Assassin’s Creed 2016 ตัวแทนหนังเกมแห่งยุคบุกเบิก VR จาก UBISOFT

  • ชื่อภาพยนตร์ : Assassin’s Creed (ความยาว 108นาที, เรท น. 15+)
  • ประเภท : Action, Adventure, Fantasy (ไม่ใช่ ‘Thriller’ นะจ้ะ)
  • ผู้กำกับ : Justin Kurzel
  • นักแสดงนำ : Michael FassbenderMarion CotillardJeremy Irons
  • เข้าฉาย : 22 ธันวาคม 2016 (ระบบ 2D, 3D, IMAX 3D)

เรื่องย่อ – หลังเผชิญโศกนาฏกรรมในวัยเยาว์ คาล ลินซ์ (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) กลายเป็นนักโทษประหาร แต่กลับได้รับโอกาสให้มีชีวิตต่อไป จาก “บริษัท แอบสเตอร์โก อินดัสทรีส์” ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ช่วยปลดล็อคความทรงจำทางพันธุกรรมที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอ คาลถูกส่งกลับไปสเปนยุคศตวรรษที่ 15 เขาได้สัมผัสประสบการณ์ของ “อากีลาร์ เด เนฮาร์” บรรพบุรุษของเขาซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมลับ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ดิ อัสแซสซินส์’ คนกลุ่มนี้ต่อสู้เพื่อปกป้องเสรีภาพจากกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ผู้กระหายอำนาจ ประสบการณ์จากอดีตได้แปรสภาพคาลทำให้เขาเริ่มซึมซับทักษะทางร่างกายที่จำเป็นต่อการโค่นล้มองค์กรเทมพลาร์อันทรงอิทธิพลในปัจจุบัน

ความรู้สึกหลังดูแบบสั้นๆ – Assassin’s Creed (อัสแซสซินส์ ครีด) คู่ควรกับคำว่าหนังเกมมากที่สุดในปี 2016 ฉากบู๊แบบเกมๆ มุมมองภาพแบบเกมๆ ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ และ ไมเคิล เป็น Cast ที่เกมมาก ดีมาก เหมาะกับบทมาก! #ไปดูเหอะ”

‘Michael Fassbender’ ในลุค ‘Aguilar’ บรรพบุรุษของ ‘Cal Lynch’

ทำไมมีแต่คนบ่นโอดถึงการเล่าเรื่องว่า “เห้ยไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้เล่นเกมอย่าไปดูเหอะ”, “ภาพดีไม่ได้มีความหมายเพราะเนื้อเรื่องห่วย”, “เรื่องงงๆ สับสนไม่เข้าใจ”

เอาล่ะในหนังทั้งหมดแบ่งเป็น 2 พวก คือฝั่ง ‘อัสแซสซิน’ และ ‘เทมพลาร์’ แย่งลูกแอปเปิ้ลแห่งอีเดนกัน ฝั่งอัสแซสซินรักอิสระ ชอบใช้ชีวิตในเงามืด ไปไหนต้องใส่ฮู้ด ถวาย ‘สัตยาบัน’ (For the Creed จะได้ยินในหนังตลอดเวลา) เพื่อรักษาและปกป้องลูก “แอปเปิ้ล” เอาไว้ อีกฝั่ง ‘เทมพลาร์’ บ้าอำนาจหวัง จดจ่อแต่จะครอบครอง “แอปเปิ้ล” ทีนี้หนังก็เปิดมาที่ “คาล ลินช์” หรือ พ่อไมเคิลกล้ามแน่นของสาวๆ สมัยยังเป็นเด็ก ว่าเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นกับครอบครัวของตัวเอง ทำให้ต้องวิ่งหนีและระหกระเหินใช้ชีวิตตามเวรตามกรรมกับความหลังฝังใจ สุดท้ายกลายเป็นฆาตกรติดคุกรอวันรับโทษประหาร ใช้ชีวิตอยู่ในคุกด้วยความว่างเปล่า งานอดิเรกคือวาดรูป ซึ่งการวาดรูปก็ได้แสดงให้เห็นถึงส่วนลึกของจิตใจว่าหม่นหมองขนาดไหน เสร็จแล้วก็ถูกจัดฉากว่ากำลังจะโดนฉีดยาประหารชีวิตโดย “บริษัท แอบส์เตอร์โก อินดัสทรี” ทำให้ได้เจอกับ “โซฟี” หมอ ที่ดูแลโครงการลับ นักสะสมวัตถุโบราณ และยังเป็นลูกสาว “ริคคิ่น” เทมพลาร์ตัวพ่อ

Jeremy Irons รับบท Rikkin (ซ้าย), Michael Fassbender รับบท Cal Lynch/Aguilar (กลาง), Blendan Gleeson รับบท Joseph Lynch พ่อ Cal Lynch (ขวา)

“คาล ลินช์” เป็นสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเหล่า “อัสแซสซิน” และยังถูกตัวอย่างแม่นยำเว่อร์ๆ ไปอีกว่าบรรพบุรุษคือ “อากีลาร์ เด เนฮาร์” คนที่สามารถบอกได้ว่า “แอปเปิ้ล” อยู่ที่ไหน “โซฟี” พา “คาล” ย้อนกลับไปศตวรรษที่ 15 เพื่อดูความทรงจำในอดีตด้วยเครื่อง “แอนิมัส” และผลลัพธ์ออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ “คาล” สามารถผสานเข้า แต่ผลเสียดันเกิดกับ “คาล” เค้ารู้สึกประสาทเสีย เหมือนเห็นภาพหลอนจากอดีตตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ “คาล” ที่ถูกดึงเข้ามาร่วมโครงการนี้ ยังมีคนอื่นอีกหลายสิบชีวิต เนื้อเรื่องก็ส่งไปที่ว่า “คาล” จะยอมเข้าเครื่อง “แอนิมัส” เพื่อสัตยาบันแห่ง “อัสแซสซิน” หรือเพื่อให้ “เทมพลาร์” ได้ “แอปเปิ้ล” ไป …เดายากจังเล๊ยยย จบ.

Marion Cotillard เป็น Sofia (ซ้าย), Michael Fassbender เป็น Cal Lynch (ขวา)

มาดูรีวิวแบบเกือบสปอยล์กัน

ชอบ – หนังมีปมไม่มีมาก ไม่ต้องแก้เยอะให้เสียเวลา แนะนำให้ไปดูเพราะ “โคตรมันส์” เรื่องเกิดขึ้นสับไปมาระหว่างปัจจุบันและศตวรรษที่ 15 อัสแซสซิน คืออาชญากรที่ฆ่าคนแบบไม่มีกฎเกณฑ์ ไร้ศักดิ์ศรี รักอิสรภาพ ทำทุกอย่างเพื่อรักษา “แอปเปิ้ลแห่งอีเดน” เอาไว้ ซึ่งความจริงเราควรเกลียดนักฆ่า แต่หนังทำให้เราแอบเชียร์และลุ้นไปตลอดเรื่องได้ ถึงขั้นลุ้นให้ตัวละครตัวนึงฆ่าพ่อเลยเอาดิ เชื่อมันในตัวนักแสดงที่เล่นดีอยู่แล้ว บทพูดและท่าทางออกมาแบบฉบับเกมๆ บางทีแอบนึกว่าฉากนี่เป็นเกมไม่ใช่หนังเพราะถ่ายทอดได้อลังการไม่เสียชื่อ อัสแซสซิน เกมเทพเจ้านักเสียบและการโรยตัว

แน่นอนฉากโรยตัวก็ไม่มีผิดหวังโผล่มาให้เราดูกันหลายครั้งหลายครา แต่แอบคิดว่าน่าจะได้มุมกล้องที่หวาดเสียวกว่านี้ ไม่เป็นไรถึงบางฉากภาพอาจจะมาไม่สุด แต่ก็แค่บางฉากจริงๆ เสียงที่หนังใส่มาเต็มที่ทั้ง Visual Effects ประกอบฟีลลิ่งที่แทบจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ รวมทั้งแสงฟุ้งๆ ในดงต้นไม้ประหนึ่งกำลังฝันว่าอยู่ที่สวนอีเดน นี่เป็น (หลาย) เหตุผลหลักว่าทำไมควรดูในโรง เนื่องจากลำโพงที่บ้านอาจแตก และจอที่บ้านอาจะให้แสงสีได้ไม่สมบูรณ์เท่า หนังไม่ได้ใส่เสียงให้โหวกเหวกหรือน่าหนวกหูเกินความจำเป็น แต่องค์ประกอบทุกอย่างทำให้เรายิ่งอินและลุ้นระทึกตัวโยนไปกับมันมากขึ้น

ในเรื่องของ “คาล ลินช์” ที่ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวของบรรพบุรุษ (ที่หน้าเหมือนกันเด๊ะ) และเข้าใจเหตุการณ์เรื่องราวมากขึ้นเป็นลำดับ อันนี้ขอชมจากใจจริงว่าหนังไม่ได้รีบร้อนเพื่อเร่งรัดตัวละครให้เข้าใจว่าสามารถย้อนอดีตได้จริงตั้งแต่แรก เลยเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถอินกับหนังได้ และไม่แปลกที่จะทำให้เกิดภาคต่อเพราะตอนดูก็แอบลุ้นมาว่าตอนจบจะเป็นไงจะต่อหรือไม่ต่อ เนื่องจากพยายามไม่ค้นคว้าข้อมูลอะไรเลยแม้กระทั่ง Trailer ก่อนไปดู ฮ่าๆๆ

Michael Kenneth Williams เป็น หมอผี Moussa

ไม่ชอบ – แน่ล่ะ จะมีหนังเรื่องไหนที่คนดูสามารถเทใจให้ 100% คงยากสักหน่อย ขัดใจที่สุดก็ฉากบู๊ที่ไม่มีเลือดให้เห็นซักหยดเดียวนี่แหละ ก็ต้องทำใจกันไปว่าหนังไม่ได้บอกว่าเป็น Thriller และตัวอย่างหนังเองก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ใช่หนังนองเลือด เรื่องของบทบาท แม้นักแสดงทั้งหมดจะถูกคัดมาอย่างดี แต่ฉากที่พ่อ (ริคคิ่น) จับคางลูก(โซฟี) สายตาและฟีลลิ่งในการพูดคุยกันมันไม่รู้สึกเลยว่านี่พ่อกับลูกสาวนะ แอบขัดใจว่ามันเป็นฟีลลิ่งสิเหน่หาก็มิปาน

นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าอย่างน้อยหนังน่าจะถ่ายทอดเรื่องราวฝั่ง “เทมพลาร์” บ้าง เพราะนี่ไม่ใช่เกมส์ที่เรารู้แต่เรื่องตัวละครหลักที่เราเล่นก็พอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาคหน้าจะมีเรื่องราวมากขึ้น ช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อดีเทลฝั่ง “อัสแซสซิน” ก็มีให้โชว์ของเพียบ อาจจะต้องเก็บเรื่องราวที่แน่นปึ้กไว้เผื่อภาคต่อๆ ไปบ้าง ในเรื่องแอบมี “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” สุดยอดนักเดินทางและบุกเบิก โผล่มาหน่อยนึงเพื่อให้อิงประวัติศาสตร์ และเป็นกุญแจในการพูดถึงสถานที่สำคัญ …แต่ก็แค่นั้นเองอะจ้ะ ขอไม่กล่าวว่าหรือตำหนิตอนจบและเกือบจบที่ทำเอา “เบื่อไปร่วม 10นาที” มากกว่านี้ เนื่องจากเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เราจะถูกปล่อยทิ้งไว้กลางทางค้างเติ่งเพื่อการรอคอยภาคต่อไป

 สุดท้าย ถามว่าคนที่ชอบดูหนังแอคชั่นสนุกๆ ไม่ได้เล่นเกมนี้ ไม่อินกับเกมจะชอบไหม, คนเขียนไม่ได้เล่นเกมค่ะ ชอบดูหนังและการ์ตูนทุกแนว ชอบค่ะ สนุกมากดูซ้ำรอบสองด้วยค่ะ ขอให้ 9/10 

เครื่องแต่งกายของ Aguilar จากภาพยนตร์ Assassin’s Creed ใครสะสม Figure คงมีการเสียทรัพย์แน่ๆ

Play video