สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ หลังจากเมื่อคราวก่อนเราได้ทำความรู้จักกับ Game Engine กันไปบ้างแล้ว และเราได้ทิ้งท้ายกันไว้ว่าทีมงานเว็บแบไต๋จะหยิบเลือก Engine ตัวใดตัวหนึ่งมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน

และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ “RenderWare” อีกหนึ่งเกม Engine ที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดเกม Console ยุคปี 2000 ถึงปี 2010 เลยทีเดียว เกริ่นกันสักนิดนึงว่าผลงานดังๆอย่าง GTA San Andreas และ Vice City เองก็ขับเคลื่อนโดย RenderWare เช่นกันครับ


อะไรคือ RenderWare


“ภาพจาก Game Engine RenderWare”

RenderWare เป็นผลงานจาก Criterion Games สตูอิโอจากประเทศอังกฤษ ผลงานที่ดังๆจากค่ายนี้ที่หลายๆคนรู้จักก็คือ Burnout Series, Need for Speed (2010-2013) โดยในตอนแรก RenderWare ถูกออกแบบมาเป็นเพียงแค่ API (Direct3D, OpenGL) สำหรับคอมพิวเตอร์ในยุคต้นปี 90 เท่านั้น ก่อนที่จะพัฒนามาเรื่อยมาจนสามารถรองรับการใช้งาน API ทุกรูปแบบ รวมไปถึงตัว API ของ RenderWare เองด้วยครับ

จุดเด่นที่สุดของ RenderWare เลยก็การที่ตัว Engine สามารถทำให้การสร้างเกมในเครื่อง PS2 เป็นเรื่องง่ายมากๆ เนื่องจากในยุคนั้นการทำเกมลงเครื่อง PS2 นั้นจะแตกต่างจากของ PC เป็นอย่างมากในเรื่องของ API และทั้งตัว Hardware เองด้วยครับ

“ภาพจากเวอร์ชั่นแรกๆของ RenderWare”

แน่นอนว่ามันจึงสร้างความยากลำบากให้เหล่านักพัฒนาในยุคเป็นอย่างมาก แต่ RenderWare ได้แก้ปัญหาส่วนนี้ออกไปได้อย่างสบายเนื่องจากว่าตัว Engine มี API เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้หลายๆคนเรียกกันว่า มันคือ “Sony’s DirectX” กันเลยทีเดียว

RenderWare นั้นได้ออกมาทั้งหมด 4 เวอร์ชั่นด้วยกัน โดยในเวอร์ชั่นที่ 2 ตัวโปรแกรมได้มีการออกแบบภาษาที่ใช้สำหรับตัวโปรแกรมเองเท่านั้นขึ้นมา เรียกว่า RWX (RenderWare script) ก่อนที่จะถูกถอดออกไปในเวอร์ชั่นที่ 3 เนื่องจากว่าได้รับความนิยมไม่มากพอ และไปเน้นเรื่องการเขียนไฟล์ในรูปแบบ binary แทน โดยการใช้การเก็บไฟล์ในรูปแบบนี้แทน Text File จะทำให้การใช้เนื้อที่น้อยลงกว่าเดิม

“Unreal Engine 3 ผู้ที่มาสยบ RenderWare”

ในช่วงเข้ายุค Next-Gen ช่วงต้นปี 2006 เป็นต้นมา RenderWare เริ่มได้รับความนิยมน้อยลงด้วยปัจจัยหลายอย่าง อันดับแรกเลยคือการมาของ Unreal Engine 3 ที่เปิดตัวพร้อมกับ Gears of War ตัวเกมได้แสดงถึงประสิทธิภาพถึงคำว่า Next-Gen Game ได้ดีมาก แต่ด้วยการที่ตัว UE3 เองนั้นไม่รองรับเครื่องคอนโซลที่ขายดีสุดๆอย่าง PS2 จึงทำให้ RenderWare ยังพอมีจุดยืนอยู่บ้างในช่วงนั้น

ประกอบอีกหนึ่งปัจจัยหลักๆเลยก็คือ คุณภาพกราฟฟิก และระบบเกมที่ล้าสมัยเกินไป ด้วยการที่ Engine มีความเก่ามาหลายปี และ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนักพัฒนาในยุคนั้นได้อย่างเต็มที่ ทำให้พวกเขาหันไปสนใจ Engine ตัวใหม่ๆกันแทน

“Crackdown อีกหนึ่งเกม EX-Xbox 360 ที่ใช้ RenderWare”

ในช่วงหลังปี 2006 เราจะยังคงได้เห็นเกมที่มาจาก RenderWare อยู่ค่อนข้างมาก ยาวไปถึงปี 2013 เลยทีเดียว โดยเกมดังๆในช่วงนั้นยกตัวอย่างเช่น Bully, Crackdown, Manhunt 2, Alone in the Dark, Pro Evolution Soccer 6(วินนิ่ง 6) Burnout Paradise เป็นต้นครับ

ปัจจุบัน RenderWare นั้นได้หยุดการพัฒนาไปแล้วที่ 4 เวอร์ชั่น และสิทธิทั้งหมดก็อยู่กับ EA เจ้าของบริษัท Criterion Games ที่ได้ถูกชื้อไปในปี 2004 เนื่องจากว่าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้อย่าง Unreal Engine 3 ได้แน่นอนว่าทาง EA ก็ไม่ได้เปิดขาย RenderWare อีกต่อไปหลังจากนั้น

“Sim City 2013 เกมสุดท้ายที่ใช้ RenderWare”

โดยเกมสุดท้ายที่ใช้ RenderWare ก็คือ Sim City Reboot เวอร์ชั่นปี 2013 ที่พวกเรารู้จักกันดีนั้นเองครับ (แหล่งข้อมูลบางส่วนได้อ้างว่าเป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงแบบขีดสุด heavily modified)


เกมฮิตที่มาจาก RenderWare


จริงๆแล้วมีเยอะมากเลยครับ และส่วนมากจะเป็นเกมดังๆที่พวกเราล้วนเคยเล่น และรู้จักกันเป็นอย่างดีเลยด้วย เริ่มต้นด้วย Burnout Series กันก่อนเลยดีกว่า ต้องบอกเลยว่าเกม Burnout ทุกภาคที่ออกมาเป็นผลงานของ RenderWare ทุกภาคเลยครับ

“Burnout 3: Takedown เกมที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคย”

เริ่มตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2001 และภาคโครตฮิต ติดนิยมตามเกมตู้อย่าง Burnout 3: Takedown ก็มาจาก RenderWare เช่นกัน ก่อนที่จะมาปิดท้ายด้วย Burnout Paradise ที่เป็นภาคหลักภาคสุดท้ายของซีรี่ส์นี่แล้วครับผม (แต่ทุกวันนี้ผมยังมีหวังสำหรับภาคใหม่อยู่นะ…)

เกมต่อมาถ้าไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ กับซีรี่ส์เกรียนเทพตลอดกาล “Grand Theft Auto” ขอเสริมเล็กน้อย เมื่อก่อนพวกเรามักจะเรียกเจ้าเกมนี้ตามความเข้าใจว่า “เกมขโมยรถ” ซึ่งบางคนก็เรียกว่า GTA จนตอนนั้นผมรู้สึกว่าไอ่การเรียกว่า “เกมขโมยรถ” เนี่ย มันดูไม่ดีเอาเสียเลย จนกระทั่งโตมาและรับรู้ว่าไอ่คำว่า Grand Theft Auto เนี่ยมันก็หมายความว่าการขโมยรถนี่แหล่ะครับ ทำให้ผมรู้สึกว่า “เออแหะ ไอ่เกมนี้มันเป็นเกมที่ตั้งชื่อได้สมกับตัวเกมจริงๆ”

“GTA San Andreas ขับเคลื่อนโดย RenderWare”

มาเข้าเรื่องกันต่อ  Grand Theft Auto นับตั้งแต่ภาค 3 เป็นต้นมาถึงภาค San Andreas ทุกๆภาคใช้ RenderWare หมดเลยครับ เป็นตัวอย่างที่ดีเลยว่าตัว Engine นั้นมีความสามารถสูงมากๆ เลยทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับทีมพัฒนาด้วยเช่นกัน

“Rockstar Advanced Game Engine”

Grand Theft Auto San Andreas เป็นเกมภาคสุดท้ายครับที่ใช้ RenderWare ก่อนที่ Rockstar จะทันไปพัฒนา Engine ของตัวเองออกมากลายเป็น RAGE Engine ที่เราเห็นกันใน GTA IV (รอติดตามอ่านบทความสำหรับ RAGE Engine กันได้เลย)

“Black อีกหนึ่งเกม FPS ที่มาจาก RenderWare”

และนอกจาก 2 ซีรี่ส์ดังนี้ ก็จะมีเกม FPS อย่าง Black ที่คอเกม PS2 น่าจะรู้จักกันมาบ้าง กับด้วยการแสดงผลกราฟฟิกที่โครตสวยงามเทียบเท่ากับเกมที่ลงให้กับเครื่อง Xbox 360 ในยุคนั้นเลยทีเดียว และก็ยังมีซีรี่ส์ Mortal Kombat ยุค PS2 ที่ใช้ RenderWare ทั้ง 3 ภาคเลย Tony Hawk’s Pro Skater และ Harry Potter ตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นมาก็มาจากเจ้า RenderWare นี้หมดทั้งสิ้น

และอีกหนึ่งเกมสุดท้ายเลยก็คือ Dream of Mirror Online เกม MMORPG ที่ลงให้กับ PC แสดงให้เห็นว่า RenderWare ก็ยังสามารถสร้างเกมออนไลน์คุณภาพได้นะ !!


RenderWare นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Game Engine ที่มีความสำคัญต่อวงการเกมเป็นอย่างมากเลยครับ ดูได้จาก List รายชื่อเกมที่ขับเคลื่อนโดย Engine ตัวนี้ แต่ละเกมนั้นบอกได้เลยว่าเป็นเกมคุณภาพเกือบทั้งนั้น และยังเป็นแรงกระตุ้นให้นักพัฒนาเจ้าอื่นๆหันมาพัฒนา Game Engine ของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากกว่า และผลประโยชนแน่นอนว่าก็ตกมาอยู่ที่ผู้บริโภคอย่างเราๆนี่แล่ะ

น่าเสียดายที่ RenderWare นั้นไม่ได้ไปต่อ และหยุดการพัฒนาไปแล้ว และหยุดการจัดจำหน่ายไปแล้ว นั้นหมายความว่าเรา(อาจ)จะไม่ได้เห็นเกมที่มาจาก RenderWare อีกต่อไป ยกเว้นเสียว่า EA เกิดอยากจะขุดเจ้า Engine ตัวนี้ขึ้นมาทำใหม่ แต่ถึงแบบนั้นตอนนี้ EA ก็มีสุดยอด Frostbite อยู่ในมือไปแล้วล่ะ

ในครั้งหน้ากระผมจะนำเอา Game Engine สุดฮิตอย่าง Unreal Engine มาแนะนำแบบเจาะลึกให้ท่านผู้อ่านรู้จัก อย่าลืมติดตามกด Like แฟนเพจ Beartai Hitech | แบไต๋ ไฮเทค ไว้ด้วยนะครับ !!