บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเขียนให้รูปแบบ Chronologically คือเรียงตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากลำดับการเล่นในเกมหรือสิ่งที่ตัวละครรับรู้นะครับ เนื่องจากเชื่อว่าการเขียนลักษณะนี้จะครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดได้มากกว่า

Undertale เป็นเกมอินดี้สองมิติซึ่งถูกพัฒนาโดย โทบี้ ฟ็อกส์ วางจำหน่ายบน Steam เมื่อปี 2015 และได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ให้กับวงการเกม ด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ที่สอดประสานเกมเพลย์และเนื้อเรื่องเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์ บทประพันธ์เพลงที่ไพเราะและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Undertale ได้รับการยกย่องยอมรับจากทั้งผู้เล่นและสำนักรีวิวจำนวน และในปีนี้ Undertale ก็จะได้รับการพอร์ตลงจำหน่ายบนเครื่อง Playstation 4

สำหรับสรุปนี้จะเป็นตอนที่ 3 ของซีรี่ส์ สรุปเนื้อเรื่องเกม Undetale อันจะเป็นจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด ทั้งเส้นทางสาย Pacifist Route และ Genocide Route ใครที่สนใจอยากอ่านประวัติศาสตร์ของโลกใน Undertale และเรื่องราวก่อนหน้า สามารถย้อนไปอ่านได้ที่ลิ้งก์ต่อไปนี้เลยครับ

สรุปเนื้อเรื่องเกม Undertale ตอนที่ 1 : กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว…

สรุปเนื้อเรื่องเกม Undertale ตอนที่ 2 : โลกของเหล่ามอนสเตอร์

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

เราได้เดินทางมาถึง ณ Capital เมืองหลวงของโลกใต้พิภพ เป็นจุดที่เส้นทางของ Pacifist Route และ Genocide Route จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน จากนี้ผมจึงจะขอพูดถึง Genocide Route อย่างเดียวไปจนจบก่อน แล้วตามด้วย Pacifist Route นะครับ

จุดจบของ Genocide Route เส้นทางแห่งการทำลายล้าง

ในตอนที่เราเดินทางมาถึง Capital วิญญาณของคาร่าก็เติบโตจนถึงขีดสุด คาร่าแทบจะยึดการควบคุมร่างของฟริสก์ไปได้แทบจะทั้งหมดแล้ว

เมื่อเราเดินทางต่อเข้าไปเรื่อยๆ เราจะได้พบกับ New Home ซึ่งก็คือบ้านของแอสกอร์ ทอเรียล และแอสเรียล สมัยที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ Capital ด้วยกัน ที่นี่หากเราสำรวจสิ่งของต่างๆ จะมีบางความเห็นที่เป็นตัวหนังสือสีแดง อันแสดงถึงว่า คาร่าเป็นผู้ออกความเห็นนั้นๆ นั่นเอง หรือถ้าหากเราสำรวจกระจกเงาในบ้าน บทพูดจะขึ้นว่า “นี่ฉันเอง คาร่า ไงล่ะ” 

ภายในบ้านหลังนี้เราจะสามารถเข้าห้องของแอสเรียล กับห้องของแอสกอร์ได้ ในขณะที่ห้องของทอเรียลนั้นถูกล็อคเอาไว้ ภายในห้องของแอสเรียล เราจะพบกล่องของขวัญสองกล่อง หนึ่งในนั้นคือจี้ห้อยคอซึ่งจะพูดถึงอีกทีในเส้นทาง pacifist Route แต่อีกกล่องนั้นคือ มีดของจริง ซึ่งหากเราสวมใส่ให้คาร่าแล้ว เขาจะพูดขึ้นว่า “ได้เวลาแล้วสินะ…” และหากเราสำรวจสิ่งต่างๆในห้องนี้อย่างเตียงหรือตู้เสื้อผ้า คาร่าก็จะพูดว่า “เตียงของฉัน” “เสื้อของฉัน” ด้วย

การจะเดินทางไปต่อได้ เราจำเป็นต้องหากุญแจสองดอกมาเพื่อไขล๊อคเปิดทางลงไปยังชั้นใต้ดินซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังพระราชวังก์ ขณะที่เรากำลังสำรวจบ้านหลังนี้และเดินทางไปยังพระราชวังก์ ฟลาววี่ที่หายหน้าหายตาไปตลอดเกมจะปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมทักทายว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” ฟลาววี่ในตอนนี้รับรู้แล้วว่าเราคือคาร่าที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาจะเล่าอดีตของเขาตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเป็นเป็นดอกไม้ตลอดจนเรื่องที่เขาสามารถใช้พลังของ Save และ Load ให้เราได้ฟัง เขารู้สึกว่าโลกนี้มาเบื่อมากๆจนกระทั่งเราปรากฏตัวขึ้นมา ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าเราคือคาร่า ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและคิดว่าเราจะทำให้โลกที่น่าเบื่อนี้กลับมาสนุกอีกครั้งเหมือนสมัยที่เขายังเป็นแอสเรียลและได้เล่นกับคาร่า ก่อนจะชักชวนเราให้สานต่อแผนการณ์ในการก่อสงครามกับมนุษยชาติของพวกเขา ในตอนนั้นเอง เขาจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเราในตอนนี้โหดเหี้ยมเกินกว่าจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่เฉยๆ หากเมื่อใดก็ตามที่ฟลาววี่หมดประโยชน์ เราก็พร้อมกับฆ่าเขาได้อย่างเลือดเย็น ฟลาววี่ผู้สูญเสียความสามารถในการรู้สึกตลอดมา กลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเฉียบพลัน เขาพยายามโน้มน้าวเราให้ยกเลิกแผนการณ์ทั้งหมด ก่อนจะหนีไปเพราะความกลัว

พลังที่แท้จริงของแซนส์

เมื่อเรามาถึงโถงทางเดินขนาดใหญ่เพื่อเข้าสู่ท้องพระโรง ที่นั่น เราจะได้พบกับแซนส์ที่ยืนรอเราอยู่ แซนส์จะเตือนเราอีกครั้งว่า “หากนายก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียวล่ะก็ นายจะต้องไม่ชอบมันแน่ๆ” แน่นอนว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลังเล แซนส์จึงได้แต่ตัดพ้อและขอโทษทอเรียล “เพราะงี้แหละ ฉันถึงไม่ชอบสัญญาอะไรยังไงล่ะ”

แล้วการต่อสู้กับแซนส์ บอสไฟต์ที่ยากที่สุดในเกม ก็ได้เริ่มขึ้น คนที่เคยเล่นเกมนี้ในเส้นทาง Genocide Route มาก่อนหรืออาจจะเคยดูแคสเกมมา น่าจะทราบถึงความโหดร้ายทารุณชวนสิ้นหวังในการสู้กับแซนส์ได้เป็นอย่างดี 

ในการต่อสู่กับแซนส์นั้น ไม่ว่าเราจะโจมตีเขาไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็จะหลบการโจมตีของเราได้ตลอด แต่เราก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาโจมตีต่อไปเพื่อให้แซนส์ปล่อยบทพูดออกมาเรื่อยๆ เมื่อเราโจมตีเขาไปได้จนถึงจำนวนครั้งที่กำหนด แซนส์จะแสดงอาการเหนื่อย และให้โอกาสเรากลับตัวกลับใจอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้หากเราเลือกที่จะกลับตัวกลับใจและใช้ชีวิตแซนส์ เขาก็จะฉวยโอกาสฆ่าเราให้ตายในทีเดียว เมื่อถึงจุดนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือต้องสู้ต่อเท่านั้น หลังจากนั้นการต่อสู้ก็จะเข้าสู่เฟสสอง ซึ่งเราก็ต้องโจมตีแซนส์ไปเรื่อยๆเช่นเดิม จนในที่สุดหากเราเอาตัวรอดจากการโจมตีชุดสุดท้ายที่ยาวนานที่สุดของแซนส์ การต่อสู้ก็จะมาถึงจุดจบ แซนส์จะรู้สึกตัวแล้วว่าหากต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเขาจะต้องพลาดและหลบการโจมตีของเราไม่พ้นแน่ๆ ดังนั้นแซนส์จึงตัดสินใจไม่จบเทิร์นการต่อสู้ของตัวเอง ปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปโดยที่แซนส์ก็ไม่ทำอะไร เราก็ไม่ได้เทิร์นในการออกคำสั่งต่อสู้สักที เป็นการขังทั้งเราและแซนส์ไว้ในการต่อสู้ที่ไม่รู้จบไปตลอดกาล 

ทว่า ปณิธานของคาร่าก็ทำให้เราสามารถฝ่าฝืนกฏเกณฑ์แห่งการออกเทิร์นได้ เราดื้อดึงขยับตัวของเราให้ไปออกคำสั่งโจมตีได้จนสำเร็จในขณะที่แซนส์กำลังหลับอยู่ แม้การโจมตีครั้งแรกแซนส์จะยังหลบได้ แต่ขณะที่แซนส์กำลังจะพูดอะไรออกมาเราก็ชิงโจมตีอีกทีโดยไม่ให้แซนส์ได้ตั้งตัว ส่งผลให้พลังชีวิตของแซนส์หมดเกลี้ยงในทันที โดยก่อนจะตาย แซนส์ได้เดินกระโผลกกระเผลกออกไป แล้วพูดเหมือนโทรชวนพาไพรัสไปนั่งทานข้าวที่ร้านรพ Grillby ด้วยกัน

หลายคนคงจะสงสัย ว่าแซนส์เป็นใครกันแน่ ทำไมแซนส์ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ปริศนาที่ซ่อนอยู่ของตัวละครนี้คืออะไร ตรงนี้ผมจะเล่าทฤษฏีเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของแซนส์และพาไพรัส ซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงปริศนาที่ซ่อนอยู่ของ W.D. Gaster นักวิทยาศาสตร์ประจำพระองค์คนก่อน ซึ่งจะยาวและซับซ้อนมากๆ ใครที่อยากจะอ่านเนื้อเรื่องหลักต่อก็สามารถข้ามไปได้เลย

เรื่องราวของแซนส์ พาไพรัส และ W.D.Gaster

ชาติกำเนิดของแซนส์และพาไพรัสนั้นไม่ได้มีคำอธิบายชัดเจน แต่จะมีการบอกใบ้ผ่านบทสนทนา เหตุการณ์ลับ หรือพฤติกรรมต่างๆของแซนส์ ดังนั้นเรื่องราวของแซนส์จึงเป็นเพียงแค่ทฤษฏีที่ไม่ได้รับการยืนยันจากโทบี้ ฟ็อกส์ ที่เป็นผู้สร้างเกมแต่อย่างใด

อันดับแรก จากบทสนทนาทั้งหมด ทำให้เราพอจะสรุปได้ว่า แซนส์รับรู้ถึงการมีอยู่ของไทม์ไลน์อื่นๆหรือจะเรียกว่ามิติคู่ขนานก็ได้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการที่เขาเป็นคนเดียวนอกเหนือจากเราและฟลาววี่ที่รับรู้ถึงพลังอำนาจในการ Save และ Load ของผู้ที่ถือครองปณิธานอยู่ ถึงอย่างนั้น แซนส์ก็เพียงแต่รับรู้การมีอยู่ของมันเท่านั้น แตกต่างกับเราและฟลาววี่ แซนส์ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในไทม์ไลน์อื่นๆ สมมติว่าเราทำอะไรผิดพลาดแล้วโหลดเซฟเกมขึ้นมาใหม่ เราและฟลาววี่จะยังจำความผิดพลาดนั้นได้และรู้ว่าเราโหลดเซฟมาแก้ไข แต่แซนส์จะมีเพียงความทรงจำของไทม์ไลน์ปัจจุบันหลังจากการโหลดเซฟเท่านั้น ไม่ต่างกับมอนสเตอร์ตัวอื่นๆในเกม ถึงอย่างนั้น การที่แซนส์รับรู้ถึงการมีอยู่ของไทมืไลน์อื่นๆและพลังในการ Save และ Load ก็มากเพียงพอให้เขาคาดเดาสิ่งต่างๆที่เคยเกิดขึ้นได้แล้ว เนื่องจากแซนส์สามารถอ่านสีหน้าของเราและคาดเดาได้หากเราพึ่งโหลดเซฟมา เขาก็จะรู้ว่าเราย้อนกลับมาแก้ไขอะไรบางอย่าง เช่นในการต่อสู้กับแซนส์นั้น ทุกครั้งที่เราตาย เมื่อเราโหลดเซฟกลับมาสู่อีกครั้ง เขาจะทักเราในทำนองว่า “สีหน้าของนายนี่ เหมือนสีหน้าของคนที่ตายมาแล้ว …. ครั้งเลยนะ” เพื่อเป็นการล้อเลียนเราและแสดงให้เห็นว่าแซนส์คาดเดาได้ว่านี่ไม่ใช่การท้าสู้กับเขาครั้งแรกของเรา

ในขณะที่พาไพรัสนั้น แม้ปกติเขาจะดูไม่ประสีประสาอะไรเมื่อเทียบกับแซนส์ แต่ในอีเวนท์ลับที่เราสามารถเข้าไปในห้องนอนของแซนส์ได้ พาไพรัสจะพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจคือ “แซนส์แกล้งนายด้วยพลังของมิติเวลาใช่มั้ย ฉันเกลียดมากเวลาที่เขาทำแบบนั้น” ดูเผินๆอาจจะเป็นแค่มุกตลก แต่จากบริบททั้งหมดจึงอาจสันนิษฐานได้ว่า พาไพรัสเองก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของไทม์ไลน์อื่นๆเช่นกัน แต่ด้วยความซื่อบื้อจึงทำให้เขาไม่ได้สนใจมันอย่างที่แซนส์เป็น

เบาะแสต่อมาคืออาวุธของแซนส์และพาไพรัส ในการต่อสู้กับแซนส์นั้น แซนส์จะใช้ปืนใหญ่ที่มีหน้าตาคล้ายกะโหลก ซึ่งอาวุธชิ้นนี้มีชื่อเรียกว่า Gaster Blaster ในขณะที่ในการต่อสู้กับพาไพรัสนั้น หากเราเล่นในเส้นทาง Pacifist Route เขาจะเกริ่นถึงท่าไม้ตายของเขาแต่จนแล้วจนรอดท่านั้นก้ไม่ถูกนำมาใช้ ทว่า ในเส้นทาง Genocide Route นั้น หากเราเลือกที่จะกลับตัวกลับใจและไว้ชีวิตพาไพรัส และไปหาเขาที่บ้าน เขาจะบอกเราทำนองว่า ดีแล้วที่เรากลับตัวกลับใจ เพราะหากเราไม่ทำเช่นนั้น เขาคงจะจำเป็นจะต้องใช้ท่าไม้ตายระเบิดเราให้กระจุย (Blast) ซึ่งคำว่า Blast ในประโยคนี้ของพาไพรัสก็ดูเจาะจงและทำให้สันนิษฐานได้ว่า พาไพรัสเองก็สามารถใช้ Gaster Blaster ได้เหมือนกัน

ซึ่งชื่อ Gaster ที่ว่านี้ คงหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากW.D.Gaster

อย่างที่ได้แนะนำกันไปในตอนต้นว่า W.D.Gaster คือนักวิทยาศาสตร์ประจำพระองค์คนก่อนและเป็นผู้สร้าง The Core แหล่งพลังงานของโลกใต้พิภพขึ้นมา ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ตัวตนของ Gaster กลับไม่มีการพูดถึงในเนื้อเรื่องหลักของเกมเลย เราจะได้รับเบาะแสถึงการมีอยู่ของเขาได้อีเวนท์ลับของเกมซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นต่ำมากๆหรือไม่เช่นนั้นเราก็ต้องแฮคตัวเกมเพื่อปลดล๊อคเอา ซึ่งผมจะไม่อธิบายว่าต้องทำอย่างไร แต่อีเวนท์ลับเหล่านี้จะทำให้เมื่อเราเดินเข้าไปในฉากบางฉากของเกม เราจะได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติไปจากการเล่นปกติ ประกอบไปด้วย 3 อีเวนท์ลับดังนี้

1. การได้พบกับ NPC ปริศนาสีขาวดำ NPC เหล่านี้จะปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวในการเล่นหนึ่งรอบ เมื่อเราเข้าออกฉากนั้นใหม่แล้ว NPC ตัวนั้นก็จะหายไปตลอดกาล ซึ่ง NPC พวกนี้มีทั้งหมด 4 ตัว 3 ในสี่นั้นเราเรียกพวกเขาว่า ผู้ติดตามของ Gaster (Gaster Follower) โดยบทสนทนาของพวกเขานั้นจะเป็นการบอกใบ้ถึงการมีอยู่ของ Gaster ซึ่งสรุปโดยคร่าวๆก็คือ Gaster นั้นเป็นอดีตนักวิทยาศาสตร์ประจำพระองค์และเป็นผู้สร้าง The Core ก่อนที่ Gaster จะตกลงไปในสิ่งประดิษฐ์ของเขาเอง ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า ในตอนนั้นตัวตนของ Gaster ได้แตกกระจายออกเป็นหลายๆ ส่วนไปตามมิติเวลาต่างๆ ก่อนที่หนึ่งในผู้ติดตามของแกสเตอร์จะไม่กล้าเล่าต่อเพราะคิดว่าไม่ควรนินทาคนที่ “ฟังอยู่” เป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าแกสเตอร์นั้นมีตัวตนอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ส่วน npc สีขาวดำอีกตัวหนึ่งมีชื่อเรียกว่า เด็กน้อยที่หายสาบสูญ (Goner Kid) ซึ่งเขาจะพูดถึงการมีอยู่ของไทม์ไลน์คู่ขนานที่ซึ่งบางทีตัวตนของเราอาจจะไม่มีอยู่

2. บันทึกงานวิจัยที่ 17 ในการเล่น Pacifist Route ที่จะกล่าวถึงหลังจากนี้นั้น เราจะได้มีโอกาสเข้าไปยังห้องทดลองเกี่ยวกับวิญญาณของอัลฟิสที่เธอปิดตายเอาไว้อยู่ ที่นั่น เราจะได้อ่านบันทึกการวิจัยที่อัลฟิสเขียนตลอดการทดลองทว่ากลับมีบันทึกอันหนึ่งที่หายไป นั่นคือ บันทึกงานวิจัยที่ 17 ซึ่งเราจะอ่านได้ก็ต่อเมื่อเราทำตามเงื่อนไขของอีเวนท์ลับเท่านั้น และเมื่อเราได้อ่านแล้วจะพบว่าภาษาที่ใช้เขียนนั่นเป็นฟอนท์ที่เรียกว่า Wingdings ซึ่งเป็นฟ้อนท์ที่แทนตัวอักษรต่างๆ ด้วยสัญลักษณ์ โดยหากเปลี่ยนตัวอักษรเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษแล้ว จะได้ใจความว่า

“มืด มืดเหลือเกิน
ความมืดค่อยๆแผ่ขยาย
เงามืดตัดผ่านลึกยิ่งขึ้น
เครื่องตรวจจับโฟตอนไม่สามารถอ่านค่าได้
การทดลองครั้งต่อไป ท่าทางจะน่าสนใจ น่าสนใจมาก
แล้วพวกเธอสองคนคิดว่ายังไงกันบ้างล่ะ”

ซึ่งบันทึกนี้ถูกสรุปว่าน่าจะถูกเขียนโดย Gaster เนื่องจากภาษา Wingdings ที่ถูกใช้เขียนนั้นมีสัญลักษณ์รูปมือหลายรูปแบบ ซึ่งในตัวเกมจะมีมอนสเตอร์ที่เตือนเราถึง “ชายผู้พูดด้วยมือ” อยู่ แต่กลับไม่มีตัวละครตัวไหนที่น่าจะเหมาะสมกับบทบาทนั้นเลย นอกจากนี้ชื่อฟ้อนท์ Wingding ยังตรงกับตัวย่อ W.D. ในชื่อของ Gaster พอดี ซึ่งจะสอดคล้องกับการตั้งชื่อของ Sans และ Papyrus ซึ่งตั้งตามชื่อฟอนท์ Comic Sans และ Papyrus

3. ประตูปริศนาในแอเรีย Waterfall เป็นประตูสีขาวดำที่จะปรากฏเมื่อเราทำตามเงื่อนไขของอีเวนท์เท่านั้น เมื่อเปิดเข้าไปจะพบกับ NPC หน้าตาคล้ายกะโหลกที่มีใบหน้าไหลเยิ้ม หากเราเข้าไปสัมผัสเขาจะค่อยๆ หายไป ผู้คนต่างสันนิษฐานกันว่า NPC ตัวนี้แหละ คือ W.D. Gaster

จากเบาะแสในอีเวนท์ลับทั้งหมดนี้ทำให้เราพอจะเข้าใจความเป็นไปของ Gaster คร่าวๆ ว่าเขาน่าจะเคยศึกษาและทำการทดลองเกี่ยวกับมิติเวลาเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่แปลกหาก Gaster จะรับรู้ถึงพลังในการ Save และ Load จากปณิธานของมนุษย์ ทว่าด้วยความผิดพลาดบางอย่างในการทดลองทำให้วิญญาณของเขาแตกสลายและกระจัดกระจายไปในมิติเวลา คำถามที่ตามมาคือ แล้วคนสองคนที่แกสเตอร์พูดถึงในบันทึกฉบับที่ 17 คือใคร…

คำถามนี้ได้ย้อนกลับมาที่แซนส์และพาไพรัสอีกครั้ง อย่างที่รู้กันว่าแซนส์และพาไพรัสปรากฏตัวขึ้นที่เมือง Snowdin อย่างไม่มีที่มาที่ไป เหมือนกับว่าอยู่ดีๆพวกเขาก็โผล่ขึ้นดื้อๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ด้านหลังบ้านของแซนส์และพาไพรัสนั้นมีห้องลับห้องหนึ่งซ่อนอยู่ เป็นห้องที่เรียกว่า ห้องทำงานของแซนส์ (San’s Workshop) ที่ห้องนี้เราจะได้เห็นสิ่งปะดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้ตั้งอยู่ พร้อมกับแบบแปลนของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นที่ถูกเขียนด้วยภาษาที่ไม่สามารถอ่านได้ จึงเป็นที่เชื่อว่ากันแปลนนั้นถูกเขียนด้วยภาษา Wingdings ซึ่งเขียนโดย Gaster และเชื่อว่า สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวคือต้นแบบของ เครื่องสกัดปณิธาน (Determination Extractor) ที่อัลฟิสใช้ในการทดลองสกัดปณิธานออกจากวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง ข้อสันนิษฐานนี้เกิดจากคำบอกใบ้ในบทสนทนาที่ระบุว่าแซนส์และอัลฟิสรู้จักกันพอมาก่อนแต่ทั้งคู่กลับเลี่ยงจะเล่าว่าทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร นอกจากนี้บนผนังยังมีภาพถ่ายของผู้คนจำนวนหนึ่งติดอยู่ หนึ่งในนั้นคือแซนส์ที่ดูท่าทางมีความสุข และมีตัวอักษรเขียนไว้บนภาพว่า “จงอย่าลืม” (Don’t Forget)

เบาะแสสุดท้ายคือคำพูดของแซนส์ ในการต่อสู้กับเขานั้น จะมีบทพูดตอนหนึ่งที่แซนส์พูดว่า “ฉันยอมแพ้ที่จะกลับไปแล้ว และการขึ้นไปยังโลกเบื้องบนก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดนี้อีกต่อไปเหมือนกัน” จากบทพูดดูเผินๆ เราอาจจะคิดว่าแซนส์แค่ตัดพ้อเรื่องการจะกลับไปอาศัยอยูในโลกเบื้องบน แต่จริงๆแล้ว ประโยคที่ว่า “ฉันยอมแพ้ที่จะกลับไปแล้ว” กลับเป็นคนละเรื่องกันกับประโยคหลัง ถ้าอย่างนั้นการ “กลับไป” ที่ว่าของแซนส์คือกลับไปที่ไหนหรือความหมายอย่างไร?

จากเบาะแสทั้งหมด (ซึ่งจริงๆมีมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็ยาวมากเกินแล้ว) ทำให้เกิดทฤษฏีที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดของแซนส์และพาไพรัสหลายๆอย่าง ที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็ประกอบไปด้วย

1. แซนส์และพาไพรัส เป็นมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย W.D.Gaster และมอบความสามารถในการต่อสู้ด้วย Gaster Blaster ให้กับพวกเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจจะเพื่อใช้พวกเขาเป็นอาวุธในการต่อกรกับมนุษย์ จากนั้น Gaster อาจจะพยายามทำการทดลองบางอย่างกับมิติเวลาเพื่อรับมือกับความสามารถในการ Save และ Load ของมนุษย์แต่กลับทำให้ตัวตนของเขาแตกสลายไปในมิติเวลาแทน จากนั้นแซนส์และพาไพรัสจึงพากันมาอาศัยอยู่ที่ Snowdin โดยเก็บซ่อนเรื่องราวและการวิจัยของ Gaster ไว้เป็นความลับ โดยแซนส์เองก็ได้ดำเนินการหาทางที่จะนำ Gaster กลับมาอย่างลับๆ ภายในห้องทำงานของเขา เมื่ออัลฟิสสนใจทำการทดลองเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อช่วยให้มอนสเตอร์ได้ออกไปสู่โลกภายนอก แซนส์จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการมอบแบบแปลนเครื่องสกัดปณิธานที่ Gaster เคยทำเอาไว้

2. แซนส์และพาไพรัส คือครึ่งหนึ่งของ Gaster ที่แยกออกมาเป็นสองตัวตนในระหว่างการทดลองเรื่องมิติเวลานั่นเอง ซึ่งทฤษฏีนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าแซนส์และพาไพรัสต่างมีคาแรคเตอร์ที่สะท้อนการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา ราวกับทั้งสองเป็นคู่ตรงข้ามของตัวตนเดียวกัน จากนั้นก็เหมือนกันทฤษฏีข้างต้น โดยแซนส์ก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้เขาและพาไพรัสกลับไปเป็น Gaster อีกครั้งนั่นเอง

ทั้งหมดทั้งปวงที่เขียนมายืดยาวนี่ก็เป็นเพียงทฤษฏีและการคาดเดาที่ไม่มีการยืนยันเท่านั้น และมันก็คงจะถูกจงใจทำให้เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเกมนี้แหละ เพราะฉะนั้นใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องไปจริงจังกับมันมาก แค่อยากเล่าให้ฟัง ให้ได้เห็นว่าเกมนี้มันก็มีด้านพิศวงชวนขนลุกนิดๆ อยู่เหมือนกัน

หลังจากที่เราสังหารแซนส์ไปแล้ว ต่อไปเราก็จะมุ่งหน้าไปพบกับแอสกอร์ ซึ่งระหว่างนั้นเราสามารถลงไปยังห้องเก็บโลงศพของมนุษย์ที่แอสกอร์ช่วงชิงวิญญาณมา ซึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นโลงของคาร่า หากเราสำรวจแล้วคาร่าก็จะนึกขึ้นมาว่า “โลงนี้นอนสบายดี” เป็นการย้ำเตือนถึงตอนที่คาร่าเคยถูกใส่ไว้ในโลงนี้ตอนที่เขาตายนั่นเอง

เมื่อมาถึงท้องพระโรงจะพบแอสกอร์รออยู่ แอสกอร์จะรู้ถึงการสังหารหมู่ที่เราได้กระทำไปกับประชาชนของเขาอยู่แล้ว รวมถึงก่อนหน้านี้ ฟลาววี่ก็ได้ร้องไห้หนีมาขอความช่วยเหลือจากแอสกอร์ แอสกอร์ที่ได้เห็นดอกไม้น้อยๆร้องไห้ ถึงกับถามขึ้นมาว่าเราเป็นตัวอะไรกันแน่ ก่อนที่เราจะเข้าต่อสู้กับเขา ถึงอย่างนั้นแอสกอร์ก็ยังคงใจดีสู้เสือและพยายามชวนให้เรานั่งดื่มชากับเขาเสียก่อน ทว่า เราก็ฟาดฟันเขาอย่างไม่ลังเล ขณะที่แอสกอร์กำลังบาดเจ็บนั่นเอง ฟลาววี่ได้ฉวยโอกาสนั้นซ้ำแอสกอร์จนตายในทันทีเพื่อพิสูจน์ว่าเขายังมีประโยชน์กับเราอยู่พร้อมกับร้องขอให้เราไว้ชีวิต ทว่าตัวเราในตอนนั้นที่วิญญาณและความอาฆาตของคาร่าได้เติบโตจนเต็มที่ก็ได้ไร้ซึ่งความปราณีใดๆ ก็ได้ลงมีดสับฟลาววี่จนไม่เหลือชิ้นดี

จากนั้นเกมจะเข้าสู่ฉากจบของเส้นทาง Genocide Route

จิตอาฆาตอันแสนบริสุทธิ์

คาร่าได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเรา ในตอนนี้ที่เรามี LV20 และ EXP99999 วิญญาณของคาร่าได้เติบโตขึ้นจนถึงขีดสุดแล้ว คาร่าผู้ชิงชังในมนุษยชาติและต้องการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ คาร่าจะบอกว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจ ปณิธานของเขาที่จะทำลายล้างมันไม่ใช่ของตัวเขาเองมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่มาจากเรา มาจากปณิธานของ “ผู้เล่น” ต่างหาก และก็เป็นผู้เล่นนี่แหละ ที่ปลุกเขาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากแผนการณ์ที่ล้มเหลวเพราะถูกแอสเรียลต่อต้านไปเมื่อครั้งก่อน ในตอนนี้ที่เราและเขาได้ร่วมมือกันทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรในโลกนี้ให้พวกเราได้ทำลายอีก คาร่าจะชวนให้เราทำลายล้างโลกนี้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก Undertale กลายเป็นศูนย์…

หากเราตอบ ตกลง คาร่าจะพูดว่า “ใช่แล้ว เธอเป็นคู่หูที่ยอมเยี่ยมจริงๆ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปใช่มั้ย?”

หากเราตอบ ปฏิเสธ คาร่าจะย้อมถามเราว่า “ไม่หรอ?…หืม น่าแปลกใจจัง ดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ… เธอเป็นคนควบคุมตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?” ก่อนที่เขาจะหัวเราะเยาะอย่างน่าสยดสยอง

ไม่ว่าเราจะตอบแบบไหน สุดท้ายตัวเลขความเสียหายก็ขึ้นเต็มหน้าจอ และเกมจะปิดตัวเองไป จากนั้นหากผู้เล่นเปิดเกมขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเกมจะเป็นหน้าดำมืดพร้อมเสียงครืนๆ ที่แสดงถึงความว่างเปล่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าจักรวาลของ Undertale ได้ถูกคาร่าทำลายไปแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม หากผู้เล่นเปิดหน้าจอเกมที่ว่างเปล่าไว้สักพัก คาร่าจะทักผู้เล่นขึ้นมา เขาจะสงสัยว่าเราจะยังต้องการอะไรจากโลกที่เราทำลายไปแล้วนี้อีก เราคิดว่าเราอยู่เหนือผลของการกระทำของตัวเองรึยังไง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คาร่าจะยื่นข้อเสนอให้แก่เรา เขาสามารถใช้ความสามารถในการ Load จากปณิธานของเขาเพื่อรีเซ็ตทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด กลับไปตอนเริ่มเกม ตอนที่ปณิธานของผู้เล่นปลุกเขาขึ้นมาจากความตายได้ แต่ต้องแลกเปลี่ยน กับการที่ผู้เล่น จะต้องยอมมอบวิญญาณในแก่เขา ยอมให้ไม่ว่าต่อจากนี้เราจะควบคุมฟริสก์ให้ไปในทิศทางใด สุดท้ายคาร่าก็จะเป็นผู้ควบคุมร่างกายนั้นอยู่ดี ตรงนี้หากเราต้องการจะเริ่มเกมใหม่ก็จำเป็นต้องตอบรับเงื่อนไขของคาร่า เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว หากเราทำการเปิดเกมอีกครั้ง ก็จะเข้าสู่ฉากเปิดเกมแล้วเริ่มต้นเกมใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่นับจากนี้เป็นต้นไป หากผู้เล่นเลือกที่จะเล่นเส้นทาง Pacifist Route จะทำให้เกิดการเปลี่ยนกับฉากจบขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ไปตลอดกาล ซึ่งเราจะพูดถึงในช่วงท้ายของฉากจบ Pacifist Ending

เป็นอันสิ้นสุดฉากจบของ Genocide Route

จุดจบของ Pacifist Route เส้นทางแห่งสันติ

ในตอนนี้ที่เราเดินทางมาถึง Capital แล้ว หากเราไม่เคยฆ่ามอนสเตอร์ดัวใดแม้แต่ตัวเดียวเลยในเกม LV ของเราจะยังคงเป็น 1 แล้วยังคงมีค่า EXP อยู่ที่ 0

เมื่อเราเดินเข้าไปเรื่อยๆก็จะพบกับ New Home เมื่อเราสำรวจสิ่งต่างๆของที่นี่ก็จะไม่มีคำพูดสิ่งแดงๆซึ่งเป็นคำพูดของคาร่าเหมือนใน Genocide Route อีกแล้ว หากเราสำรวจที่กระจกเงาก็จะปรากฏคำพูดที่ว่า “ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คุณก็ยังเป็นคุณอยู่” เป็นการสื่อสารว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ปณิธานที่จะไม่ทำร้ายใครของเราก็ได้ผนึกวิญญาณอาฆาตของคาร่าเอาไว้อย่างสมบูรณ์

ภายในห้องนอนของแอสเรียลและคาร่า จะพบกล่องของขวัญอยู่สองกล่องเฉกเช่นเดียวกับใน Genocide Run หนึ่งในจะเป็นจี้ห้อยคอรูปหัวใจ ภายในนั้นเขียนไว้ว่า “เพื่อนกันตลอดไป” ซึ่งหมายถึงแอสเรียลและคาร่าในอดีต ในขณะที่ในเส้นทางสาย Genocide Run จี้ห้อยคอนี้จะไม่ถูกกล่าวถึงข้อความที่อยู่ข้างในเลย ในทางตรงข้าม ในกล่องที่สองจะเป็นมีดเก่าๆซึ่งไม่มีคมอีกต่อไป แตกต่างกับใน Genocide Run ที่จะเป็นมีดของจริงนั่นเอง

ระหว่างที่กำลังสำรวจและเดินทางผ่านชั้นใต้ดินนั้น เราจะเจอเหล่ามอนสเตอร์สายพันธุ์ต่างๆที่เราพบเจอมาตลอดการเดินซึ่งอาศัยอยู่ใน Capital ต่างออกมาเล่าเรื่องราวโศกนาฎกรรมของแอสเรียลและคาร่าในอดีต เพื่อบอกว่าพวกเขาดีใจแค่ไหน ที่อีกไม่นาน แอสกอร์จะได้วิญญาณของมนุษย์คนสุดท้ายและสามารถปลดปล่อยพวกเขาจากโลกใต้พิภพแห่งนี้ได้สำเร็จ

เมื่อเราเดินทางมาถึงโถงทางเดินขนาดใหญ่เพื่อเข้าสู่ท้องพระโรง เราจะได้พบกับแซนส์ที่รออยู่ ที่นี่เองที่จะแซนส์จะเปิดเผยถึงความหมายที่แท้จริงของ LV และ EXP ซึ่งหากเราเล่นมาในเส้นทาง Pacifist Route เราย่อมจะมีค่าทั้งสองอยู่ที่ 1 และ 0 ตามลำดับ แซนส์ที่เห็นดังนั้นจึงจะชื่นชมในปณิธานที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่นของเรา และไม่ว่าผลลัพธ์ในการต่อสู้ของเรากับแอสกอร์ที่จะเกิดค่อไปนี้จะเป็นอย่างไร เขาก็จะยังเชียร์และเชื่อมั่นในทางเลือกของเราอยู่ ก่อนที่เขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตัดสินชะตาโลกใต้พิภพ

ก่อนที่จะเข้าไปยังท้องพระโรง เราสามารถลงไปสำรวจห้องเก็บโลงศพของมนุษย์ได้เช่นเดียวกับใน Genocide Route โดยโลงศพที่เราสำรวจได้จะโลงเปล่าและขึ้นเป็นชื่อของคาร่า ซึ่งเป็นเหมือนการที่ตัวเกมหลอกผู้เล่นว่าแอสกอร์เตรียมโลงศพของเราไว้แล้ว ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นโลงศพของคาร่าที่ตายไปเมื่อนานมาแล้วและร่างของคาร่าก็ถูกทอเรียลชิงเอาไปตอนที่เธอหนีไปอยู่ที่ The Ruin ต่างหาก

เมื่อเราเข้าไปยังท้องพระโรง เราจะได้พบกับแอสกอร์ที่กำลังรดน้ำดอกไม้สีทองอยู่ เขาจะอ้ำอึ้งนิดหน่อยและพยายามหักห้ามใจที่จะไม่ใจดีกับเราซึ่งเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ก่อนที่จะเขาจะค่อยๆ นำทางเราไปยังหน้าบาเรียร์ อันเป็นผนึกที่กั้นโลกใต้พิภพออกจากโลกภายนอก ตลอดทางแอสกอร์จะคอยถามย้ำกับเราว่าเราพร้อมหรือยัง หรือมีธุระอะไรที่เราอยากสะสางก่อนมั้ย แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วแอสกอร์เองก็เป็นคนจิตใจงดงามไม่ผิดไปจากที่ประชาชนหรือตัวละครอื่นๆ พูดถึงเขาเลย ตัวเขาในตอนนี้เองก็ตึงเครียดและไม่พร้อมที่จะต้องเข้าห่ำหั่นกับเราเช่นกัน

เมื่อเรายืนยันกับแอสกอร์ว่าพร้อมแล้ว เขาจะนำวิญญาณของมนุษย์อีก 6 คนที่ได้รวบรวมมาไว้ก่อนหน้าขึ้นมา แล้วเข้าต่อสู้กับเรา ในการต่อกรกับแอสกอร์เราจะไม่มีทางเลือกที่จะยุติการต่อสู้อย่างสันติ เราจำเป็นที่จะต้องโจมตีตอบโต้เขาเท่านั้น โดยเมื่อเราสามารถล้มเขาได้แล้ว แอสกอร์จะระบายความในใจออกมา ความจริงที่ว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อยากที่จะก่อสงครามกับมนุษย์ ไม่อยากที่จะทำร้ายทั้งมอนสเตอร์หรือมนุษย์คนไหนๆ ทั้งนั้น แต่ที่เขาทำไปก็เพราะอยากจะมอบความหวังให้กับประชาชนชาวมอนสเตอร์ที่ต้องพังทลายลงจากการจากไปของแอสเรียลและคาร่า ตัวเขาในตอนนี้ละอายแก่บาปของตัวเองเหลือเกิน ก่อนจะขอให้เราปลิดชีพเขาซะ แล้วดูดซับของวิญญาณของเขาแล้วก้าวผ่านบาเรียร์ออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก ด้วยหวังว่าเมื่อเขาจากไปแล้ว แผนการณ์ก่อสงครามกับมนุษย์ที่ไร้ความหมายของเขาจะได้จบลงเสียที

ตรงนี้เองที่ตัวเลือกในการไว้ชีวิตแอสกอร์จะปรากฏขึ้น เมื่อเราเลือกที่จะไว้ชีวิตเขาแล้ว เขาจะปลื้มปริ่มที่เราเลือกยอมที่ติดอยู่ในโลกใต้พิภพแห่งนี้แทนการสังหารเขาซะ เขาจะสัญญาว่าเขาและภรรยา (ทอเรียล) จะดูแลเขาเป็นอย่างดีราวกับเป็นครอบครัว แต่ยังไม่ขาดคำ ฟลาววี่ก็ได้โจมตีซ้ำแอสกอร์จนตายในทันที

ฟลาววี่ได้ฉวยจังหวะที่เราต่อสู้กับแอสกอร์ในการดูดกลืนวิญญาณวของมนุษย์ทั้ง 6 ที่เหลือ ในตอนนี้ฟลาววี่จึงมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและเหนือล้ำมาก รวมถึงปณิธานของวิญญาณมนุษย์เหล่านั้นยังทำให้ฟลาววี่ทวงคืนสิทธิ์ในการใช้พลังของ Save และ Load คืนมาจากเราได้สำเร็จ ฟลาววี่จะแสดงพลังนั้นให้ดูด้วยการถีบเราออกจากเกม และเมื่อเราเปิดเข้าเกมมาใหม่ เราจะพบเซฟในชื่อ Flowey เมื่อทำการโหลดเซฟนั้นขึ้นมา เราจะพบกับฟลาววี่ที่ทำการทำลายเซฟของเราไปต่อหน้าต่อตา แล้วจึงเซฟทับเซฟของเราแทน

ถึงอย่างนั้น เราก็ยังคงไม่ยอมแพ้และเดินหน้าเข้าขัดขวางฟลาววี่ ซึ่งฟลาววี่เองก็ต้องการเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะยังไงซะ เขาก็ต้องการวิญญาณมนุษย์อีกหนึ่งดวงเขาถึงจะทำลายบาเรียร์และขึ้นไปเล่นสนุกกับมนุษยชาติได้อยู่ดี ทั้งหมดที่ฟลาววี่ทำไปก็เพียงเพราะต้องการเล่นสนุกกับชีวิตของผู้อื่นเท่านั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นมนุษย์หรือมอนสเตอร์ จากนั้นการต่อสู้กับฟลาววี่จะเริ่มขึ้น โดยเขาจะมาในร่างที่ชื่อ Omega Flowey

ในการต่อสู้กับ Omega Flowey นั้น เมื่อเราตายและเปิดเกมขึ้นมาใหม่ ฟลาววี่จะทำการโหลดเซฟตอนที่เราตายขึ้นมาให้เอง เนื่องจากฟลาววี่เองก็อยากเล่นสนุกด้วยการฆ่าเราซ้ำแล้วซ้ำเราเช่นกัน แต่หากเราไม่ยอมแพ้และเอาตัวรอดจากการต่อสู้ไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณของเหล่ามนุษย์ที่ถูกฟลาววี่กินเข้าไปจะเริ่มต่อต้าน ปณิธานของพวกเขาเข้มแข็งเกินกว่าที่ฟลาววี่จะควบคุมได้ ในที่สุดฟลาววี่ก็สูญเสียพลังในการ Save และ Load ที่เขาพึ่งได้มาไป ก่อนที่การต่อต้านของวิญญาณของมนุษย์ทั้ง 6 จะทำให้ Omega Flowey แตกสลายกลับไปเป็นฟลาววี่ธรรมดาอีกครั้ง

ฟลาววี่ที่คืนสู่ร่างดอกไม้สีทองเฉี่ยวเฉาและบาดเจ็บ เขาจะยุยงให้เราฆ่าเขาซะ เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาเคยบอกเราเอาไว้เมื่อตอนที่พบกันว่า “ โลกนี้ ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า” เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่แน่นอนว่าไม่ว่าฟลาววี่จะพูดยุแค่ไหน เราก็ไม่ยอมที่จะลงมือฆ่าเขา ความเมตตาของเราทำให้ฟลาววี่ผู้มีชีวิตแต่ไร้วิญญาณสับสนจนวิ่งหนีไป ทิ้งให้เราอยู่หน้าทางออกจาก Barrier คนเดียว จากนั้นเราก็ก้าวออกไปสู่โลกภายนอก

จุดจบที่ไม่อาจรับได้

หลังจากสิ้นสุดเครดิต เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นข้อความที่ฝากมาถึงเราจากแซนส์นั่นเอง

แซนส์จะโทรมาเล่าความเป็นไปของโลกใต้พิภพหลังจากที่เราออกมาสู่โลกภายนอกแล้วให้ฟัง ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าตลอดเกมที่เราฆ่าใครไปบ้าง ไว้ชีวิตใครไปบ้าง เป็นเพื่อนกับใครแล้วบ้าง ก็จะเกิดเป็นบทสรุปที่แตกต่างกัน ซึ่งสำหรับเส้นทาง Neutral Route นี่จะเป็นบทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมด

ทว่าสำหรับ Pacifist Route เรื่องราวยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้

ใน Pacifist Ending แซนส์จะเล่าให้ฟังว่าหลังจากแอสกอร์ตายไป ประชาชนมอนสเตอร์ก็พาเศร้าหนักอีกครั้ง แต่ทอเรียลผู้เป็นราชินีก็ได้กลับมาขึ้นครองราชย์และรับหน้าที่ดูแลเหล่ามอนสเตอร์ต่อแทน โดยเธอได้ออกกฏที่จะยุติแผนการก่อสงครามกับมนุษย์ชาติทั้งหมด ต่อจากนี้หากมีมนุษย์ตกลงมายังโลกใต้พิภพ เราต้องต้อนรับและดูแลพวกเขาเยี่ยงมิตรหาใช่ศัตรู ส่วนหนทางที่จะปลดปล่อยมอนสเตอร์ออกจากโลกใต้พิภพก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน จากนั้นพาไพรัสก็จะเข้ามาทักทายว่าตอนนี้เขาได้ขึ้นแป็นหัวหน้าของคณะองครักษ์แล้วนะ ซึ่งอันที่จริงเป็นเพราะไม่มีการล่ามนุษย์แล้ว สมาชิกคณะองครักษ์จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป พาไพรัสจึงเป็นหัวหน้าและสมาชิกเพียงคนเดียวของคณะองครักษ์ในปัจจุบัน ส่วนอันไดน์ในตอนนี้ก็ไปช่วยอัลฟิสที่กำลังวิจัยหาทางปลดปล่อยมอนสเตอร์อยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเธอเองก็ไม่ถือโทษโกรธเราสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับแอสกอร์ อันไดน์จะฝากไว้ว่า พวกเขาต้องสูญเสียไปมากเพื่อให้เราได้ออกไปส่โลกภายนอก เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสุขเข้าไว้นะ สักวันพวกเราต้องได้เจอกันแน่ๆ

จากนั้นฟลาววี่จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเราอีกครั้ง เขาจะยังคงตั้งคำถามกับการที่เราเลือกจะมีเมตตากับเขาหรือคนอื่นๆ เพราะดูสิ เราทำดีกับทุกคน เป็นมิตรกับทุกคน แต่สุดท้ายในตอนจบ เพื่อนๆของเราก็ยังต้องติดอยู่ในโลกใต้พิภพอยู่ดี เผลอๆเราจะทำให้อนาคตของพวกเขาถอยหลังไปอีกเพราะในตอนนี้พวกเขาไม่มีหนทางจะปลดปล่อยมอนสเตอร์ออกจากโลกใต้พิภพแล้ว นี่ใช้ “ฉากจบ” ที่ดีที่สุดจริงๆน่ะหรอ? 

ในตรงนี้หากเราทำเงื่อนไขของเส้นทาง Pacifist Route มาอย่างถูกต้อง ฟลาววี่จะเสนอทางออกให้กับเราว่าบางที เราอาจจะยังไม่สนิทและกลายเป็นเพื่อนที่ดีพอกับอัลฟิสก็ได้ เขาจะบอกว่าเราสามารถโหลดเซฟของเราขึ้นมาเพื่อแก้ไขมันได้นะ ในขณะที่หากเราเผลอฆ่ามอนสเตอร์ไปในระหว่างการเดินทางแม้เพียงตัวเดียว ฟลาววี่จะแนะนำให้เราเริ่มเกมใหม่แทนและลองฝ่าฟันทุกอย่างมาโดยไม่ฆ่าใครเลยแม้แต่คนเดียวดู ซึ่งเราก็ต้องเล่นใหม่ทั้งหมดมาจนถึงจุดนี้อีกรอบจึงจะสามารถไปต่อยังฉากจบที่แท้จริงของ Pacifist Route ต่อจากนี้ได้

เมื่อเราโหลดมาเซฟมาแล้ว เราจะมาอยู่ที่หน้าทางเข้าไปยังบาเรียร์ที่ซึ่งเราจะสู้กับแอสกอร์ เป้าหมายของเราคือกลับไปหาอัลฟิส ระหว่างทางอันไดน์จะโทรเข้ามาเพื่อนวานให้เราส่งจดหมายของเธอไปให้อัลฟิสหน่อย รู้ดังนั้นเราก็ต้องเดินทางไปที่บ้านของพาไพรัสเพื่อรับจดหมายของอันไดน์

เมื่อนำจดหมายมาให้อัลฟิสที่ห้องทดลองของเธอ อัลฟิสจะตกใจและคิดว่าเป็นจดหมายจากญาติๆ ของมอนสเตอร์ที่เธอเคยนำมาทดลอง ซึ่งที่ผ่านมาเธอกลัวที่จะอ่านและตอบจดหมายเหล่านั้นมาตอลด แต่วันนี้เธอได้รวบรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันแล้ว ทว่าเธอกลับต้องพบว่าจดหมายที่เราส่งให้นั้นเป็นจดหมายรักและชวนไปเดทต่างหาก นั่นก็เพราะแท้จริงแล้วอันไดน์แอบชอบอัลฟิสมาตลอด แต่อัลฟิสไม่รู้ว่าส่งมาจากอันไดน์และคิดว่าเราเป็นเขียน เธอจะคิดว่าเด็กอย่างเราทำอะไรแบบนี้เป็นเรื่องน่ารักมากๆ และจะเดทกับเราเล่นๆ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ซึ่งเราก็จับพลัดจับผลูไปเดทกับอัลฟิสจนได้

อัลฟิสพาเรามาเดทที่ที่ทิ้งขยะซึ่งเป็นสถานที่โปรดของเธอกับอันไดน์ เนื่องจากอัลฟิสชอบหาของที่น่าสนใจเจอจากกองขยะเหล่านี้ อัลฟิสจะเตรียมของขวัญมาให้เราแต่ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นไหนก็เป็นของที่เธอเตรียมจะให้อันไดน์ทั้งนั้น ทำให้เรารู้ว่าอัลฟิสเองก็แอบชอบอันไดน์มาตลอดเช่นกัน และระหว่างที่กำลังเดทกันนี่เอง อันไดน์ก็จะผ่านมาแถวนี้พอดีเพราะเธอเกิดเปลี่ยนใจอยากจะเป็นคนมอบจดหมายให้อัลฟิสเอง อัลฟิสจะหลบไปเพราะไม่อยากให้อันไดน์เข้าใจผิดว่าเธอมาเดทกับเรา อันไดน์จะถามเราว่าเห็นอัลฟิสไหม ไม่ว่าจะตอบอย่างไรอันไดน์ก็จะเดินหาอัลฟิสต่อ อัลฟิสจึงออกมาและสารภาพกับเราว่าเธอชอบอันไดน์ แต่เธอไม่มีมีความมั่นใจและคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับอันไดน์เลย ที่ผ่านมาอัลฟิสหลอกอันไดน์ว่าเธอทำสิ่งที่เจ๋งๆ ได้หลายอย่างทั้งที่จริงๆ เธอเป็นแค่นักวิทยาศาสตร์ผู้ล้มเหลวเท่านั้น ซึ่งเป็นผลจากการความกลัวและรู้สึกผิดบาปจากการทดลองที่ผิดพลาดของเธอ จากนั้นเราจะเสนอให้เธอสารภาพรักกับอันไดน์โดยจะเป็นคู่ซ้อมให้ ขณะที่อัลฟิสกำลังซ้อมสารภาพรักใส่เรานั่นเอง อันไดน์ก็โผล่มาพอดี

อัลฟิสที่ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ยังไงสุดท้ายก็ได้สารภาพรักออกไป และยังสารภาพไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เคยโม้เอาไว้ด้วย อันไดน์ที่จริงๆ ก็ชอบอัลฟิสเหมือนกันก็บอกว่า อันไดน์ไม่ได้แคร์เลยแม้แต่นิดว่าอัลฟิสจะเป็นเด็กเนิร์ดชอบดูอนิเมหรืออ่านหนังสือการ์ตูนหรือเพ้อเจ้อเกี่ยวกับมนุษย์หรืออะไรก็ตาม เธอชอบที่อัลฟิสนั้นทุ่มเทกับทุกอย่างที่อัลฟิสทำไม่ว่าจะเป็นเรื่องงี่เง่าแค่ไหน เธออยากให้อัลฟิสยอมรับและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จึงมอบหมายให้พาไพรัสมาฝึกสอนความมั่นใจให้กับอัลฟิส และแม้ว่าอันไดน์จะมาสติแตกกับเราเป็นการส่วนตัวว่านี่เธอโดนอัลฟิสหลอกว่าอนิเมมีจริงมาตลอดเลยเหรอ ทั้งสามก็จะไปฝึกซ้อมสร้างความมั่นใจให้อัลฟิสกัน ก็ถือว่าจบลงด้วยดี

ความจริงถูกเปิดเผย

หลังจากนั้นเราจะได้รับโทรศัพท์พาไพรัสว่าทั้งสองฝึกเสร็จแล้ว และอยากให้เราไปหาอัลฟิสที่ห้องทดลองของเธอสักหน่อย

หลังจากที่มาถึงเราจะไม่พบอัลฟิส แต่ประตูที่เป็นเหมือนห้องน้ำซึ่งปิดมาตลอดจะเปิดอยู่ เมื่อเข้ากลับพบว่าภายในเป็นลิฟท์ลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งลิฟท์นี้คือการเข้าสู่ห้องทดลองเกี่ยวกับวิญญาณที่อัลฟิสปิดผนึกไว้นั่นเอง โดยระหว่างที่เรากำลังลงลิฟท์ ไฟฟ้าจะรวนพอดีทำให้ลิฟท์พังและตกลงไปสู่ชั่นล่างสุด

ที่นี่เราจะได้อ่านบันทึกการวิจัยของอัลฟิสรวมถึงวิดีโอเทปที่เธอเก็บได้จากปราสาทของแอสกอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่แผนการของคาร่าและแอสเรียล ผลการทดลองที่ผิดพลาดจากการฉีดปณิธานลงในร่างของมอนสเตอร์ที่ใกล้ตายจนทำให้พวกเขากลายเป็น Amalgamate ตลอดจนเรื่องที่เธอลองฉีดปณิธานลงในดอกไม้สีทอง ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดของฟลาววี่ ซึ่งก็ได้อธิบายไปทั้งหมดแล้ว

เราต้องผจญภัยในห้องทดลองนี้เพื่อหาทางสับสวิตซ์พลังงานสำรองขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างทางก็จะคอยถูกพวก Amalgamate เข้ามายุ่งด้วย เมื่อเราจัดการสับสวิตช์พลังงานสำรองเสร็จเรียบร้อย พวก Amalgamate จะล้อมเราไว้ ก่อนที่อัลฟิสจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อให้อาหารพวกเขา โดยแท้จริงแล้วพวก Amalgamate ไม่ได้ดุร้ายอะไร พวกเขาแค่งอแงเวลาไม่มีคนให้อาหารเท่านั้นเอง ก่อนที่เธอจะสารภาพเรื่องที่เธอปิดที่นี่และผลการทดลองเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมตอบจดหมายของญาติของพวก Amalgamate และแอสกอร์เลยสักฉบับ เธอไม่กล้าสู้หน้าทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง เพราะนอกจากการทดลองของเธอจะยังไม่นำไปสู่ทางออกของเหล่ามอนสเตอร์แล้ว ยังทำให้ญาติของพวกเขาต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก แต่ในตอนนี้ที่เธอมีเพื่อนอย่างเรา อันไดน์ และพาไพรัสที่เชื่อมั่นในตัวเธอแล้ว เธอก็มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเอง ต่อจากนี้เธอจะตอบจดหมายขอโทษไปยังญาติๆของ Amalgamate และนำ Amalgamate ไปส่งคืนญาติของพวกเขาด้วยตัวเธอเอง ก่อนที่เธอจะขอตัวไปก่อน

หมดหน้าที่ของเราที่นี่ เราจะเดินกลับไปขึ้นลิฟท์ และในตอนนี้เองจะได้รับโทรศัพท์จากเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรียกเราด้วยชื่อของ “มนุษย์ที่ตกลงมา” ที่เราตั้งขึ้นในตอนแรก ซึ่งก็คือชื่อ “คาร่า” นั่นเอง เสียงในโทรศัพท์กล่าวว่า “เราคงจะได้พบกันอีกเร็วๆ นี้”

ก่อนที่เราจะถูกส่งมายัง Capital ในทันที พร้อมกับทางออกที่ถูกปิดด้วยสิ่งที่คล้ายกับเถาวัลย์

เราไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปพบกับแอสกอร์อีกครั้ง ทว่าในครั้งที้ ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่ม สิ่งที่ไม่คาดหวังก็เกิดขึ้น

ทอเรียลปรากฏตัวออกมาและโจมตีใส่แอสกอร์จนล้มคะมำ เหมือนกับเมื่อครั้งที่ทอเรียลมาช่วยเราจากฟลาววี่ตอนเจอกันครั้งแรก ทอเรียลคิดได้ว่าการปล่อยให้เราต้องรับมือการภาระที่จะต้องสังหารแอสกอร์เพื่อออกสู่โลกภายนอกเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปสำหรับเด็กอย่างเรา เธอเองก็ไม่อยากเราฆ่าแอสกอร์ด้วยเพราะถึงยังไงแอสกอร์ก็ยังมีจิตใจที่ดีงามอยู่ แอสกอร์ที่ได้พบทอเรียลก็ดีใจมาก แต่ทอเรียลกลับเย็นชาและตำหนิวิธีการของแอสกอร์ที่สร้างความหวังลมๆแล้งๆให้กับประชาชนมอนสเตอร์ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าแอสกอร์ไม่ได้อยากทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เลย จากนั้นอันไดน์ อัลฟิส พาไพรัส และแซนส์ต่างก็จะทยอยปรากฏตัวกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง พวกเขามาด้วยความตั้งใจที่จะหยุดการต่อสู้ของเรากับแอสกอร์เพราะต่างก็เป็นเพื่อนของพวกเราทั้งนั้น พาไพรัสคิดว่าทอเรียลเป็นร่างโคลนของแอสกอร์ที่โกนหนวด อันไดน์ปลอบใจแอสกอร์ที่ทอเรียลไม่ยอมคืนดีด้วย เมททาทอนกรีดกรายเรียวขามาเชียร์ให้อันไดน์กับแอลฟิสจูบกันเพื่อเอาใจคนดู แซนส์และทอเรียลก็ได้พบกันตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรกหลังจากเล่นมุกเคาะประตูใส่กันมานาน 

ทอเรียลที่เห็นว่าเรามีเพื่อนมากมายขนาดนี้ก็ได้ขอให้เรายอมอยู่กับพวกเขาต่ออีกซักหน่อย อย่างน้อยๆ พวกเขาทุกคนก็จะพยายามให้เราได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุข ตอนนั้นเองที่อัลฟิสนึกขึ้นได้ว่าพาไพรัสเป็นคนโทรนัดทุกคนมาที่นี่ แต่ทำไมพาไพรัสถึงไม่ได้มาเป็นคนแรก พาไพรัสจึงตอบไปว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากดอกไม้ดอกหนึ่ง

ทันใดนั้นก็มีเถาวัลย์ขนาดยักษ์เข้าจับมัดทุกคนเอาไว้ ฟลาววี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเฉลยว่านี่เป็นแผนของฟลาววี่ เขาหลอกให้เราเข้าตีสนิทกับทุกคนเพื่อที่จะได้สามารถหลอกให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ได้ โดยขณะที่พวกเรากำลังคุยกันสนุกสนานนั้น เขาก็ได้ฉวยโอกาสกลืนกินวิญญาณของมนุษย์ทั้ง 6 ที่เหลือ และตอนนี้เขาก็จะดูดซับพลังวิญญาณของเพื่อนๆ ของเราต่อเพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะที่ฟลาววี่กำลังจะฆ่าเรา เหล่าเพื่อนๆ ของเราก็ได้พยายามใช้พลังของพวกเขาปกป้องเราไว้ และให้กำลังใจเราในการต่อสู้กับฟลาววี่ ไม่เพียงแค่เพื่อนๆของเราเท่านั้น มอนสเตอร์ทั่วโลกใต้พิภพต่างมารวมตัวกันเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรา

ทว่า ทั้งหมด ก็เป็นแผนการของฟลาววี่อยู่แล้ว ฟลาววี่อาศัยจังหวะมอนเสตอร์ตัวมารวมตัวกันที่นี่ที่เดียว ดูดกลืนวิญญาณของพวกเขาทั้งหมดมาเป็นของตนเอง พลังวิญญาณของมอนสเตอร์ทั้งหมดนั้นเทียบเท่ากับวิญญาณของมนุษย์หนึ่ง นั่นเท่ากับว่า ฟลาววี่ในตอนนี้ได้รับพลังวิญญาณระดับของมนุษย์ 7 คนมาแล้ว พลังนั้นมากเพียงพอที่จะเขาใช้มันเพื่อฟื้นคืนตัวตนดั้งเดิมของเขา เพื่อให้เศษเสี้ยววิญญาณของเขาที่อยู่ในดอกไม้สีทองดอกนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาอย่างอย่างสมบูรณ์

ทุกอย่างมืดมิด สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเราคือมอนสเตอร์ตัวเล็กท่าทางเป็นมิตรที่หน้าตาละม้ายคล้ายแอสกอร์และทอเรียล

“ฉันเหนื่อยกับการเป็นดอกไม้เหลือเกิน”
“ว่าไง! คาร่า นี่ฉันเอง เพื่อนรักของนายไง”
“แอสเรียล ดรีมเมอร์ (ASRIEL DREEMURR)”

ทันใดนั้นเด็กน้อยแอสเรียลได้กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใต้พิภพ แอสเรียลผู้มีพลังวิญญาณของมนุษย์ 7 คนอยู่ในตัว เข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย

การต่อสู้ครั้งสุดท้าย

การต่อสู้กับแอสเรียลนั้นเราไม่สามารถตอบโต้อะไรเขาได้เลย เราทำได้เพียงเอาตัวรอดด้วยการใช้พลังจาก ความหวัง (Hope) และ ความฝัน (Dream) เท่านั้น ในขณะที่หากเราตายในการต่อสู้นี้ ปณิธานที่จะไม่ยอมแพ้ของเราจะทำให้วิญญาณของเราปฏิเสธที่จะเพลี่ยงพล้ำ และเข้าท้าทายแอสเรียลอีกครั้งต่อไปเรื่อยๆ

แอสเรียลในตอนนี้ไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว เขาต้องการเพียงความสนุกสนานที่ได้จากการทำลายทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้น เขาจึงคิดจะทำลายไทม์ไลน์นี้ทิ้งซะแล้วรีเซ็ตทุกอย่างใหม่ เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะต้องเริ่มต้นอีกสักกี่ครั้ง เราก็จะยังคงเล่นเกมนี้ต่อไป ด้วยปณิธานที่จะตามหาฉากจบที่มีความสุขของทุกคน

ที่สุดแล้วแอสเรียลก็ได้ทำลายไทม์ไลน์นี้ลงจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นปณิธานของเราก็ยังคงเข้มแข็งไม่ยอมแพ้ แม้ร่างกายจะขยับไม่ได้ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์นี้ เราก็ยังคงสู้ต่อไป เราพยายามใช้พลังของการ Save และ Load เพื่อแก้ไขไทม์ไลน์แต่ก็ไม่เป็นผล เราไม่สามารถเข้าถึงเซฟของเราได้อีกต่อไปแล้ว

แต่ถึงอย่าง เราก็ยังสามารถ Save (ช่วยเหลือ) สิ่งอื่นได้อยู่

เราได้ยินเสียงเรียกอันแผ่นเบาจากภายในตัวของแอสเรียล เสียงจากวิญญาณของเหล่าเพื่อนๆของเราที่แอสเรียลกลืนกินไป เพื่อตอบสนองเสียงเรียกเหล่านั้น เราเอื้อมเข้าไปยังส่วนลึกสุดในวิญญาณของแอสเรียลและได้พบกับเศษเสี้ยววิญญาณของเพื่อนๆของเรา ในทีแรกวิญญาณของพวกเขาต่างหลงลืมเราไปเพราะยอมแพ้ให้กับความสิ้นหวัง ทว่าด้วยเสียงเรียกของเราที่ส่งไปถึง พวกเขาก็คืนสติกลับมาได้สำเร็จ จากทอเรียล ไปสู่แอสกอร์ ไปสู่อันไดน์ อัลฟิส แซนส์ และพาไพรัส เมื่อพวกเขารำลึกช่วงเวลาดีๆ ที่เราได้ใช้ไปกับเขาได้ เราก็จะดึงเอาตัวตนและความหวังของพวกเขาออกมาได้ในที่สุด

ทันใดนั้นเอง เราก็ได้ยินอีกเสียงเรียกหนึ่ง เสียงเรียกที่แปลกหูไม่คุ้นเคย เสียงเรียกนั้นดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ ยังเหลืออีกคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ ทันใดนั้นเอง เราก็นึกออก เราเอื้อมมือออกไปพร้อมกับขานชื่อของเขา….

“แอสเรียล”

ภาพความทรงจำแห่งความสุขของแอสเรียลและคาร่าได้พวยพุ่งเข้ามาในหัวของเราและแอสเรียล ภาพเมื่อแอสเรียลได้พบคาร่าที่ตกลงมายังโลกใต้พิภพ เมื่อเขาพาคาร่าที่บาดเจ็บกลับไปยัง Capital เมื่อแอสกอร์และทอเรียลรับเลี้ยงคาร่าเป็นครอบครัวและเสมือนพี่น้องของเขา เมื่อครั้งที่แอสเรียลยังมีความสุขเหลือเกิน

ความทรงจำเหล่านั้นทำให้แอสเรียลเริ่มรู้สึกตัว การโจมตีของเขาเริ่มแผ่วเบาลง แอสเรียลลังเลที่จะโจมตีเรา เขาเข้าใจแล้วว่าที่เขาทำทั้งหมดไม่ใช่เพียงเพราะต้องการความสนุกจากการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เพราะเขาอยากให้เรา – ให้ “คาร่า” ยังคงอยู่ที่นี่ อยู่เล่นกับเขาต่อ เขาไม่ต้องการให้เราได้พบกับแฮปปี้เอนดิ้ง ไม่ต้องการให้เราจบเกมนี้ เขาอยากจะที่จะขังเราเอาไว้ในเกมนี้เพื่อที่เขาจะได้เล่นกับเราตลอดไป เพราะสำหรับแอสเรียลที่เคยสูญเสียความรู้สึกที่จะรัก ที่จะสนุก ที่จะเป็นห่วงเป็นใยใครสักคนเมื่อครั้งกลายเป็นดอกไม้ การได้เล่นสนุกกับคาร่าเพื่อนที่เขารักที่สุดอีกครั้ง คือความปราถนาสูงสุดของเขา

ตอนนั้นเองที่แอสเรียลฮึดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรวบรวมพลังทั้งหมดในการโจมตีครั้งสุดท้าย ด้วยหวังว่าเราจะยอมแพ้ และปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาปราถนา แต่ไม่ว่าจะโจมตีใส่เราแค่ไหน เราก็ยังคงหยืดหยัดไม่เพลี่ยงพล้ำ แม้ HP (ค่าพลังชีวิต) ของเราลดลงไปจนเหลือเพียง 0.000001 ก็ตาม

บอกลา

ในที่สุด แอสเรียลที่ได้สติกลับมาก็กลับคืนสู่ร่างเดิม สู่แอสเรียลเด็กน้อยผู้อ่อนโยน

แอสเรียลในตอนนี้ที่ได้รับร่างเดิมคืนมา ไม่เพียงแต่จะได้รับพลังมหาศาลในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีพลังวิญญาณของมนุษย์และมอนสเตอร์รวมกัน แต่ยังได้รับความสามารถที่จะรู้สึก ที่จะรักและห่วงใยคนอื่นคืนมา ทำให้แอสเรียลในตอนนี้ที่ได้สติคืนมาแล้วรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นความผิดแค่ไหน รวมถึงความจริงที่ว่า เราในตอนนี้ไม่ใช่คาร่า ไม่ใช่เพื่อนรักคนนั้นของเขาที่ตายจากไปแล้ว เขาจะถามถึงชื่อของเรา ตอนนี้เองที่ชื่อ ฟริสก์ ได้ถูกเปิดเผย ปณิธานที่จะไม่ทำร้ายผู้ใดของเราได้ทำให้ฟริสก์ได้รับอัตตาเป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ได้ถูกควบคุมด้วยปณิธานของผู้เล่นหรือเศษเสี้ยววิญญาณของคาร่าที่ซ่อนอยู่ภายในอีกต่อไปแล้ว เขาคือมนุษย์ที่มีชื่อว่า ฟริสก์

แอสเรียลที่มีวิญญาณของมอนสเตอร์ทุกตัวอยู่ในกายสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แอสเรียลจึงได้รับรู้ว่าเพื่อนๆ ของเราต่างก็รักเรามากเพียงใด ก่อนที่เขาจะตัดสินใจที่จะคืนวิญญาณของมอนสเตอร์ทั้งหมดในตัวเขากลับสู่ร่างของพวกเขา และปล่อยวิญญาณของมนุษย์ทั้ง 6 ให้เป็นอิสระ แต่ก่อนหน้านั้น เขาจะใช้พลังทั้งหมดในตอนนี้ ทำลายบาเรียร์ที่ขังเหล่ามอนสเตอร์ไว้ในโลกใต้พิภพนี่ซะก่อน เพื่อเป็นการไถ่บาปให้กับทุกสิ่งที่เขาทำ

เมื่อบาเรียร์ได้ถูกทำลายลง ก็เท่ากับเหล่ามอนสเตอร์ได้เป็นอิสระเสียที

แอสเรียลในตอนนี้พร้อมจะคืนวิญญาณทั้งหมดแล้ว เมื่อทำแบบนั้น เขาก็จะกลับไปเป็นฟลาววี่ กลับไปเป็นดอกไม้ที่ไร้ความรู้สึกดังเดิม แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะกลับไปเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความไร้ความรู้สึกของฟลาววี่ จะกระตุ้นให้ขาทำสิ่งเลวร้ายและทำร้ายคนรอบข้างแบบนี้อีก แต่เขาก็รู้ดีว่านี่คือบทลงโทษที่เหมาะสมแล้วสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้ทำลงไป ในตอนนั้นเราจะได้เลือกว่าจะให้ฟริสก์เข้าไปกอดเขาเพื่อปลอบโยนหรือไม่…

“ฉันไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้ไปเลย”

จากนั้นแอสเรียลจะบอกฟริสก์ว่าเขามั่นใจว่าฟริสก์จะต้องมีชีวิตที่ดีได้แน่ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆของเราจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ก่อนบอกลาและฝากฝังกับฟริสก์ให้ดูแลพ่อกับแม่ของเขาด้วย

ฟริสก์ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเพื่อนๆ ทอเรียล แอสกอร์ พาไพรัส แซนส์ อันไดน์ อัลฟิส ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้า พวกเขาต่างเป็นห่วงฟริสก์และโล่งใจที่เขายังไม่ตาย อย่างไรก็ตามทุกคนจำอะไรไม่ได้เลยนับตั้งแต่ฟลาววี่ปรากฏตัวขึ้น ทุกอย่างก็เป็นสีจาวโพลนไปหมด รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว และพบว่าบาเรียร์ได้สลายไปแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ในที่สุดเหล่ามอนสเตอร์ก็ได้เป็นอิสระจากการกักขังอันยาวนานเสียที

ก่อนที่ทุกคนจะเดินทางออกไปยังโลกเบื้องบน เราจะสามารถพูดคุยกับเพื่อนๆ ของเราทั้งที่อยู่ที่นี่ รวมทั้งยังสามารถเดินย้อนกละบได้ทั่วทั้งโลกใต้พิภพ เพื่อไปพบปะกับเหล่า NPC ที่เราพบเจอมาตลอดทางได้ ซึ่งก็จะทำให้ได้เห็นถึงบทสรุปของพวกเขาที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งเรายังจะได้เห็นเหล่า Amalgamate ที่ตอนนี้ได้กลับไปอยู่ครอบครัวของพวกเขาแล้วด้วย

หากเราให้เดินย้อนกลับไปจนถึงจุดเริ่มต้นของเกม ที่ก้นหลุมของภูเขาอีบอทภายใน The Ruin ที่นั่น เราจะได้พบกับเศษเสี้ยวตัวตนของแอสเรียลที่ยังคงหลงเหลืออยู่กลางพุ่มดอกไม้ หากเราพุดคุยกับเขาก็จะได้รับรู้ว่าในที่สุด แอสเรียลก็ยอมรับว่าคาร่านั้นไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาเคยเชื่อ คาร่านั้นเคียดแค้นมนุษยชาติและเป็นผู้คิดแผนที่นำไปสู่โศกนฏกรรมในอดีต ดังที่ได้อธิบายไปในตอนต้น ถ้าเราดึงดันจะไม่ยอมจากแอสเรียลไปเสียที เขาจะบอกให้เราไปได้แล้ว พร้อมบอกว่า “ต้องมีใครสักคนดูแลดอกไม้พวกนี้นะ”

สุดท้ายเมื่อเราพร้อมแล้ว ก็ให้ฟริสก์เดินออกไปยังประตูที่เคยเป็นบาเรียร์ได้เลย แล้วจะเข้าสู่ฉากจบ Pacifist Route ของเกม

บทสรุปของการผจญภัย

ฟริสก์และเพื่อนๆ ขึ้นมาบนโลกในตอนพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนต่างตื่นเต้นและประทับใจกับความสวยงามของโลกเบื้องบน แอสกอร์ได้ไหว้วานให้ฟริสก์เป็นฑูตสานสัมพันธไมตรีระหว่างมนุษย์และมอนสเตอร์ ซึ่งทุกคนก็จะเห็นด้วย ก่อนที่แต่ละคนก็จะแยกย้ายไปทำสิ่งที่ต่างๆ ที่ตนอยากทำ เหลือเพียงฟริสก์และทอเรียล เธอจะถามฟริสก์ว่า ต่อจากนี้ฟริสก์อยากจะทำอะไร

หากเราเลือกตอบ “ฉันอยากอยู่กับคุณ” ทอเรียลจะจูงมือฟริสก์ออกไป และจะนำไปสู่ฉากจบสุดท้ายที่ฟริสก์นอนหลับอยู่ในห้องนอน ก่อนที่ทอเรียลจะนำบัตเตอร์สก๊อตพายมาไว้ให้ฟริสก์ทาน

หากเราเลือกตอบ “ฉันมีเรื่องที่จะทำอยู่” ทอเรียลจะแยกตัวออกไป และจะนำไปสู่ฉากจบสุดท้ายที่เป็นภายถ่ายของฟริสก์และเพื่อนๆทุกคนรายล้อมอยู่

ไม่ว่าจะเลือกคำตอบไหน ก็จะเข้าสู่ฉากเครดิตของเกม ซึ่งเราจะได้เห็นความเป็นไปของเพื่อนๆ เราเมื่อมาใช้ชีวิตในโลกเบื้องบน ตลอดจนมินิเกมเล็กๆ น้อยๆ จากโทบี้ ฟ๊อกส์ผู้สร้างเกม Undertale ก่อนที่เราจะได้พบฉากจบสุดท้ายของเกมตามแต่คำตอบที่เราได้เลือกไว้กับทอเรียล

Genocide Pacifist Ending

จากที่บอกไว้แล้วว่าใน Genocide Ending นั้น หากเราเลือกที่จะรับข้อเสนอของคาร่าเพื่อที่จะรีเซ็ตโลกของเกมขึ้นมาใหม่นั่น เราจะต้องแลกกับการมอบวิญญาณให้กับคาร่า

ซึ่งผลลัพธ์ของข้อตกลงนั้นจะปรากฏขึ้น เมื่อเราเล่นเกมในเส้นทาง Pacifist Route หลังจากจบรีเซ็ตเกมขึ้นมาแล้ว โดยมันจะไปเปลี่ยนฉากจบสุดท้ายของ Pacifist Ending ให้เป็นในเวอร์ชั่นที่ฟริสก์ ถูกวิญญาณของคาร่าเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์ ดังนี้

หากในตอนที่ทอเรียลถามเราว่าเราจะทำอะไรต่อ เราเลือกตอบ “ฉันอยากอยู่กับคุณ” ฉากจบสุดท้ายจะเป็นภาพของฟริสก์ที่นอนหลับอยู่ในห้องนอน ตามด้วยทอเรียลจะนำบัตเตอร์สก๊อตพายมาไว้ให้ฟริสก์ทาน ก่อนที่ฟริสก์จะลืมตาขึ้นมาด้วยนัยตาสีแดงและรอยยิ้มที่เหมือนกับคาร่าไม่ผิดเพี้ยน พร้อมกับเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก

หากเราเลือกตอบ “ฉันมีเรื่องที่จะทำอยู่” ฉากจบสุดท้ายจะเป็นภายถ่ายของคาร่าและเพื่อนๆทุกคนรายล้อมอยู่ โดยบนหน้าของทุกคนจะมีรอยปากกาแดงขีดฆ่าราวกับจะสื่อว่า คาร่าได้ตามไปฆ่าพวกเขาทีละคนๆ จนหมดแล้ว

ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากผู้เล่นเคยผ่าน Genocide Route มาแล้วแม้เพียงครั้งเดียว ต่อให้รีเซ็ตอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางเปลี่ยนฉากจบ Pacifist Ending ให้กลับเป็นแบบปกติได้ วิธีเดียวที่ทำได้คือการแก้ไฟล์ของเกมเท่านั้น เป็นการสื่อว่าเมื่อเรามอบดวงวิญญาณของเราให้คาร่าแล้ว เราก็จะอยู่ในการควบคุมของเขาไปตลอดกาล

ราตรีสวัสดิ์