ในปี 2022 นี้หากพูดถึงอัลบั้มดี ๆ ที่ปล่อยออกมา หนึ่งในนั้นคงจะต้องมีอัลบั้ม ‘Lucifer on the Sofa’ อัลบั้มชุดที่ 10 จาก ‘Spoon’ วงร็อกจากออสติน,เท็กซัส โดยตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีในเส้นทางการเป็นนักดนตรีของพวกเขา อัลบั้มนี้ก็ได้ถูกยกย่องจากสื่อหลายสำนักเช่น Time, Rolling Stone และ Stereogum ว่านี่คือผลงานที่ดีที่สุดของ Spoon เลยก็ว่าได้

Lucifer on the Sofa

อัลบั้มชุดนี้ Spoon ได้ร่วมงานกับ มาร์ก แรนกิน (Mark Rankin) (Adele, Weezer, Florence And The Machine และ Queens of the Stone Age) ในฐานะโปรดิวเซอร์ร่วม เสริมด้วยคนดนตรีมากประสบการณ์อย่าง เดฟ ฟริดมานน์ (Dave Fridmann) และ จัสติน เรซิน (Justin Raisen) ที่มีส่วนผลักดันให้งานชุดนี้มีความกลมกล่อมของดนตรีร็อกแอนด์โรลแท้ๆ กีต้าร์จัดจ้าน แทรกงานสังเคราะห์แบบฉบับดนตรีสมัยใหม่อย่างไปแนบเนียน ไปจนถึงงานอเมริกันโฟล์กละมุน ที่พวกเขาพยายามนำเครื่องดนตรีอย่างเปียโนมาใช้ รวมทั้งภาพลักษณ์ ซึ่ง บริตต์ แดเนียลส์ (Britt Daniels) ฟรอนท์แมนของวงได้จำกัดความของอัลบั้มนี้ว่า  “Lucifer on the Sofa ในมุมมองของพวกเรา มันคืองานคลาสสิกร็อกจากฝีมือของคนที่ไม่เคยฟังงานของ อีริก แคลปตัน”

เป็นโอกาสอันดีที่เราได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ Spoon ผ่านทางอีเมลโดย อเล็กซ์ ฟิชเชอร์ (Alex Fisher) มือกีตาร์และคีย์บอร์ดของวงเป็นคนตอบคำถามส่วนใหญ่ให้กับเราถึงงานเพลงในอัลบั้มใหม่ ‘Lucifer on The Sofa’ ที่เชื่อว่าหลายคนคงประทับใจไม่น้อยเลย และหวังว่าบทสัมภาษณ์นี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ดื่มด่ำกับอัลบั้มชุดนี้ได้ดียิ่งขึ้น

อะไรเป็นแรงบันดาลใจสำหรับอัลบั้มใหม่ของ Spoon ‘Lucifer On The Sofa’

อเล็กซ์ : พวกเราอยากจะทำอัลบั้มที่มีความเป็นวงมาก ๆ  เราสนุกกับการทำอัลบั้มล่าสุด ‘Hot Thoughts’ มาก แต่มันมีความเป็นสตูดิโออัลบั้มมาก ๆ เลย เหมือนกับว่าเราเอาเพลงมารวมกันเป็นส่วนใหญ่ในสตูดิโอ เมื่อถึงเวลาออกทัวร์ซึ่งเราออกทัวร์บ่อยมากในอัลบั้มนั้น เราสังเกตเห็นว่าเพลงมีการพัฒนาในลักษณะที่หลายครั้งดีกว่าเวอร์ชันที่บันทึกไว้ เราจึงตัดสินใจพยายามรวบรวมพลังนั้นไว้สำหรับอัลบั้มนี้ เราเล่นเพลงด้วยกันบ่อยมากก่อนที่เราจะคิดอัดมันด้วยซ้ำ

กระบวนการสร้างสรรค์อัลบั้มนี้เป็นอย่างไรและมันมีความแตกต่างจากอัลบั้มก่อน ๆ อย่างไรบ้าง

อเล็กซ์ : ใช่ เหมือนที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เราทำงานกันมากขึ้นก่อนที่เราจะเริ่มบันทึกเสียง เราเล่นด้วยกันเยอะมากและทุกคนอาศัยอยู่ในออสตินซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ในตัวของมันเอง มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อต้องทำงานเพลงเพราะเรามีเวลาเหลือเฟือ นอกจากนี้เรายังฟังเพลงจำนวนมากที่บันทึกเสียงเป็น 4 แทร็กหรือ 8 แทร็กเนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของช่วงเวลานั้น ทำให้เราพบว่าเครื่องดนตรีทุกชิ้นมี “ที่ทาง” ของมัน และเราควรให้ความสำคัญกับทุกสิ่งจริง ๆ ในการทำการบันทึกเสียง 

ชื่ออัลบั้มนี้มีความหมายว่าอย่างไรและ Lucifer เป็นตัวแทนของอะไร

อเล็กซ์ : อืม สำหรับเรา มันเป็นเรื่องของด้านมืดที่เราทุกคนมีและยอมรับมันจริง ๆ มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นด้านมืดเหล่านี้ในตัวของเราเองหรือสิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง แต่บางครั้งในช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ คุณถูกบังคับให้มองเข้าไปโดยตรงเพราะไม่มีอะไรมากวนใจคุณ ทุกคนมีลูซิเฟอร์ส่วนตัวเป็นของตัวเอง และถ้าพวกเขาบอกว่าไม่มี ผมจะรู้สึกไม่ไว้ใจคนที่พูดแบบนั้นเลย

Spoon

ทำไมวงถึงให้ความสนใจกับดนตรีแนว  ‘คลาสสิกร็อก’ สำหรับอัลบั้มนี้

อเล็กซ์ :  เราไม่ได้ตัดสินใจที่จะเลือกแนวคลาสสิกร็อก แต่เราต้องการที่จะทำอัลบั้มเพลงร็อก ปัจจุบันมีเพลงร็อกเพียงน้อยนิดที่ถูกสร้างขึ้นมาและช่วงที่เราทำอัลบั้มนี้เราฟังเพลง “ร็อกคลาสสิก” อยู่เป็นจำนวนมากเลย ยกเว้นก็แต่ อีริก แคลปตันคนเดียว เพราะนายคนนี้นี่ไม่โดนใจผมเอาซะเลย

การฟังเพลงในอัลบั้มนี้ให้ความรู้สึกเหมือนฟังแสดงสดเลย พวกคุณตั้งใจทำให้รู้สึกแบบนี้ไหม

อเล็กซ์ :  ใช่เลย ! ผมดีใจมาก ๆ เลยที่มันทำให้คุณรู้สึกแบบนี้

สถานการณ์โควิดส่งผลกระทบอะไรกับเพลงของพวกคุณไหม

อเล็กซ์ :  ใช่มันส่งผลกระทบสุด ๆ เลยในตอนแรก เราทำงานมา 5 หรือ 6 เดือนแล้วในอัลบั้มนี้และด้วยความต้องการบันทึกเสียงสด ๆ มันเลยทำให้เราทุกคนต้องทำงานด้วยกัน และทันใดนั้นจักรวาลก็มีแผนการที่แตกต่างออกไปทำให้เรายังไปต่อไม่ได้ เราติดอยู่กับเพลงของเรามาระยะหนึ่งแล้ว แต่มันก็ทำให้บริตต์มีเวลาในการเขียนเพลงเพิ่มอีกหน่อย และผลลัพธ์ของมันก็น่าทึ่งมาก ๆ  ในที่สุดเราก็หาวิธีกลับมารวมกันและทำงานต่อจากที่ค้างไว้ ใช่มันเป็นเรื่องแปลกที่เราต้องหยุดท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกคนประสบมันร่วมกัน แต่ในทางกลับกันอัลบั้มนี้ก็ได้รับประโยชน์จากช่วงเวลานั้นจริง ๆ

เพลง “Wild” นั้นมันเจ๋งจริง ๆ ทั้งตัวเพลงและก็มิวสิกวิดีโอเลย อะไรคือไอเดียเบื้องหลังเพลงนี้

อเล็กซ์ : ใช่เลยครับ เพลงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการปลดปล่อยที่แท้จริงสำหรับผมเลย ผมชอบวิธีที่มันถูกสร้างขึ้นมารวมไปถึงการสร้างขึ้นเพื่อโซโล่ด้วย และผมก็ชอบมิวสิกวิดีโอที่ออกมาด้วยเหมือนกัน เรามีข้อจำกัดด้านงบประมาณอยู่บ้าง แต่เรามีผู้กำกับที่มีความสามารถจริง ๆ ชื่อ บรู๊ก ลินเดอร์ (Brook Linder) บางครั้งข้อจำกัดเหล่านั้นก็บังคับให้คุณมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นและผลลัพธ์ก็จบลงด้วยคุณภาพที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

ในเพลง On The Radio” มันให้ความรู้สึกโหยหาอดีตอยู่เหมือนกัน วิทยุนั้นมีความหมายยังไงกับคุณบ้าง และการฟังเพลงผ่านวิทยุนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันกับการฟังผ่านช่องทางอื่นอย่างไร

อเล็กซ์ : ผมเองก็ได้ยินสิ่งที่คุณพูดถึง วิทยุเป็นสิ่งที่ลึกลับสำหรับผมในวัยเด็ก และเราไม่มีเงินเหลือเฟือพอที่จะซื้ออัลบั้มจริง ๆ ฟัง แต่ผมก็มีบูมบ็อกซ์พร้อมตลับเทป ดังนั้นผมจะรอและรอที่จะฟังทางวิทยุและบันทึกเพลงที่ผมชอบและทำเทปเล็ก ๆ ของผมเอง ผมมักใช้เวลาส่วนใหญ่โทรไปที่สถานีเพื่อขอเพลงที่ชอบและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ

เพลง “Astral Jacket” มันเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย ผ่อนคลายและล่องลอย อะไรคือไอเดียเบื้องหลังเพลงนี้

อเล็กซ์ : เพลงนี้เป็นเพลงที่ได้รับประโยชน์จากการที่พวกเราทุกคนอาศัยอยู่ในออสตินอย่างแน่นอน ถ้าผมจำไม่ผิด บริตต์กับผมออกไปหาเพื่อนของเราซาบรินาที่จะเล่นโชว์ คืนนั้นวงที่จะเล่นเป็นเพื่อนกับเราชื่อวง ‘White Reaper’ ซึ่งมาเล่นที่ออสตินพอดี ดังนั้นเราจึงสนุกกันทั้งคืนได้ดูดนตรีและดื่มเหล้าเมามายกัน เมื่อบาร์เริ่มปิด บริตต์และผมยังเครื่องติดอยู่ ดังนั้นเราเลยคิดว่าเราจะกลับไปที่บ้านของบริตต์และทำงานกันต่อสักหน่อย เราก็เลยลงเอยด้วยการทำ “Astral Jacket” และผมคิดว่าเราเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกแห่งค่ำคืนที่คืบคลานเข้ามาใกล้เรา ผมคิดว่าคุณสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมันในแบบที่เราตั้งใจเรียบเรียงและจัดวางมันเอาไว้

อะไรคือใจความสำคัญที่คุณอยากจะสื่อสารผ่านอัลบั้มนี้

อเล็กซ์ : ไม่ใช่ทุกวงที่มีกีตาร์อยู่ในวงจะเป็นวงอินดี้

‘เท็กซัส’ มีความหมายอย่างไรกับคุณ และคุณสร้างสุ้มเสียงที่โดดเด่นและแตกต่างขึ้นมาจาก ‘วงเท็กซัส’ วงอื่น ๆ อย่างไร

อเล็กซ์ : ไม่ใช่พวกเราทุกคนในวงดนตรีที่มาจากเท็กซัส แต่คนที่นั่งข้างผมเนี่ย (บริตต์ แดเนียลส์) ใช่เลยเขาคือคนเท็กซัส สำหรับเขาแล้วมันคือบ้านและบ้านหลังที่สองสำหรับพวกเรา ตัวอย่างเช่น ผมย้ายมาที่นี่ในขณะที่เราทำอัลบั้ม ‘Lucifer On The Sofa’ และมันเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ ผมเคยอยู่แต่ในลอสแองเจลิสและจู่ ๆ ผมมีอิสระที่จะเป็นใครก็ได้ที่ผมอยากจะเป็นในเมืองใหม่แห่งนี้ ที่อาจมาพร้อมกับหลุมพรางของมันเอง แต่มันเป็นช่วงเวลาที่น่าทึ่งเสียมากกว่า และเราตั้งตารออัลบั้มต่อไปที่เราหวังว่าจะได้ทำอย่างนั้นอีกครั้ง

คุณมีอะไรอยากบอกกับแฟนเพลงชาวไทยไหม

อเล็กซ์ : ขอบคุณมาก ๆ เลยครับที่ฟังเพลงของพวกเรา มันน่ามหัศจรรย์มากที่ได้รู้ว่ามีผู้คนในประเทศไทยที่กำลังเชื่อมโยงกับดนตรีของพวกเรา ผมหวังว่าเราจะได้ไปเยือนที่นั่นและเล่นคอนเสิร์ตมัน ๆ ให้พวกคุณชมกันนะครับ !

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส