมสอบสวนเข้าตรวจสอบโรงเรียนชูจิน ด้วยเชื่อว่ากลุ่ม Phantom Thieves จะต้องเป็นนักเรียนชูจินแน่ๆจากเรื่องของคาโมชิดะที่เป็นเป้าหมายแรกของพวกเรา นักเรียนและคณาจารย์ค่อยๆถูกเรียกตัวมาสอบปากคำทีละคนๆพร้อมกับมีเจ้าหน้าที่จับตามองตลอดเวลา

แล้วอาเคจิ ก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง

อาเคจิได้ให้สัมภาษณ์ออกทีวีถึงเรื่องของ Phantom Thieves ในคราวนี้ เขากลับให้ความเห็นว่าเขาไม่เชื่อว่าพวกเราจะเป็นผู้ร้ายในคดี Mental Shutdown และ Psychotic Breakdown ซึ่งเมื่อรายการนี้ออกอากาศ ก็ประจวบเหมาะกับที่ในไม่กี่วันข้างหน้า ทางโรงเรียนชูจินจะมีการจัดงานโรงเรียนพอดี โดยจะมีกิจกรรมสัมภาษณ์วิทยากรที่เลือกจากคะแนนโหวตของนักเรียนทุกคน ซึ่งคนที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดก็คืออาเคจินี่เอง

พวกเราจึงได้หารือกันในเรื่องนี้ ซึ่งมาโคโตะก็จะตัดสินใจว่าจะเชิญอาเคจิมาเป็นวิทยากรจริงๆตามเสียงเรียกร้อง เพราะจากบทสัมภาณ์ของเขา ทำให้เธอคิดว่าบางทีเราจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้

วันที่ 26

ตุลาคม อาเคจิที่ตอบรับคำเชิญเป็นวิทยากรก็ได้มาให้สัมภาษณ์บนเวที โดยมีมาโคโตะเป็นผู้สัมภาษณ์ด้วยตนเอง มาโคโตะจะพยายามยิงคำถามไล่ต้อนให้อาเคจิคายข้อมูลที่เขารู้เกี่ยวกับ Phantom Thieves ออกมาให้ได้มากที่สุด ตอนนั้นเองที่อาเคจิประกาศว่าพอจะรู้ตัวจริงของกลุ่ม Phantom Thieves แล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ประกาศชื่ออกมา เขาจะแสร้งทำเป็นได้รับโทรศัพท์เพื่อขอพักการสัมภาษณ์ ก่อนจะกระซิบให้มาโคโตะพาพวกเราทุกคนไปพบกับเขาที่ห้องพักอาจารย์วิชาพละ

ที่นั่นเองที่อาเคจิโชว์ภาพถ่ายที่เขาถ่ายไว้ตอนพวกเรากำลังออกมาจาก Palace ของคุนิคาสุ ก่อนที่อาเคจิจะอธิบายว่าที่เขารู้ว่าพวกเราไม่ใช่คนร้ายคดี Mental Shutdown ก็เพราะในตอนนั้น เขาก็ได้หลงเข้าไปใน Palace ด้วย ซึ่งที่นั่นเขาก็ได้พบกับคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าชาโดว์คุนิคาสุเข้าและโดนไล่ฆ่าเสียเอง ตัวเขาที่ไม่อยากตายจึงได้ปลุก Persona ออกมาแล้วเอาตัวรอดมาได้ เมื่อได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง เขาจึงรู้แล้วว่าพวกเราบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นเขาจึงอยากยื่นข้อเสนอกับพวกเรา นั่นคือเราจะต้องร่วมมือกับเขาในภารกิจบางอย่าง และเมื่อทำสำเร็จแล้ว พวกเราจะต้องยุติการทำหน้าที่ในฐานะ Phantom Thieves ซะ แลกกับการที่เขาจะไม่เอาผิดพวกเราแล้วยังจะตามจับคนร้ายตัวจริงให้ได้ อันเป็นการกู้ชื่อเสียงของพวกเรากลับมาด้วย 

แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหก อาเคจิตั้งใจจะหลอกพวกเราที่กำลังขาดที่พึ่งให้เชื่อใจว่าเขาเป็นมิตรเสียก่อน จากนั้นจึงจะนำพวกเราไปสู่แผนขั้นถัดไปของเขา โดยหารู้ไม่ว่า มอร์กาน่ากับเรานั้น จับโกหกเขาได้ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว นั่นก็เพราะพวกเราจำเรื่องที่อาเคจิได้ยินมอร์กาน่าพูดเรื่องแพนเค้กตอนที่เราเจอกับเขาครั้งแรกที่สถานีโทรทัศน์ได้ ทำให้พวกเรารู้ว่าเขาต้องเคยเข้า Metaverse มาก่อนหน้านั้นแล้ว และนั่นจึงทำให้เราและมอร์กาน่าสงสัยในตัวเขา

เมื่อเรากลับมาถึงบ้าน โซจิโร่จะโชว์ Calling Card ที่เขาพบในห้องฟุตาบะให้เราและฟุตาบะดู ก่อนที่เค้นถามความจริงจากพวกเรา พวกเราในตอนนั้นที่ไม่มีทางเลือกจึงได้สารภาพเรื่องทั้งหมดออกไป โซจิโร่ที่ได้รู้ว่าเราเป็น Phantom Thieves และเหตุผลที่ฟุตาบะหายจากความซึมเศร้าได้จะตกใจนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ นั่นก็เพราะโซจิโร่เองก็เคยผ่านๆตางานวิจัยเกี่ยวกับ Cognitive Pscience ของวากาบะมาบ้าง เขาจึงพอจะเดาได้ก่อนหน้านี้แล้วว่าคดีต่างๆเกี่ยวกับ Phantom Thieves มีลักษณะที่คล้ายๆกัน

สุดท้ายโซจิโร่ก็จะบอกให้เราสบายใจได้ เขาจะไม่เอาเรื่องของเราไปบอกตำรวจอย่างแน่นอน แต่จะเตือนพวกเราว่า ถ้าคนร้ายตัวจริงที่เรากำลังรับมืออยู่เป็นคนเดียวกับที่ฆ่าวากาบะล่ะก็ อย่าได้ต่อสู้กลับเป็นอันขาด พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่เด็กอย่างพวกเราจะทำอะไรได้

วันต่อมาพวกเราจะมาประชุมหารือกันที่ห้องของเรา พวกเราจะรู้ตัวแล้วว่าทุกอย่างเป็นแผนการของคนร้ายตัวจริงมาตั้งแต่คดี MedJed แล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้แต่ละคนต่างก็เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจ Phantom Thieves ของพวกเราที่ควรจะมีอยู่เพื่อมอบความกล้าให้กับผู้อื่นและลงโทษเหล่าคนชั่วที่กดขี่ผู้น้อยด้วยอำนาจที่เหนือกว่า กลับประมาทเลินเล่อ ถูกกระแสสังคมและชื่อเสียงทำให้หวั่นไหวจนถูกคนร้ายตัวจริงใช้เป็นเครื่องมือ พวกเราพ่ายแพ้อย่างหมดท่า 

“มาพลิกสถานการณ์กันเถอะ” 

ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของทุกคน คำพูดของเราได้เตือนสติทุกคนกลับอีกครั้ง ถ้าพวกเรายอมแพ้ตอนนี้ก็เท่ากับเรายิ่งทำตามเกมของอีกฝ่ายนั่นแหละ สิ่งที่พวกเราควรทำในตอนนี้ คือตอบโต้ต่างหาก

และอาเคจิ โกโร่ ก็คือกุญแจของสิ่งนั้น

To Be Continue…

ติดตามต่อได้ที่ สรุปเนื้อเรื่องเกม Persona 5 ตอนที่ 4 : บทสรุปของเกมแห่งชะตากรรม