[รีวิว]Tunnel | หนังเอาตัวรอดสายดราม่า ที่ลุ้นระทึก หายใจไม่ทั่วท้องและเสียดสีแบบไร้คำพูด
Our score
7.7

กำกับ

Kim Sung Hoon

ความยาว

2 ชั่วโมง 6 นาที

[รีวิว]Tunnel | หนังเอาตัวรอดสายดราม่า ที่ลุ้นระทึก หายใจไม่ทั่วท้องและเสียดสีแบบไร้คำพูด
Our score
7.7

จุดเด่น

  1. โปรดักชันสมจริง ไม่ค้านสายตาจนสามารถยกนิ้วให้ได้อย่างไม่กังขา
  2. บทสามารถเสียดสีทุกวงการได้อย่างเจ็บแสบ โดยไม่ต้อมีคำคมโดน ๆ เลยแม้แต่คำเดียว
  3. บรรยากาศของหนังสร้างความลุ้นระทึก บีบอารมณ์ ให้เอาใจช่วยว่ารอดเถอะ ๆ และจะรอดอีท่าไหนก็เดาได้ไม่ยากแต่ก็อยากลุ้นอยู่ดี

จุดสังเกต

  1. บทกระจายน้ำหนักไปที่ประเด็นอื่น ๆ มากไปหน่อย จนจุดโฟกัสที่น่าจะบีบอารมณืผู้ชมให้ได้มากกว่านี้ เบาบางลงไปอย่างน่าเสียดาย
  • บท

    7.0

  • โปรดักชัน

    8.0

  • การดำเนินเรื่อง

    7.5

  • การแสดง

    8.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    8.0

หนังเอาตัวรอดสัญชาติเกาหลีใต้ที่ลงจอมาแล้วตั้งแต่ปี 2016 และสมาชิกสตรีมมิงค่ายสีเหลืองอย่าง VIU คงจะได้ลุ้นระทึกไปกับชะตากรรมของตัวเอกในเรื่องจนแน่นหน้าอกกันมาแล้ว และยังคงแน่นหนักมาจนถึงปี 2023 นี่เลยเชียว ด้วยโปรดักชันที่สมจริงและบทที่บีบคั้น ดึงอารมณ์แถมยังไม่วายเสียดสีแบบเหมารวมทั้ง การเมือง รัฐบาล และสื่อในประเทศแบบเจ็บจี๊ด

เรื่องราวซวย ๆ ของ ‘อีจองซู’ (ฮาจองอู) เซลส์ขายรถที่กำลังแฮปปี้สุด ๆ เพราะขายรถได้ถึง 8 คัน และกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมเค้กวันเกิดสำหรับลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่ขณะที่เขากำลังขับรถลอดอุโมงค์ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่ออุโมงค์ถล่มลงมา และทำให้เขาติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอุโมงค์ทั้งเส้น และเหตุอุโมงค์ถล่มครั้งนี้ก็กลายเป็นข่าวฮือฮา ที่เรียกความสนใจของคนทั้งประเทศให้จ้องมองปฏิบัติการช่วยชีวิตครั้งนี้

สื่อหิวเริ่มรุมทึ้งเป็นเจ้าแรก ด้วยความอยากได้ข่าวแบบเรียลไทม์ก่อนใครจนไม่สนถึงความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้ประสบเหตุ แม้กระทั่งคนในรัฐบาลที่พร้อมทำตัวเป็นวอลเปเปอร์ออกสื่อเมื่อ ‘เซฮยอน’ (แบดูนา) ภรรยาของผู้เคราะห์ร้ายรุดมาถึงที่เกิดเหตุด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง มีเพียง ‘คิมแดคยอง’ (โอดัลซู) หัวหน้าหน่วยกู้ภัยเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถและมีสติของความเป็นมนุษย์มากกว่าใคร ๆ

ขณะเดียวกันอีจองซู ชายเคราะห์ร้ายก็ต้องยื้อชีวิตของตัวเองด้วยน้ำ 2 ขวดเล็ก กับเค้ก 1 ก้อน ให้อยู่รอดได้นานที่สุด เพื่อให้รอการช่วยเหลือที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึง

ไม่ถึงกับหน่วงลึก แต่ก็ทำให้ลุ้นจนหยดสุดท้าย

ว่าด้วยเรื่องของหนังเอาตัวรอดที่ตัวเอกต้องอยู่คนเดียวในพื้นที่แคบ ๆ จะมีเรื่องไหนที่น่าจดจำบ้างนะ ซึ่งผู้เขียนก็นึกออกอยู่ไม่กี่เรื่องและไม่กี่เรื่องที่ว่านั้นก็เห็นจะเป็นหนังในปี 2010 อย่าง ‘Buried’ หนังเอาตัวรอดที่ตัวเอกต้องติดอยู่ในโลงสี่เหลี่ยม และ ‘127 Hours’ หนังที่ทำเอาลุ้นแล้วลุ้นอีกเมื่อนักปีนเขาพลัดตกลงไปติดอยู่ในซอกหิน ซึ่งทั้งสองเรื่องที่ว่าเป็นหนังของฝั่งอเมริกาทั้งคู่ แถมยังเป็นหนังที่ทำให้เราอึดอัด หวาดเสียว ลุ้นระทึกจนหายใจติด ๆ ขัด ๆ และเอาใจช่วยตัวเอกจนนิ้วหงิก

ผ่านไป 6 ปีฝั่งเกาหลีก็ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ‘Tunnel’ หรือในชื่อไทย ‘อุโมงค์มรณะ’ หนังเอาตัวรอดที่ดำเนินไปในทางเดียวกันคือ Single Location  หรือหนังโลเคชันเดียว และเป็นประเภทที่ตัวละครต้องติดอยู่ในสถานที่เดียวทั้งเรื่อง ถึงแม้จะมีการเคลื่อนย้ายสารร่างอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัดและไม่สามารถช่วยตัวเองให้ออกไปนอกรัศมีของพื้นที่จำกัดนั้นได้เลย โดยให้เครื่องมือช่วยชีวิตไว้ 3 อย่าง คือน้ำเปล่า 2 ขวดที่ได้แถมมาจากปั๊มน้ำมัน เค้กวันเกิดของลูกสาว และโทรศัพท์มือถือที่มีแบตเตอร์รี่อยู่ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์

ในขณะที่พล็อตเรื่องดำเนินมาแบบนี้ และสภาพหน้างานก็ช่างพังพินาศชนิดที่ไร้ทางออก ก็ถึงคราวที่ผู้ชมอย่างเรา ๆ จะตั้งป้อมรอลุ้นไปกับชะตากรรมของตัวเอก ซึ่งก็ได้ลุ้นกันไปตามคาด แต่ไม่ถึงขึ้นนิ้วหงิกอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเท่านั้นเอง เพราะหนังเลือกที่จะพูดถึงประเด็นแวดล้อมอีกหลายประเด็น โดยที่ไม่ได้แช่นิ่งอยู่ที่การเอาตัวรอดของตัวเอกอย่างที่หนังเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันได้เคยทำเอาไว้

ทั้งประเด็นของความผิดพลาดไร้สาระที่ทำให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตล่าช้าอย่างไม่ควรจะเป็น จนคุกคามโอกาสที่ตัวละครจะเอาชีวิตรอดออกมาได้ และสร้างความกดดันชนิดสิ้นหวังอย่างทันทีทันใด จนคนดูอย่างเรา ๆ ต้องสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และสิ้นหวังไปกับตัวละครในทันที ประเด็นของการเมืองแและธุรกิจที่ห่วงแต่เรื่องผลประโยชน์จนหลงลืมไปว่า มีหนึ่งชีวิตที่รอคอยอยู่อย่างจวนเจียนจะขาดใจ

ประเด็นของการเอาแต่ได้ของสื่อหิวหลายสำนัก ที่ไม่สนหินสดแดด แต่กระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะเป็นอีกาคาบข่าวเป็นตัวแรก มากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นการจงใจเสียดสีทุกวงการอย่างเจ็บแสบ โดยไม่มีคำพูดคม ๆ ให้เจ็บจึ๊กแต่สามารถประจานและก่นด่าออกมาได้อย่างแนบเนียน ด้วยบทและจังหวะการนำเสนอที่ตลกขบขัน และทำให้คนดูทั้งขำ ทั้งสาแก่ใจและเห็นคล้อยว่ามันจริง

และด้วยการกระจายน้ำหนักไปที่ประเด็นมากมายที่อยากพูดถึงแบบนี้ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังเอาตัวรอดที่เกือบจะเข้มข้นแต่กลับไม่เข้มอย่างใจคิด ถึงกระนั้นหนังก็ยังคงตรึงอารมณ์ชวนระทึกเอาไว้ได้อย่างแน่นเหนียว เรายังคงเอาใจช่วยพ่อเซลขายรถคนนี้ได้อย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่บทก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นมนุย์ในยามคับขัน เมื่อหนังพาเราไปพบกับเพื่อนร่วมชะตาอีกสองชีวิตที่ติดอยู่ในนั้นเช่นเดียวกันเขา และเป็นชีวิตที่ผู้ชมต้องเอาใจช่วยอย่างสุดกำลังแน่นอน

เป็นบทที่ใส่เข้ามาเพื่อพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ และเรียกดราม่าน้ำตาซึมให้กับคนดู พร้อม ๆ กับคอยลุ้นว่าอย่านะ อย่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยนะ ผสมกับดราม่านอกอุโมงค์ที่รับมือโดยแบดูนา นางเอกของเรื่องที่รับบทเป็นภรรยาของผู้ประสบเหตุ ที่เล่นกับการรอคอย ความหวังและการตัดสินใจที่กล้ำกลืน ผ่านความรู้สึกที่สังคมกล่าวโทษมาที่ความซวยของครอบครัวเธออย่างไม่ควรจะเป็น และทำให้เราสัมผัสถึงคีย์แมสเสจที่หนังสื่อออกมาได้ว่า

คนเราจะอยู่รอความตายอย่างสิ้นหวังไม่ได้จริง ๆ เมื่อถึงคราวที่จะต้องสู้เพื่อความอยู่รอดก็จงฮึดให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะมีเพียงเศษเสี้ยวของความเป็นไปได้ก็ตาม และเชื่อเถอะว่า ถ้าคุณสู้จนถึงที่สุด โดยไม่ละเลยลมหายใจของตนเองและของสิ่งมีชีวิตรอบข้าง รางวัลที่ได้มาก็คุ้มเกินจะคุ้ม

โปรดักชันดีงาม คุ้มค่ากับการรับชม

โปรดักชันเรื่องนี้ไม่มีง่อยเลยนะคะ และสมควรได้คำชมซะด้วยซ้ำ กับฉากที่สมจริงและ CG ที่เนียนตา ทุกฉาก ทุกตอนและมุมกล้องต่าง ๆ สามารถดึงอารมณ์ผู้ชมให้คล้อยตามและจินตนาการไปด้วยได้ว่า หากเราต้องติดอยู่ในสภาพเดียวกับตัวเอกของเรื่อง เราจะสู้และเอาชีวิตให้รอดด้วยวิธีไหน ทั้งฝุ่นปูนที่เขรอะเต็มไปหมด ทั้งอากาศที่อับชื้น และต้องหายใจอยู่ในสภาพที่ไร้อาหารเป็นเวลานานหลายอาทิตย์ เรียกว่าคอสตูมเรื่องนี้ต้องทำงานหนักไม่ต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ดาราเปลี่ยนชุดแทบทุกฉาก

รวมไปถึงแสง สี ที่สร้างบรรยากาศให้ตามลุ้นอย่างสมจริง และองค์ประกอบภายนอกทั้งหมดที่ชวนให้คิดถึงเหตุการณ์จริงและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ เหตุการณ์ โดยเฉพาะ เรื่องราวของ ‘The 33’ หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์เหมืองถล่มที่ชิลิ หรือแม้กระทั่งการติดอยู่ในถ้ำขุนน้ำนางนอนของน้อง ๆ ทีมหมูป่า ซึ่งเป็นส่วนที่น่าชื่นชมของงานภาพที่สร้างความรู้สึกสมจริงได้ง่าย ๆ

นี่ถ้าหากบทจะขยี้ในส่วนของการเอาตัวรอดมากกว่านี้ โดยไม่แวะไปเล่นประเด็นดราม่านอกถ้ำอยู่บ่อย ๆ ตัวหนังอาจสร้างความเห็นอกเห็นใจและดึงดราม่าให้ผู้ชมคล้อยตาม และลุ้นระทึกได้มากกว่านี้อีกแน่ ๆ โดยเฉพาะประเด็นที่สามารถขยี้ได้มากกว่านี้อีกโดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึกกดดัน สิ้นหวัง ทนทุกข์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเหยื่อที่เปิดขึ้นมาแล้วแต่ไม่ได้เก็บรายละเอียดให้หมดจน เสียดายค่ะ

แต่ก็ยังชื่นชอบหนังเรื่องนี้ และพูดได้ว่าเป็นหนังน่าดูอีกเรื่องหนึ่งที่สายดราม่าน่าจะหยิบมาพิจารณาอีกเรื่องหนึ่งอยู่ดี ซึ่งหนังดี ๆ แบบนี้ก็สามารถรับชมได้ 3 ช่องทางกันเลยค่ะ สะดวกที่ไหนไปที่นั่น ทั้ง iQIYI NETFLIX และ VIU คลิกลิงก์เข้าไปเอาใจช่วยพ่อเซลแมนดวงซวยกันได้เลย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส