กว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ซีรี่ส์ผีชีวะ “Resident Evil” หรือ “Biohazard” ที่โด่งดังและสร้างชื่อเสียงมามากมายในวงการเกม Survival horror โดยวางจำหน่ายครั้งแรกปี 1996 ในเครื่อง PlayStation และทันทีที่เกมวางขาย ก็ได้สร้างกระแส Resident Evil Fever ขึ้นมาทันที ทำให้มีเกมแนวคล้ายๆ กันวางจำหน่ายตามออกมา ตัวเกมมีภาคต่อออกมามากมาย

จนกระทั่งในปี 2005 Resident Evil 4 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้ง เมื่อตัวเกมหันมาใช้มุมกล้องมุมมองบุคคลที่ 3 พร้อมกับ Graphic สมัยใหม่ และการกลับมาของตัวละครดั้งเดิมอย่าง Leon หรือ Ada ทำให้เกมในภาคที่ 4 นั้นได้รับคำชมจากสื่อ และผู้เล่นกันเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ใช่แค่ Resident Evil ภาคใหม่ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่มันคือเกม Survival horror Shooter ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน

จนกระทั่งในปี 2009-2012 Resident Evil 5 & Resident Evil 6 ตัวเกมยังคงใช้มุมกล้องมุมมองบุคคนที่ 3 ความเป็น Resident Evil ทุกอย่างยังคงมีอยู่ในเกมครบถ้วน ขาดแต่ “บรรยากาศ” ของในเกมที่หายไปแบบกู่ไม่กลับ เพราะตัวเกมนั้นกลายเป็นเกม Action เต็มตัวไปแล้ว โดยมีเจ้า B.O.W (Bio Organic Weapon) หรือที่เรียกกันว่า ซอมบี้ เป็นเพียงแค่ฉากหลังเท่านั้น แต่นอกจากนั้นแล้วก็ถือว่าตัวเกมยังทำได้ดีในเรื่องอื่นๆ และปฎิเสธไม่ได้เลยว่า Resident Evil 5 และ Resident Evil 6 เป็นเกมที่ Coop ได้สนุกมากๆ เลยล่ะ

แฟนๆ ส่วนใหญ่นั้นไม่พอใจที่ตัวเกมได้ละทิ้งบรรยากาศเดิมๆของ RE ไปจนหมด เหลือเพียงไว้แค่ฉากหลัง และตัวละครที่คุ้นเคยกันทั้งนั้น ในภาค 1-2-3 ตัวเกมนั้นมีจุดยืนของตัวเองมาตลอดด้วยการเล่นแบบ Survival horror แท้ๆที่สร้างความตื่นเต้น กดดัน ให้ผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา ถัดมาในภาค 4-5-6 ตัวเกมก็ยังคงเน้นจุดยืนของตัวเองไว้โดยเน้นการเล่นแบบ Action และระบบ Online Coop ให้เข้ากับยุคสมัยมากกว่าเดิม จนกระทั่งการมาของ Resident Evil 7 นี่นั้นเอง ที่คราวนี้ตัวเกมจะกลับไปใช้จุดยืนดั้งเดิมของตัวเองที่เคยทำไว้ในภาค 1-2-3 ประจวบเหมาะกับที่ซีรี่ย์ Resident Evil นั้นครบรอบ 20 ปีแล้ว เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมมากๆ กับภาคต่อภาคใหม่ของซีรี่ส์ จากที่ภาค 6 ได้วางขายไปเมื่อปี 2012

หลังจากพล่ามมาหลายบรรทัด จริงๆแล้วจุดประสงค์ของผมในบทความนี้ก็คือ หลังจากตัวเกม RE7 ได้วางขาย ผมได้เห็นกระแสตอบรับที่ออกไปทาง “กีดกั้น” เยอะจนน่าตกใจมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเกมที่มีคนบ่นว่าเป็นมุมมองบุคคลที่  1 หรือ Outlast ถือปืนบ้างละ หรือแม้แต่ประเดนถกเถียงเรื่องเนื้อหา และตัวละครภายในเกม ที่มีเกมเมอร์หลายกลุ่มพูดว่า “นี่มันไม่ใช่ Resident Evil”

Welcome to the family, son


แต่ให้ตายเถอะครับ หลังจากผมได้เล่นมาเกือบ 30 ชั่วโมง โดยใช้เวลาไปทั้งเกมตั้งแต่ต้นยันจบเกม ไม่ว่าจะเป็นโหมด Nomal หรือ Madhouse รวมไปถึง DLC ต่างๆ และการเล่นแบบ Speed run ที่ผมพยายามเก็บรายละเอียดให้ครบ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Resident Evil 7 นั้นมันคือ Resident Evil แท้ๆ ที่ตัวเกมนั้น “เป็นแฟนพันธุ์แท้ยิ่งกว่าแฟนเกมเสียอีก” เพราะตัวเกมนั้นได้นำเอาบรรยากาศความเป็น Resident Evil ทั้งหมดที่เคยสร้างไว้ในไตรภาคเดิมกลับมาอย่างครบถ้วน อีกทั้งตัวเกมยังมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ น่าติดตาม มีฉากที่ประทับใจหลายฉาก มีการออกแบบตัวร้ายที่น่าจดจำ และการผูกประเด็นเข้ากับเนื้อเรื่องหลักของซีรี่ส์ ที่ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนๆก็ทำออกมาดีจนไม่มีที่ติ

อีกหนึ่งจุดที่ทำให้หลายๆ คนมองว่า Resident Evil 7 นั้นไม่ใช่ RE ที่แท้จริง ก็คงเป็นเพราะ Gameplay ที่ทาง Capcom ได้พยายามออกมาโปรโมทตัวเกมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทั้ง Demo บ้าง และตัวอย่างที่เอาแต่โชว์ในเรื่องของ “บรรยากาศ” ภายในเกมเท่านั้น ไม่ได้โชว์ในส่วนของ Gameplay ที่แท้จริง ก็ไม่แปลกที่จะทำให้แฟนเกม หรือคนทั่วไปคิดกันแบบนั้น แน่นอนว่าตัวผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ว่าไอ่เกมนี้มันก็คือ RE ในคราบของ Indie Horror Game อย่างพวก Outlast , Amnesia หรือแม้แต่ Demo P.T. เท่านั้นยังไม่พอ ทาง Capcom ก็ได้นำเสนอตัวละครใหม่ และเนื้อเรื่องใหม่ ที่แถบจะ “ดูเหมือน” ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Resident Evil ภาคก่อนๆเลยแม้แต่น้อย บ้างก็พากันคิดไปว่า นี่มันอาจจะเป็นการ Reboot ซีรี่ส์ ยิ่งทำให้แฟนๆ หลายคนไม่พอใจเป็นอย่างมากกับภาคต่อของเกมชุดนี้ และแน่นอน ตัวผมก็ด้วยเช่นกัน


Game Start….. “RESIDENT EVIL 7”


จนกระทั่งตัวเกมได้วางจำหน่ายในวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา โดยไม่มีแม้แต่ตัวอย่างเกมใหม่ๆ ที่โชว์ในด้านอื่นๆของตัวเกมเลย แม้กระทั่งรายละเอียดของเนื้อเรื่องที่มากกว่าแค่ พระเอกตามหาเมียที่หายไป ก็ไม่มีสักนิดเดียว ตัวผมเองในตอนนั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดขั้นสาปส่ง Resident Evil 7 ว่าให้มียอดขายแย่กันเลยทีเดียว จนเมื่อผมได้เห็นคะแนน Review ใน Steam ที่ออกไปทางบวก พร้อมกับเพื่อนผมที่ได้ทดลองชื้อตัวเกมมาเล่นพบว่าตัวเกมนั้นมัน “ยอดเยี่ยมมาก” จนอยากให้ผมลองเล่นเพื่อที่จะมาเขียนรีวิวให้จงได้ แต่ผมก็ยังไม่ใส่ใจ เพราะด้วยการที่ตัวผมเองไม่ถูกกับเกมแนว Horror อยู่แล้ว จึงตัดสินใจที่จะไม่ชื้อเกมนี้มาเล่น แต่จนแล้วจนรอด สัญชาตญาณของผมก็บังคับให้ผมชื้อมันมาจนได้หลังจากตัวเกมวางจำหน่ายไปแล้ว 5-6 วัน และเรืองราวมันก็เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้แล่ะครับ วินาทีที่ผมจ่ายเงินและ Download ตัวเกมมาผ่านระบบ Steam นั้น ผมถามใจตัวเองว่า พร้อมแล้วหรอกับ another horror game หลังจากที่ดองเกมแนวนี้มานานมากและเล่นไม่เคยจบสักเกมใน Account ของตัวเอง

จนกระทั่งตัวเกมเริ่มต้นขึ้น

“เฮ้ที่รัก ฉันแค่อยากจะบอกว่า “สวัสดีค่ะ” และ “ฉันรักคุณนะ” โอ้ และฉันมีข่าวดีมากบอก ฉันกำลังจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้แล้ว ……. เฮ้ออ ฉันรอไม่ไหวแล้วกับงานพี่เลี้ยงเด็กนี้ และฉันจะได้กลับบ้านไปหาสามีสุดที่รัก.. ฉันคิดถึงคุณนะ อ๊ะ ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว ฉันรักคุณนะอีธาน ฉันคิดถึงคุณมาก แล้วเจอกันนะ !!”

“อีธาน… คุณพูดถูก ฉันโกหกคุณ ฉันไม่ควรที่จะทำแบบนี้ แต่ … ที่ฉันพูดได้คือ ถ้าหากคุณได้ข้อความนี้…. “

“อยู่ห่างๆไว้”

และตัวเกมก็ตัดฉากเข้าสู่ตัวเกมหลัก อีธาน วินเทอร์ส พลเมืองทั่วไป เขาได้แต่งงานกับ มีอา วินเทอร์ส ภรรยาของเขา ในปี 2014 มีอาได้ไปรับจ้างทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยจดหมายฉบับแรกได้ถูกส่งมาให้อีธานในช่วงเวลานั้น และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ มาอีกเลย มีอาได้สาบสูญไปนานถึง 3 ปีและเชื่อกันว่าเธอน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว จู่ๆในวันนึง อีธานกลับได้จดหมายลึกลับมาจากบุคคลนิรนาม อ้างว่ามีอาเธอได้รออีธานอยู่ที่บ้านของครอบครัวตระกูลเบเกอร์ เมืองดัลวีย์ รัฐหลุยส์เซียน่า ของสหรัฐอเมริกา และเขาต้องการที่จะพิสูจน์ว่าเธอนั้นยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไหม อีธานได้มุ่งหน้าไปอย่างบ้านดังกล่าว และทันทีที่เขาเดินทางถึง เขาก็พบว่าบ้านทั้งหลังดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานานหลายปี เขาได้เข้าไปสำรวจบ้าน และได้พบกับมีอาที่ถูกขั้งอยู่ในห้องชั้นใต้ดินของบ้าน พวกเขาจะต้องหนีออกจากบ้านให้ได้ก่อน”หัวหน้าครอบครัว” จะมาพบเข้า แต่ทันใดนั้นเองมีอากลับเกิดอาการคลุ้มคลั่ง และได้ทำร้ายอีธาน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากโต้ตอบทำให้มีอานั้นแน่นิ่งไป ทันใดนั้นเองเขาได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาวที่อ้างชื่อตัวเองว่า “โซอี้” เขาได้บอกกับอีธานว่าเขาไม่ควรมาที่นี้ และได้แนะนำให้หาทางออกไป แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ถูกเจ้าของบ้านจับได้ อีธานถูกทำให้สลบ และได้พาตัวทั้งเขาและมีอา เข้าไปไว้ในบ้านใหญ่

“จำบ้านหลังนี้กันได้ไหม”

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดของ Resident Evil 7 ครับ ในฉาก Prologue ของตัวเกมนั้นแทบจะคล้ายๆกับ Demo ทุกประการ เพราะใช้ฉาก สถานที่และสิ่งของเหมือนๆ กันหมด และหลังจากจบฉาก Prologue ยาว 40 นาที(หากเล่นแบบไม่รีบ) แล้วตัวเกมก็จะเข้าสู่ Gameplay ที่แท้จริงของ Resident Evil 7 ครับ เริ่มจากที่ตัวอีธานเองนั้นไม่ใช่ยอดมนุษย์ เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ต้องการจะช่วยเมีย ตัวเกมจะโยนผู้เล่นไปไว้ในสถานที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งฉากหลักๆ ในตัวเกมภาคนี้ก็คือ คฤหาสน์เบเกอร์ ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ สนามสวนหลังบ้าน บ้านเก่าของป้ามาร์เกอรีธ และศูนย์วิจัยแห่งหนึ่ง เท่านี้คุ้นๆ ไหมล่ะครับ โดย Gameplay หลักๆในเกมก็คือ Survival Horror ผู้เล่นจะต้องเอาชีวิตรอดจาก “Molded” สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกับการทดลองของเชื้อสารบางอย่าง ที่มีอยู่เต็มบ้านตระกูลเบเกอร์ แน่นอนว่าทรัพยากรนั้นก็มีจำกัดไม่ว่าจะเป็นทั้งกระสุนปืน ยาครอบจักรวาล สมุนไพร ต่างๆ แม้กระทั่งการ Save Game ผ่านเครื่องเล่นเทปก็มีการจำกัดจำนวนครั้ง ในตัวผู้เล่นไม่สามารถถือของจำนวนมากๆไว้ในเวลาเดียวกันได้ ผู้เล่นจะต้องบริหารจัดการช่องเก็บของให้ดีๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเกมก็ยังมี “กล่องครอบจักรวาล” หรือ Item Box สุด Classic มาให้ผู้เล่นได้ใช้เก็บของกัน นอกจากนั้นตัวเกมยังมีระบบการ Upgrade ตัวละครผ่านการฉีดสารกระตุ้นเข้าไปในร่างกาย เพื่อเพิ่มพลังชีวิตสูงสุด หรือยาที่ทำให้รีโหลดกระสุนปืนเร็วรวดยิ่งขึ้น และแน่นอน การปลดล๊อคอาวุธปืนชนิดพิเศษ โดยที่ผู้เล่นจะต้องเก็บเหรียญมาแลกกับของพวกนี้ โดยจะมีให้เก็บตามฉากภายในเกม แต่ก็ต้องใช้การสังเกตหน่อยล่ะ รวมไปถึงการแก้ไขปริศนาภายในเกมที่กลับมาใช้บรรยากาศเดิมๆ ที่ผู้เล่นจะต้องรู้จักสังเกตสิ่งของตามฉาก รวมไปถึงการออกตามหากุญแจชนิดต่างๆ มาไขประตูชนิดนั้นๆอีกด้วย และจากที่ผมพูดมาทั้งหมด แค่นี้ก็ปฏิเสธไม่ได้แล้วครับว่านี่มันคือ Resident Evil แท้ๆเลยจริงๆ สิ่งที่แตกต่างออกไปจากไตรภาคเดิมก็คือ ตัวเกมมันมาอยู่ในมุมมองบุคคลที่ 1 แค่นั้นเองครับ นอกจากนั้นแล้ว มันก็คือเกม Resident Evil ที่ผมคิดว่าแฟนยุคเดิมต้องการมันอย่างแน่นอน


Jump Scare ?? Nope


“อาวุธพร้อม ไม่กลัวหรอก”

ผมคิดว่าหัวข้อนี้น่าจะเป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุดในบทความนี้เลยก็ว่าได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าเหตุผลที่หลายคนเกลียด หรือไม่ชอบเล่นเกมแนว Horror เหตุผลหลักๆเลยก็คือเกลียดฉาก Jump Scare นี่แล่ะ ชนิดที่ว่า บรรยากาศจะหลอนแบบไหนก็ตาม ก็ไม่มีอะไรเกลียดเท่าฉาก Jump Scare อีกแล้ว ย้อนกลับไปช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หากเกมเมอร์ที่ชื่นชอบเกม Horror หลายๆท่าน น่าจะทราบกันอยู่แล้วว่าเกม Horror สมัยนี้มันไม่ค่อยจะมีฉาก Jump Scare อะไรพวกนั้นแล้ว และหลายๆเกมก็มุ่งเน้นไปทำให้ตัวเกมมีบรรยากาศกดดัน ตึงเครียด หลอนผู้เล่นให้กลัว และคิดไปเองเสียมากกว่า และไม่น่าเชื่อว่าผลที่ออกมามันดีมากจนทำให้ผมรู้สึกโอเคกับเกมแนวนี้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในเกมอย่าง Until Dawn ผมเชื่อว่าใครที่ยังไม่ได้เล่นเกมนี้ และไม่คิดจะลองเล่น นั้นเป็นเพราะว่ากลัวฉาก Jump Scare กันเป็นแน่แท้ แต่หลังจากที่ผมได้ลองเล่นมาจนจบเกมพบว่า ฉาก Jump Scare ใน Until Dawn นั้นมีไม่ถึง 2-3 ฉากในเกมเลยด้วยซ้ำ แต่ตัวเกมนั้นมุ่งเน้นไปในส่วนของบรรยากาศ และสร้างความกดดันให้ผู้เล่นหลอนไปเองเสียมากกว่า

“เป็นคุณ คุณจะทำไง”

เอาล่ะ กลับมาใน Resident Evil 7 ต่อ ใช่ครับเกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่มีฉาก Jump Scare ไม่ถึง 2-3 ฉากเช่นกัน และตัวเกมก็มุ่งเน้นไปในส่วนของบรรยากาศในเกม ที่ผมบอกเลยว่าทำมาได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก มีหลายครั้ง หลายฉากในเกมที่ทำให้ผมสติแตกไปเอง แต่ด้วยปืนที่ถือในมือ สามารถฆ่าทุกสิ่งที่โผล่มาได้ มันก็สร้างความบรรเทิงในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะ ยกตัวอย่างในฉากหนึ่งที่ผมชอบมาก นั้นคือฉากที่ตัวเกมบังคับให้ผมเดินออกไปในทางแคบๆ ซึ่งปลายทางเดินผมได้เห็นเท้าของเด็กหญิงยืนรออยู่ปากทางออก

แอบสปอยนะครับ ถ้าอยากตื่นเต้นในเกมไม่ต้องคลิกอ่านนะ อิอิ
ตอนนั้นผมกลัวมาก ผมกด Pause เกม และทำใจก่อน Resume และถือ Shotgun เดินก้มหน้าออกไปทางนั้น ทันทีที่ผมไปถึงปากทางออก เด็กคนนั้นก็วิ่งหนีไป พร้อมกับฉากที่มึดลง ผมตัดสินใจวิ่งออกทางประตูเดี่ยวที่วิ่งเข้ามา และทันไดนั้นเองตัวเกมกลับต้อนรับผมด้วย Molded ที่ยืนอยู่หน้าประตูทันทีที่ผมเปิด แน่นอนว่า Shotgun ในมือผมก็ลั่นทันที ขณะที่กำลังวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ไอ่เจ้า Molded ก็เกิดตามทางไล่ล่ามาไม่หยุดในสภาพแวดล้อมที่แคบและมึดมาก เรียกได้ว่ามันทั้งสนุกและตื่นเต้น และน่ากลัวไปในเวลาเดียวกันจริงๆ วินาทีที่ได้เอาปืนยิงใส่มันก็สะใจมาก แต่เราก็ต้องบริหารกระสุนของเราอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ฉากที่ผมพูดถึงมามันเป็นเพียงแค่ส่วนนึงในเกมเท่านั้นครับ นอกจากนั้นแล้วใน Resident Evil 7 นั้นก็ยังมีฉากอื่นๆ หรือสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ถูกสร้างออกมาได้อย่าง “มีชั้นเชิง” มากเป็นพิเศษ แตกต่างจากเกม Horror เกมอื่นๆ หรือถ้าจะให้พูดก็คือ ผู้เล่นลองนึกถึงความรู้สึกที่ได้เล่น Resident Evil ภาคแรกบนเครื่อง PS1 แต่คราวนี้เราจะได้เล่นใหม่อีกครั้งในเครื่องยุคใหม่ พร้อมกับกราฟิกที่สวยสมจริง และมุมกล้องแบบ FPS นั้นล่ะครับ คือสิ่งที่ผมพูดถึง


One Door Closes, Another Door Opens


จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เมื่อผมได้เข้าไปตามเว็บไซด์ต่างประเทศต่างๆ หรือแม้กระทั่งในเฟซบุ๊ก ก็ยังคงมีกลุ่มผู้เล่นหลายคนที่ไม่ชอบ Resident Evil 7 โดยคอมเม้นที่ผมเห็นบ่อยที่สุดก็คือ “Outlast มีปืนใช้” , “ไม่ใช่ RE ที่รู้จัก”, “P.T. Remaster” นี่ล่ะครับ สิ่งที่ผมอยากจะนำมาเล่าและบอกต่อเพื่อนๆนักเล่นเกมทุกคนก็คือ จริงๆแล้ว Resident Evil 7 มันก็คือ Resident Evil นั้นแล่ะครับ มันไม่ใช่เกมอื่นๆ ที่ใครหลายๆ คนนำเอามาเปรียบเทียบหรือพูดถึงเลย หลังจากได้ลองเล่นดูแล้ว ผมก็คงพูดได้ว่ามันเป็น RE ภาคที่ผมเล่นจบแล้วประทับใจที่สุดในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ Capcom ได้แสดงฝีมือให้เห็นตัวละครใหม่ที่น่าจดจำทุกตัวในเกมๆเดียว รวมไปถึงการสร้าง Storyline ในเกมที่แปลกใหม่ จนทำให้แฟนๆหลายคน(ที่ยังไม่ได้เล่น) ไม่พอใจในการเปลี่ยนแปลงของซีรี่ส์ RE ในครั้งนี้

“แต่จริงๆแล้วใน Resident Evil 7 นั้นตัวเกมก็ยังคงเป็น RE อยู่เหมือนเดิมนั้นแล่ะครับ เพียงแต่มันถูกเล่าเรื่องผ่านชายคนนึง ที่ไม่ได้เป็นตำรวจ ไม่ได้เป็นทหาร ไม่ได้เป็นหน่วยรบพิเศษมาจากไหน เขาก็เป็นเพียงแค่พลเรือนคนนึง ที่ดันมาเจอกับ B.O.W เท่านั้นเองครับ”

“สุดท้ายนี้ Resident Evil 7 ผมขอยกให้เป็นเกม Survival horror ที่ดีที่สุดประจำปีนี้ และขอยกให้เป็น Resident Evil ที่ผมเล่นจบแล้วประทับใจที่สุดในใจผมเช่นกัน”