“ชิเหน๋!!” 

เชื่อเลยว่าหากคุณผู้อ่านเคยดู Avengers: Endgame หรือซีรีส์ Hawkeye แล้วล่ะก็ คงต้องจดจำ (หรือไม่ก็จำไม่ได้เลย) ตัวประกอบที่ คลินต์ บาร์ตัน ในคราบโรนินจัดการไปในตอนต้นเรื่องได้แน่ ๆ อันที่จริงตัวละครนี้ก็เป็นแค่ยากูซ่าที่มีบท ออกมาให้บาร์ตันฟันทิ้งเท่านั้นแหละ แต่ทว่าฉากนี้ก็ดันฮอตฮิตในหมู่ผู้ชมภาพยนตร์ ถึงขนาดที่ชาวเน็ตนำฉากนี้มาเป็นมีมกันเลยล่ะ ซึ่งนักแสดงผู้เล่นเป็นยากูซ่าที่โดนฟันคนนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เขาคือ ฮิโรยูกิ ซานาดะ (Hiroyuki Sanada) นักแสดงชาวญี่ปุ่นที่ผู้คนมักจะแซวกันว่า เล่นเรื่องไหนก็ตายหมด นั่นแหละ

แม้ว่าในฮอลลีวูด ซานาดะจะไม่ได้โด่งดังอะไรนัก แต่ในญี่ปุ่น เขาคือยอดอัจฉริยะผู้เปรียบเสมือนสมบัติของชาติเลยล่ะ และวันนี้แบไต๋จะพาไปรู้จักนักแสดงระดับตำนานของญี่ปุ่น ผู้โดนฮอลลีวูดจับมาแกงบ่อย ๆ กับชายผู้ชื่อว่า ฮิโรยูกิ ซานาดะ หรือ ‘พี่ชิเหน๋’ นั่นเอง

เด็กชายผู้ใฝ่ฝันที่จะเป็นแอ็กชันสตาร์

ฮิโรยูกิ ซานาดะเกิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1960 ณ กรุงโตเกียว เขาฉายแววการแสดงแต่เด็ก ด้วยการเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น แม้จะเกิดที่โตเกียวแต่ซานาดะก็ไม่ใช่เด็กในเมืองหรอกนะ เพราะพ่อของเขาเป็นเกษตรกร ส่วนแม่เป็นชาวประมง ดังนั้นแล้วซานาดะจึงได้ใช้ชีวิตติดดินมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่ออายุได้ 11 ปี พ่อของซานาดะก็ได้เสียชีวิตลง โดยทุกครั้งที่เขารู้สึกไม่สบายใจ พี่ชายก็จะพาเขาไปตกปลา เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ซานาดะไม่ฟุ้งซ่าน เรียกได้ว่าสมาธิในการจดจ่อกับบทนั้น ก็ได้มาตอนตกปลาด้วย

ในวัย 12 ปี ซานาดะเข้าร่วมเป็นนักแสดงใน Japan Action Club ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกหัดสำหรับนักแสดงแอ็กชันและสตันท์แมน ที่นี่ได้รับการดูแลโดยนักแสดงแอ็กชันชื่อดังอย่าง เจเจ ซันนี่ ชิบะ (Sonny Chiba) และซานาดะก็ได้ฝึกฝนฉากแอ็กชันมากมาย จนสามารถเล่นบทบู๊ได้อย่างชำนาญ ในตอนนั้นเขาเพียงแค่ฝันว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นดาราหนังแอ็กชันชื่อดังก็เท่านั้น  

ซานาดะได้เล่นหนังต่อสู้ของชิบะ เรื่อง Chokugeki! Jigoku-hen ในปี 1974 และเขาก็ทำให้ชิบะประทับใจด้านการแสดงอย่างมาก ถึงขนาดที่ชิบะรับซานาดะเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว จากนั้นด้วยความสามารถที่มีก็ทำให้ซานาดะ ได้เล่นในหนังแอ็กชันอีกหลายเรื่องด้วยกัน

ซันนี่ ชิบะ

ซานาดะเป็นคนใฝ่เรียนมาก เห็นเป็นนักแสดงหนังแอ็กชันแบบนี้ แต่จริง ๆ เขาก็ชอบเรียนเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ถึงขนาดที่ว่าเขาเคยพักงานแสดงจนถึงปี 1978 เพื่อไปตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง และมันก็ช่วยให้เขารู้ว่าตัวเองสามารถเป็นได้มากกว่านั้น โดยซานาดะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย Nihon University และเริ่มกลับมารับงานแสดงหลังจากออดิชั่นภาพยนตร์เรื่อง Shogun’s Samurai ผ่าน

ฉายแววความเก่งกาจ

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แม้ว่าซานาดะจะเป็นนักบู๊ แต่ด้วยนิสัยชอบเรียนรู้ ก็ทำให้เขาเริ่มรับบทที่หลากหลายขึ้น ไม่จำเจอยู่แค่หนังแนวเดิม ๆ กระทั่งช่วงปี 1984 ซานาดะเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวญี่ปุ่นมากขึ้นจากการแสดงเรื่อง Mahjong Hourouki และได้รับคำวิจารณ์ที่ดีอย่างมาก จนส่งผลให้เขาดังขึ้นไปอีก

ซานาดะไม่หยุดเพียงแค่ความโด่งดังในญี่ปุ่น เขายังแสวงหาโอกาสการแสดงนอกญี่ปุ่นอยู่เสมอ โดยเพื่อนในวงการได้แนะนำให้เขาลองไปแสดงหนังแอ็กชันฮ่องกง ซึ่งซานาดะก็ไม่รีรอรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ จนได้รับบทนินจาเก็นบุจากเรื่อง Ninja in the Dragon’s Den หลังจากนั้นก็โดดไปร่วมงานกับ มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) ใน Royal Warriors และถึงแม้ว่าแต่ละเรื่องจะเป็นบทเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้คนนอกเกาะคุ้นหน้าคุ้นตากับเขามากขึ้น

ฮิโรยูกิ ซานาดะ จากเรื่อง Ninja in the Dragon’s Den

ในระหว่างนี้ชื่อเสียงของซานาดะก็เป็นที่ประจักษ์ในวงการบันเทิงญี่ปุ่น เขาเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากหยุดแค่เพียงเป็นนักแสดง เพราะด้วยนิสัยตัวเองที่ชอบฟังดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เขาลองหันมาจับงานเพลงด้วย และไม่ใช่แค่ชั่วคราวนะ ซานาดะจับงานเพลงอยู่ถึง 10 ปี ได้ออกอัลบั้มและซิงเกิลในญี่ปุ่น จนนักร้องได้กลายเป็นอีกบทบาทหนึ่งของเขาไปโดยปริยาย โดยในปี 2010 และ 2011 ก็ได้มีการนำเพลงที่เขาเคยร้องทั้งหมดมาออกอัลบั้มเพื่อจัดจำหน่ายใหม่อีกด้วย

แม้จะมีสลับไปเป็นนักร้อง แต่ซานาดะก็ไม่เคยทิ้งงานแสดง เขาเริ่มเล่นภาพยนตร์ที่ฟอร์มดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหนังสยองขวัญของญี่ปุ่นเรื่อง Ringu และ Tasogare Seibei จนในที่สุด ซานาดะก็ได้รับรางวัล นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงาน Japan Academy Awards ปี 2003 ด้วยความสามารถที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ทำให้เขาเปรียบเสมือนสมบัติของชาติญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

เหยียบแผ่นดินตะวันตก

ขณะนั้น ซานาดะอยากลองไปชิมลางงานของฮอลลีวูดดูบ้าง เขาจึงได้ไปออดิชันในหนังเรื่องหนึ่ง และในที่สุดชาวตะวันตกก็เริ่มรู้จักเขาครั้งแรก เพราะบทอุจิโอะจากหนัง The Last Samurai ที่ ทอม ครูซ (Tom Cruise) นำแสดง และนี่ก็เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นในการโกอินเตอร์สู่ฮอลลีวูดของเขา

ฮิโรยูกิ ซานาดะ จากเรื่อง The Last Samurai

ซานาดะเริ่มย้ายมาอยู่ที่ลอสแอนเจลิส เพื่อรับงานแสดงให้มากขึ้น โดยในปี 2007 เขาแวะไปแลกหมัดกับเฉินหลง (Jackie Chan) ในหนังเรื่อง Rush Hour 3 และต่อมาได้ร่วมแสดงซีรีส์ยอดนิยมถึง 2 เรื่อง ได้แก่ Lost และ Revenge แถมยังโดดเล่นหนังทั้ง Sunshine, Speed ​​Racer, The Wolverine, 47 Ronin, Minions, Life, Avengers: Endgame, Army of the Dead และล่าสุดอย่าง Bullet Train เองก็ด้วย

Hiroyuki Sanada in ‘Bullet Train’.

“ในฉากแอ็กชันของ Bullet Train ผมได้ใช้ไอเดียของตัวเองและผู้กำกับมาผสานเข้ากับไอเดียของสตันท์แมน จนเกิดเป็นฉากแอ็กชันที่เราได้เห็นในหนังขึ้นมา”

ฮิโรยูกิ ซานาดะ

ชายผู้ตายหลายครั้ง

แม้ว่าซานาดะจะแสดงภาพยนตร์มามากมาย แต่เขาเพิ่งจะถูกจดจำจากแฟนหนังฮอลลีวูดเมื่อไม่กี่ปีให้หลังเองนะ และหนึ่งในบทที่ทำให้เขาถูกจดจำก็คือบทยากูซ่าตัวประกอบที่ถูกฮอว์กอายฆ่าตายนั่นแหละ โดยเหตุที่ฉากดังกล่าวกลายเป็นที่จดจำ เพราะตัวของเขาออกมามีบทพูดคำเดียวแล้วก็ตาย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาคือดาราชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่น ซึ่งฉากนี้ก็ได้กลายมาเป็นมีมในโลกออนไลน์ ถึงขนาดมีคนเข้าไปแซวแกในอินสตาแกรมว่า ‘Shine (อ่านว่า ชิ-เนะ)’ ด้วยล่ะ (อนึ่งสิ่งนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีนะครับ เพราะคำนี้ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าไปตายซะ)

ซานาดะ เล่นหนังมาร์เวล 2 เรื่องคือ The Wolverine และ Avengers: Endgame ซึ่งเขาก็ตายทั้ง 2 เรื่อง

หลังจากนั้นชาวเน็ตถึงได้ค้นพบว่าความจริงว่า ซานาดะกระโดดมาเล่นหนังฮอลลีวูดตั้งนานแล้ว ซึ่งเกือบทุกบทที่เขาเล่นมักจะลงเอยด้วยความตายเสมอ โดยสถิติการตายของตัวละครเขานั้นมีรวมกันประมาณ 20 กว่าครั้งได้ ซึ่งเยอะ พอ ๆ กับเจ้าพ่อบทตายอย่าง ฌอน บีน (Sean Bean) เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแค่เห็นหน้า ผู้คนก็พอจะเดาออกแล้วว่าตัวละครของแกจะลงเอยด้วยอะไร

แม้ว่าเขาจะเริ่มโด่งดังในฮอลลีวูดตอนอายุเกือบ 60 ปี แล้วก็ตาม แต่ซานาดะก็ไม่เคยย่อท้อ เพราะเขาตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ทลายกำแพงด้านภาษา เพื่อเป็นใบเบิกทางให้นักแสดงรุ่นน้องได้ออกมาแสดงหนังฮอลลีวูดมากขึ้น โดยหลังจากนี้ซานาดะจะไปบู๊ต่อใน John Wick 4 และ Mortal Kombat ซึ่งเราก็หวังว่าตัวละครที่แกเล่นจะไม่ตายไปมากกว่านี้นะ

ที่มา: nytimes, empireonline, imdb, rottentomatoes, wikipedia, thefamouspeople, cinemorgue, cbr

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส