ย้อนกลับไปในวงการเกมปลายยุค 90 สมัยนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเกม 32 bit อย่างแท้จริง และเป็นช่วงเวลาวัยเด็กที่หลายๆคน รวมถึงตัวผมได้เติบโตมาในยุคนี้ด้วย ในช่วงปี 90 นั้นถือว่าเป็นยุคที่สร้างความเจริญให้กับวงการเกมเป็นอย่างมาก ด้วยการมาของ Nintendo 64 และ Sony PlayStation เป็นสัญญานบอกได้เลยว่า วงการเกมจะพัฒนาไปได้อย่างก้าวไกลอีกแน่นอน


ในช่วงปลายปี 1999 ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ขณะชั้นประถม ตัวผมได้นั่งคุยกับเพื่อนๆ ว่าเกมที่น่าเล่นในช่วงนี้มีเกมอะไรกันบ้าง เพื่อนๆ ผมได้พูดถึง Final Fantasy 9 Resident Evil 3 หรือ Bloody Roar 2 ในขณะนั้นที่ผมยังไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่อง Sony PlayStation เครื่องเกมใหม่สุดฮิตในยุคนั้น ตัวผมกลับบ้านมาและยังคงเล่น Super Famicom อยู่เช่นเดิม จนกระทั่งวันนึง วันรับผลสอบ ผมทำคะแนนออกมาได้น่าพอใจมาก วันช่วงวันหยุด คุณแม่ผมได้พาผมไปชื้อเครื่อง Sony PlayStation ที่ห้างแห่งหนึ่ง พร้อมกับแผ่นเกมๆนึง ที่จะเปลี่ยนชีวิตการเล่นเกมผมไปตลอดการ


ในยุคนั้น ผมเชื่อว่าหลายๆคนจะโตมาพร้อมกับ Crash Bandicoot, Chocobo Racing, Metal Gear Solid, Final Fantasy VII, Winning Eleven หรือ Resident Evil และยังมีเกมอื่นๆอีกมากมาย ในฝั่งของ Nintendo 64 ก็มีเกมอย่าง Mario 64, Golden eye 007, และแน่นอน Zelda Ocarina of Time เกมเหล่านี้เปรียบเสมือนหน้าหนึ่ง ของประวัติศาสตร์วงการเกมที่สร้างชื่อเสียง สร้างภาคต่อออกมาจน ณ ปัจจุบัน และที่สำคัญ มันได้มอบความสุขให้กับเกมเมอร์ทั่วโลกมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาครับ

Medal of Honor เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ในปี 1997 Steven Spielberg ผู้สร้างและกำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้เข้าร่วมประชุมกับทีม DreamWorks Interactive เพื่อหารือกับทีมงาน และสร้างเกม First Person Shooting ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ไอเดียของเขาเกิดขึ้นจากที่เขาเห็นลูกชายเขา Max ได้เล่นเกม Golden Eye 007 แล้วตัว Spielberg ก็ได้สนใจในเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่แล้วอีกด้วย จึงเป็นที่มาของเกม Medal of Honor ตัวเกมนั้นมี Producer และ เขียนบทโดย Peter Hirschmann โดยมี Spielberg เป็น Designer นอกจากนั้นยังได้ Dale Dye ทหารผ่านศึกมาเป็นที่ปรึกษา Spielberg กับ Dale Dye นั้น ยังเคยทำงานร่วมกันมาก่อนในภาพยนตร์เรื่อง Saving Private Ryan โดยที่มี Steven Spielberg อีกด้วยนั้นเองครับ

Medal of Honor วางขายในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 1999 จัดจำหน่ายโดย Electronic Arts ลงให้กับเครื่อง Sony PlayStation ตัวเกมเป็น First-Person Shooter ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Lieutenant Jimmy Patterson นักบินเครื่อง C-47 แห่งกองบัญชาการกองทัพอากาศการขนส่ง ที่ภายหลังได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมกับหน่วย Office of Strategic Services (OSS) หน่วยงานสำนักข่าวกรองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ CIA ในปัจจุบันนั้นเองครับ

“ภารกิจแฝงตัว เป็นสิ่งที่ผมชอบมากในยุคนั้น”

ในเกมเราจะถูกส่งไปทำภารกิจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบุกทำลายฐานที่มั่นของศัตรู หลบหนีและเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่ไม่ดี หรือลอบเร้นปลอมตัวเป็นทหารเยอรมัน เพื่อสืบและค้นหาความลับต่างๆ โดยเกมนี้จะมีระบบ objectives ขึ้นมาให้ผู้เล่นได้ทำให้ครบก่อนเข้าฉากใหม่ หากผู้เล่นทำ objective ไม่ครบ และออกจากฉากไปก่อน ตัวเกมจะส่งผู้เล่นกลับมาทำภารกิจใหม่ในฉากเดิมครับ ระบบนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Goldeneye 007 โดยที่ตัวเกมจะสร้างสถานที่ ฉากใหญ่ๆ มาให้ผู้เล่นหนึ่งฉาก เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สำรวจฉากไปทั่วๆ และทำภารกิจให้สำเร็จ โดยที่จะไม่บังคับให้ผู้เล่น เล่นเป็นเส้นตรง แตกต่างจากเกมเดินหน้ายิงในยุคนี้ ที่จะบังคับให้ผู้เล่น เล่นเป็นเส้นตรงไป นับว่าเป็นมิติใหม่มากๆ สำหรับวงการเกม FPS ในยุคนั้นครับ

“การบังคับที่ง่าย แต่มีความท้าทาย”

ด้วยการที่ Medal of Honor เป็นเกม FPS บนเครื่อง Console แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับปัญหาของการบังคับที่อาจจะไม่ได้ดังใจคนเล่นมากนัก แต่สำหรับเกมนี้นั้นต้องบอกเลยว่าการบังคับถูกออกแบบมาดีมากจนน่าตกใจ สร้างความลื่นไหล และสนุกไปตลอดการเล่นทั้งเกม อีกทั้งตัวเกมก็ยังมีความท้าทาย และมีความเป็นธรรมกันระหว่างตัวผู้เล่น และ ศัตรูในเกมอีกด้วย สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในเกมนี้ คือภารกิจที่เราจะต้องปลอมตัวเป็นทหารเยอรมันยศสูง เพื่อไปลักลอบวางระเบิดรถไฟของพวกมันทิ้ง ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้หนังสือใบอนุญาตแสดงตัวตนเป็นชาวเยอรมัน พร้อมกับปืนเก็บเสียง 1 กระบอก ผู้เล่นจะต้องใจเย็นๆ และหาทางทำภารกิจให้ผ่านโดยที่ไม่ให้ทหารเยอรมันจับได้ ถ้าหากพวกมันจับได้เมื่อไร ก็ต้องใช้ปืนเก็บเสียงยิงให้ตาย ก่อนที่มันจะไปเปิดสัญญานเรียกพวกมารุมยิงกันล่ะครับ

“Medal of Honor นั้นได้รับความนิยมจากเกมเมอร์เป็นอย่างมาก ตัวเกมทำยอดขายได้ถล่มทลาย และเป็นการจุดประกลายให้นักสร้างเกมในยุคนั้นได้หันมาทำเกมสงครามโลกครั้งที่ 2 กันมากขึ้น หากจะพูดว่า Medal of Honor เป็นแรงบันดาลใจให้นักสร้างเกมหลายๆคนทำเกมเดินหน้ายิง สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นก็ไม่ผิด ครับ ไม่ว่าจะเป็น Call of Duty, Battlefield เกมเหล่านี้ล้วนแต่มีแรงบันดาลใจมาจาก Medal of Honor”


Sequel / Prequel



ในปี 2000 Medal of Honor มีเกมภาคต่อของตัวเองในชื่อ Medal of Honor: Underground โดยคราวนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Manon Batiste นักรบสาวที่เข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านฝรั่งเศสในช่วงปี 1940 ใช่แล้วครับ Medal of Honor: Underground นั้นเป็นเกมภาคต่อ ที่เล่าเรื่องย้อนหลังไปก่อนเกิดเหตุการณ์ในตัวเกมภาคแรก

ในช่วงปี 1940 ทหารเยอรมันได้ส่งกองทัพมาบุกเมืองบ้านเกิดของ Manon ทำให้ชาวบ้านหลายคนเสียชีวิต Manon ได้ร่วมมือกับพี่ชายของเธอมีแผนที่จะรวบรวมอาวุธมาสร้างกองทัพขับไล่ทหารเยอรมันออกไปจากเมืองของเธอ ขณะทำภารกิจ พี่ชายของเธอถูกฆ่าตาย เธอจึงมีความแค้น และตามไล่ล่าคนที่ฆ่าพี่ชายของเธอได้สำเร็จ ภายหลังหน่วย OSS ได้เห็นการกระทำของเธอ จึงชักชวนเธอเข้าร่วมหน่วย เธอถูกส่งไปทำภารกิจสายลับต่างๆทั่วโลก ที่สำคัญเธอเป็นคนที่คัดเลือก Jimmy Patterson ตัวเอกในเกมภาคแรก ให้มาเข้าร่วมหน่วย OSS อีกด้วย

“กล้องถ่ายรูป สามารถใช้เป็นอาวุธได้ด้วยนะเออ”

ในเกมภาคนี้ ตัวเกมยังคงความเป็น First Person Shooting ไว้คงเดิม สิ่งที่เพิ่มเติม และถูกพัฒนาขึ้นมาจากเดิมก็คือกราฟิกที่สวยมากยิ่งขึ้น ตัวเกมยังคงมีภารกิจลอบเร้นอยู่เช่นเดิม และเกมภาคนี้เป็นอีกหนึ่งภาคที่มีระดับความยากค่อนข้างสูงมาก หนึ่งในภารกิจที่ผมติดอยู่นานนับสัปดาห์ ก็คือภารกิจที่ผู้เล่นจะต้องไปถ่ายรูป คิวการเดินทางของทหารเยอรมัน ที่ฐานทัพแห่งหนึ่ง เป็นภารกิจลอบเร้น ความยากของภารกิจนี้ก็คือ ตัวเกมไม่ได้บอกให้ผู้เล่น “ภายรูปหนังสือคิวเดินทาง” แต่ตัวเกมบอกให้ผู้เล่น “ถ่ายรูปคิวการเดินทาง” นั้นจึงทำให้ผมงมหาสิ่งที่น่าจะใช่ในเกมเป็นเวลานานมากนั้นเองครับ


Medal of Honor: Underground นั้นได้รับคําวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากบางสำนัก บ้างก็ว่าตัวเกมไม่มีอะไรใหม่นอกจากฉากใหม่หรือตัวละครใหม่เลย นอกจากนั้นรูปแบบการเล่นทั้งหมดยังคงเหมือนเดิม บ้างก็ว่าตัวเกมภาคนี้เปรียบเสมือนภาคเสริมของตัวเกมภาคแรก ซึ่งตรงนี้หากเรามองดูดีๆแล้วตัวเกมใช้ชื่อว่า Medal of Honor: Underground ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Medal of Honor 2 และด้วยการที่ตัวเกมวางจำหน่ายห่างกันแค่ 1 ปี ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่บ้างเล็กน้อยล่ะนะ


The Next Generation


“Medal of Honor: Frontline”

อย่างไรก็ตาม Medal of Honor ก็ยังคงมีบทบาทอยู่ตลอดมาเรื่อยๆ เมื่อวงการเกมเข้าสู่ยุค PlayStation 2 Medal of Honor: Frontline ได้วางจำหน่ายในปี 2002 โดยในภาค Frontline นี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Jimmy Patterson อีกครั้ง และถือเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการของ Medal of Honor ภาคแรกที่อยู่ในเครื่อง Sony PlayStation อีกด้วย

และในปีเดียวกันนั้นเอง Medal of Honor: Allied Assault ได้วางจำหน่ายโดยลงให้กับ Windows PC ในแบบ Exclusive พัฒนาโดย 2015, Inc มี Designer โดย Vince Zampella & Jason West หรือที่หลายๆคนรู้จักกันในชื่อ Infinity Ward ผู้สร้างชื่อในกับ Call of Duty มาอย่างยาวนาน Medal of Honor: Allied Assault นั้นถือว่าเป็นเกม FPS สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดีที่สุดตลอดการของ PC ด้วยจำนวนยอดขายที่ถล่มทลาย ตัวเกมมาพร้อมกับโหมด Online Mutiplayer และอีกทั้งยังมีตัวเกมภาคเสริมตามมาวางขายในอีกภายหลังอีกด้วย

“Medal of Honor: Allied Assault”

จนกระทั่งในปี 2010 EA ในนำ Medal of Honor กลับมา Reboot อีกครั้งในชื่อ Medal of Honor โดยตัวเกมนั้นกลับมาใช้ Theme สงครามยุคใหม่แทน ตัวเกมนั้นได้รับคําวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้ว่าจะนำเอาเรื่องจริงมาเล่าก็ตาม และในปี 2012 Medal of Honor: Warfighter ได้เป็นการตอกย้ำว่า ซีรี่ย์นี้มันตายจากเกมเมอร์ไปแล้วนั้นเองครับ


“อย่างไรก็ตาม วงการเกมเดินหน้ายิงในยุคนี้ก็ดูเหมือนจะมาพบเจอกับทางตันอีกเช่นกัน ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราพบเจอกับ Call of Duty ที่พยายามเล่นกับสงครามโลกอนาคต หรือ Titanfall เกมเดินหน้ายิงที่มีส่วนผสมระหว่าง คน กับ หุ่นยนต์ ที่ทำได้อย่างลงตัว หรือจะเป็นเกมที่เน้นการแข่งขันอย่าง Counter Strike ที่ยังคงความ Classic เอาไว้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา หรือจะเป็น Action Fast Paced shooter อย่าง Overwatch หรือ Team Fortress 2 ที่ได้รับความนิยมจากเด็กรุ่นใหม่ และเกมเมอร์รุ่นเก่ากันเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเกมอย่าง Battlefield ที่ตัดสินใจ ไม่พาตัวเองไปยุคอนาคต แต่กลับย้อนเวลาพาเกมเมอร์มารู้จักกับ สงครามโลกครั้งที่ 1 แทน หรือจะเป็นเกม Remake “DOOM” เกม FPS ระดับตำนาน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม Medal of Honor ก็จะยังคงอยู่ในใจเกมเมอร์ตลอดไปครับ”