นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ได้เล็งเห็นถึงปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ และคาดว่าภาวะราคาสินค้าแพงจะยาวนานไป อย่างน้อย 3 เดือน หรืออาจยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้ หากราคาพลังงานยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งผู้ประกอบการสามารถตรึงราคาสินค้าได้อีกแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น

ทั้งนี้ ส.อ.ท. ขอเสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนโดยการลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเดินทาง รวมทั้งลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียม เช่น ภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิง และสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพอื่น ๆ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนในช่วงนี้

สำหรับผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 14 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หัวข้อ “สินค้าแพง ค่าครองชีพพุ่ง จะช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร” ทำการสำรวจจากผู้บริหาร ส.อ.ท. จำนวน 150 ราย ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด โดยสรุปผลการสำรวจได้ดังต่อไปนี้

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้

  • ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 76.7%
  • ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น 74.0%
  • ค่าขนส่งที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง 63.3%
  • ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และภาระค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้น 51.3%

ภาวะราคาสินค้าแพงจะยาวนานแค่ไหน

  • 3-6 เดือน 35.3%
  • 6-12 เดือน 34.7%
  • มากกว่า 1 ปี 30.0%

มาตรการใดมีประสิทธิภาพในการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน

  • ลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำประปา, ค่าเดินทาง 75.3%
  • ลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียม เช่น ภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิงและสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพอื่น ๆ 74.7%
  • ตรึงราคาน้ำมัน ไม่ให้มีผลต่อต้นทุนสินค้า 66.0%
  • มาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพ เช่น คนละครึ่ง 59.3%

ภาคเอกชนจะช่วยเหลือประชาชนในการตรึงราคาสินค้าไม่ให้ปรับขึ้นได้นานเท่าไร

  • 1–2 เดือน 40.0%
  • 3–4 เดือน 30.7%
  • มากกว่า 6 เดือน 16.7%
  • 5–6 เดือน 12.6%

เอกชนควรปรับตัวรับมือกับกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวอย่างไร

  • นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 77.3%
  • นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต เช่น LEAN, ไคเซ็น 61.3%
  • ปรับกลยุทธ์เน้นตลาดต่างประเทศ และการแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ 54.0%
  • เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ 50.0%

อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 จะอยู่ในระดับใด

  • 58.0% เพิ่มขึ้น 2-4 %
  • 23.3% เพิ่มขึ้นมากกว่า 4%
  • 18.7% เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2%

ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส