หลังจาก Valerian And The City Of Thousand Planets เข้าฉาย ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ The Fifth Element หนังอวกาศเรื่องก่อนหน้าที่ลุค เบซอง สร้างไว้เมื่อ 20 ปีก่อน จะถูกหยิบมาเปรียบเทียบ หลายเสียงก็ชอบ Valerian มากกว่า ที่ว่าวิทยาการซีจีน่าอัศจรรย์กว่าและฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตา อีกหลายเสียงก็ยังชอบ The Fifth Element มากกว่า ด้วยความที่มีตัวละครคลาสสิกมากมาย และหลายฉากที่น่าจดจำ แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 เรื่อง ก็ถูกอิงมาจากการ์ตูนเรื่องเดียวกัน และมีกลิ่นอายที่คล้ายกันพอควร และล้วนเป็นหนังที่เกิดจากความฝันและจินตนาการของลุค เบซอง ที่รอคอยจะสร้างมาตั้งแต่เด็ก

วันที่ The Fifth Element เข้าฉาย ได้สร้างปรากฏการณ์ไว้มากมาย ด้วยการเป็นหนังทุนสูงที่ไม่ได้สร้างจากสตูดิโอในฮอลลีวู้ด และประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดเช่นกัน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา The fifth Element ก็เป็นหนึ่งในหนังโปรดของหลาย ๆ คน ที่ถูกพูดถึงอย่างชื่นชมและถูกหยิบมาดูซ้ำอีกหลาย ๆ รอบ รวมถึงส่งให้ดาราสาวมิลลา โจโววิช เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และในวันนี้ที่ The Fifth Element ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง ผู้เขียนจึงหยิบเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจมาฝากกันครับ เชื่อว่าหลาย ๆ เรื่องน่าจะยังไม่รู้กันมาก่อนแน่นอน

1. เบซอง เขียนบทเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เขาอายุ 16 ปี เขาสร้างจักรวาลที่เต็มไปด้วยแฟนตาซีเพื่อปลดปล่อยจินตนการออกจากโลกจริง ที่เขาเบื่อหน่ายกับสภาพชนบทของฝรั่งเศส แต่กว่าเขาจะได้ลงมือสร้าง The Fifth Element เป็นหนังจริง ๆ ก็เมื่อเขาอายุ 38 ปี

2. ก่อนที่บทพระเอกของเรื่อง คอร์เบ็น ดัลลัส จะตกเป็นของบรู๊ซ วิลลิส , ลุค เบซอง เคยทาบทามเมล กิ๊บสัน มาก่อน แต่เมลปฏิเสธบทไป

3.แรกทีเดียวเบซอง ไม่คาดหวังว่าเขาจะใช้พระเอกระดับซูเปอร์สตาร์ เพราะต้องการประหยัดงบในการสร้าง แต่เมื่อบรู๊ซ วิลลิส เห็นบทแล้วก็รู้สึกว่าสนุกและอยากร่วมงานด้วย “บางครั้งผมก็รับเล่นเพื่อเอาความสนุกนะ แล้วเรื่องนี้มันก็เป็นหนังที่น่าสนุกเสียด้วย” แล้วบรู๊ซ วิลลิส ก็ทำจริง เขาลดทั้งค่าตัวและส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากกำไรหนัง เพื่อมารับบทนำเรื่องนี้จริง ๆ

4. มันเป็นเรื่องของการตอบแทนบุญคุณกันไปมา แกรี่ โอลด์แมน รับบทตัวร้ายให้ลุค เบซอง ในหนังแจ้งเกิดของเขา Leon The Professional (1994) แล้วพอแกรี่ โอลด์แมน กำกับหนังเรื่องแรกของเขาเอง Nil By Mouth ก็ได้ทุนจาก ยูโรป้าคอร์ป ของลุค เบซองนี่แหละ , แกรี่ โอลด์แมน ก็เลยกลับมารับบท “ซอร์ก” ตัวร้ายใน The Fifth Element ให้เบซอง อีกรอบ

มิลลา โจโววิช ออกอัลบั้มชุดแรก Devine Comedy ในปี 1994

Play video

5. บทที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือ “ลีลู” ซึ่งเบซองก็ซีเรียสกับการคัดคนมารับบทนี้มาก มีผู้สมัครเข้ารับบทนี้ถึง 8,000 คน คัดเหลือ 300 คนได้มาอ่านบทให้ ลุค เบซอง ดู แล้วหนึ่งในนั้นก็คือ มิลลา โจโววิช เธอเพิ่งกลับมารับงานแสดง หลังจากหยุดพักไปออกผลงานเพลงมา 3 ปี บทบาทของ มิลลา สร้างความประทับใจให้ลุค เบซอง มาก เบซองกล่าวชื่นชมเธอว่า”มิลลาเธอมีรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาก หุ่นของเธอนี่จะเขียนว่าให้มาจากอนาคตหรืออดีตก็ได้นะ เธอเป็นได้ทั้งราชินีอียิปต์,โรมัน หรือมาจากนอกโลกก็ได้” น่าจะประทับใจริง ๆ แหละ เพราะเบซอง ก็แต่งงานกับ มิลลา โจโววิช หลังปิดกล้อง The Fifth Element

                                             ภาพเบื้องหลังที่มิลลา โจโววิชมาลองชุดเข้าฉากก่อนถูกรับเลือกให้รับบท”ลีลู”

Play video

6. บท “ลีลู” ของมิลลา โจโววิช เหมือนจะเป็นบันไดสำคัญที่ส่งให้เธอไปเป็นนางเอกนักบู๊ใน Resident Evil เพราะก่อนที่เธอจะรับบทเป็น “ลีลู” เธอต้องผ่านคอร์สฝึกคาราเต้อย่างเข้มงวดถึงวันละ 8 ชั่วโมง ต่อเนื่องอยู่หลายเดือน

7. แต่ต่อให้มิลลา ฝึกคาราเต้เข้มข้นเพียงใด แต่ลีลูก็เตะสูงอย่างที่ลุค เบซองต้องการไม่ได้ สรุปสุดท้ายก็ใช้ขาปลอมมาตัดต่อเข้าทีหลังในฉากต่อสู้

ฌอง พอล โกติเยร์ กับบรรดาตัวประกอบในเรื่อง

8. ปรากฏการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในหนัง The Fifth Element คือการที่ได้ ดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง ฌอง พอล โกติเยร์ มารับหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกายให้เรื่องนี้ ฌอง พอล ก็ตั้งใจและทุ่มเทอย่างมาก เขาต้องออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับนักแสดงนำและตัวประกอบถึง 900 ชีวิต และแจีคเก็ตบางตัวในเรื่องก็ราคาแพงถึง 150,000 บาท

9. อีกบทบาทสำคัญที่คนดูประทับใจมากก็คือ “รูบี้ โรด” ดีเจระดับจักรวาลจอมปากมาก ที่ได้ คริส ทัคเกอร์ มารับบท , คริส ทัคเกอร์ ช่วงนั้นกำลังดังมากจากหนัง “Friday” แล้วจังหวะพอดีกับที่ตัวเลือกแรกของลุค เบซอง คือ “ปรินซ์” ปฏิเสธบทนี้ไป บทก็เลยมาลงที่คริส แต่ก็นึกภาพ”ปรินซ์” ที่เงียบ ๆ ขรึม ๆ ในบทนี้ไม่ออกอยู่ดีอ่ะนะ

ชุดของ รูบี้ โรด ที่ ฌอง พลอ สเก็ตซ์แบบไปให้ปรินซ์ดู

10.และเหตุผลที่ ปรินซ์ ปฏิเสธบท รูบี้ โรด ไป เพิ่งมาเปิดเผยจาก ฌอง พอล เมื่อปี 2013 นี่เองว่าเหตุเพราะ ปรินซ์ ได้เห็นภาพสเก็ตซ์ฝีมือ ฌอง พอล เองที่ออกแบบชุดของ รูบี้ โรด ที่ออกมาสไตล์สาวจัดดูอรชรอ้อนแอ้น ปรินซ์ เลยขอโบกมือลาดีกว่าถ้าต้องใส่ชุดแบบนี้

11. เรื่องปรินซ์ยังไม่จบ ไอ้เรื่องที่ ฌอง พอล เอาร่างดีไซน์ชุดไปให้ปรินซ์ดูนี่ก็สร้างความขุ่นเคืองให้ซูเปอร์สตาร์มาแล้ว หนึ่งในชุดของรูบี้ โรด เป็นชุดตาข่ายมีแผ่นรองที่ก้น ซึ่งสำเนียงอังกฤษของ ฌอง พอล ก็ไม่ชัด พอเขาอธิบายว่าไอ้แผ่นนี้คือ “Fake Ass” ปรินซ์ก็ได้ยินเป็นว่า “Fuck You” ดีนะไม่มีการตบตีกัน

12. ถึงแม้ปรินซ์ จะไม่ได้มารับบทเป็น รูบี้ โรด แต่คริส ทัคเกอร์ ก็ยอมรับว่าแรงบันดาลใจที่เขาสร้างสรรค์บุคลิกของ รูบี้ โรด ก็คือ ปรินซ์+ไมเคิล แจ๊คสัน แต่ ฌอง พอล ก็ยังกระแนะกระแหนเสริมมาอีกว่า “ดูแล้วน่าจะเป็นเจเน็ตมากกว่าไมเคิล แจ๊คสันนะ”

13. อย่างที่เคยพูดถึงไปในบทความของ Valerian ว่า The Fifth Element นั้นก็อิงเรื่องราวมาจากตอนหนึ่งของการ์ตูน Valerian  ของ ฌอง คล็อด เมเซียร์ และตอนที่สร้าง The Fifth Element ลุค เบซอง ก็ไปขอให้ เมเซียร์ มาช่วยออกแบบยานบินแท็กซี่ของ คอร์เบ็น ดัลลัส ให้

14. เทคโนโลยี CG เมื่อ 20 ปีก่อน ยังไม่สร้างภาพได้อัศจรรย์พันลึกได้เท่าทุกวันนี้ ฉากโชว์เมืองนิวยอร์คอนาคต เลยต้องใช้เทคนิคผสมผสานกันทั้ง CG คนแสดงจริง และ ตึกย่อส่วน24เท่า ซึ่งต้องใช้ทีมงานกว่า 80 ชีวิตสร้างตึกจำลองกันในโรงถ่ายถึง 5 เดือนเต็ม

15. ภาษาสวรรค์ที่ลีลูพูดในเรื่องนั้น คิดขึ้นมาโดยลุค เบซองเอง และมิลลา โจโววิช เอาไปประยุกต์ต่ออีกทีเพราะเธอพูดได้ถึง 4 ภาษา ภาษาสวรรค์มีศัพท์อยู่ทั้งหมด 400 คำ มิลลา และ เบซอง ฝึกฝนกันด้วยการพูดโต้ตอบกันไปมา จนวันปิดกล้องภาษาสวรรค์ก็กลายเป็นอีกภาษาที่ทั้งคู่สามารถสื่อสารกันได้จริง ฉากที่ ลีลู และ คอร์เบ็น เจอกันครั้งแรกในรถแท็กซี่ ลีลู ก็พ่นภาษาสวรรค์ใส่คอร์เบ็น อาการที่บรู๊ซ วิลลิส อึ้งนั่น…..อาการจริง

                                              ฉากแรกที่คอร์เบ็น และ ลีลู เจอกัน และมิลลา ก็พ่นภาษาสวรรค์ที่คิดเองใส่บรู๊ซ วิลลิส จนอึ้ง

Play video

16. เบซอง นี่เป็นผู้กำกับที่ชอบเอานางเอกหนังตัวเองทำเมียนะ เมียคนแรกคือ แอน ปาริลโย ก็นางเอกเรื่อง “Nikita” หนังสร้างชื่อของ ลุค เบซอง แต่งได้ 5 ปีเลิกกันไป มาเอา ไมเวน ดาราตัวประกอบจาก “Leon:The Professional” มาเป็นเมียคนที่ 2 แล้วตอนที่ถ่ายทำ “The Fifth Element”เนี่ยล่ะ ดาราที่รับบท “พลาวาลากูนา” มนุษย์ต่างดาวสีฟ้าผู้ร้องโอเปรา ไม่มาเข้าฉาก ลุค เบซอง ก็เลยจิกเมียให้มารับบทนี้แทน แต่มันน่าชีช้ำนะ พอหนังปิดกล้อง ลุค ก็ชิ่งไมเวน ไปเอา มิลลา โจโววิช เป็นเมียคนที่ 3

ไมเวน ภรรยาคนที่2 ของ ลุค เบซอง ที่จับพลัดจับผลูต้องมารับบท พลาวาลากูนา

17.แต่สงสัยจะนิสัยเข้ากันไม่ได้มั้ง ลุคกับมิลลาแต่งกันปลายปี 1997 แต่ก็หย่ากันในปี 1999 หลังจาก มิลลา รับบทนำให้ เบซอง อีกเรื่องใน “The Messenger: The Story of Joan of Arc.”

                                                ฉากเปิดตัวพลาวาลากูนา

Play video

18. ในฉากที่ พลาวาลากูนา ขึ้นเวทีมาร้องเพลงนั้น ปฏิกิริยาที่ดาราร่วมฉากตื่นตระหนกนั้นเป็นอาการจริง เพราะลุค แยกไมเวน ไปแต่งตัวและเมคอัปในห้องต่างหาก ไม่มีใครรู้ว่าพลาวาลากูน่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร พอเธอปรากฏตัวด้วยภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวตัวสีฟ้า ก็เลยสร้างความตื่นตากับผู้พบเห็นกันจริง ๆ

19. เป็นหนังน้อยเรื่องที่พระเอกกับตัวร้ายไม่เผชิญหน้ากัน ในเรื่องนี้ คอร์บิน และ ซอร์ก ไม่มีการเข้าฉากร่วมกันเลย

20. ด้วยทุนสร้าง 90ล้านเหรียญ เป็นหนังนอกอเมริกาที่ใช้ทุนสร้างสูงสุด หนังทำรายได้ 264 ล้านเหรียญ ก็สร้างสถิติหนังนอกอเมริกาที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดเช่นกัน มาเสียตำแหน่งให้ The Intouchable ในปี 2011 ที่ทำไป 426 ล้านเหรียญ

21. แม้เราจะตื่นตาตื่นใจกับภาพเอฟเฟกต์ของ The Fifth Element ในวันนั้นว่าน่าอัศจรรย์กับภาพโลกอนาคต แต่หารู้ไม่ ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในวันนั้นทำให้หนังใช้ CG ไปได้เพียง 188 ช็อต แต่กับ Valerian ที่ใช้ CG แทบทั้งเรื่อง ใช้ CG สร้างภาพไปทั้งหมด 2,734 ช็อต

22.”ฟิงเกอร์”เพื่อนที่ คอร์เบ็น โทรหาอยู่หลายครั้งในเรื่อง เป็นเสียงของ วิน ดีเซล ซึ่งเขาไม่ได้เครดิตจากเรื่องนี้

หลากหลายดีไซน์ และตัวละคร ที่เมเซียร์ อ้างว่า จอร์จ ลูคัส เอาจากการ์ตูน Valerian ไปใช้ในหนัง Star wars แล้วไม่ให้เครดิตเขา

23. ตอนที่ ลุค เบซอง ติดต่อไปหา ฌอง คล็อด เมเซียร์ ว่า”ผลจะสร้างหนังที่อิงภาพมาจากการ์ตูนคุณ และผมจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้คุณนะ” ที่เบซอง ต้องกล่าวย้ำตรงจุดนี้ เพราะมีกรณีที่โต้แย้งกันมานานว่า หลาย ๆ ไอเดียในสตาร์วอร์สล้วนมาจากการ์ตูนวาเลเรียน เช่น ชุดของดาร์ธ เวเดอร์ , บิกินี่สีทองของเจ้าหญิงเลอา , ฮัน โซโลในโลงคาร์บอน แต่สุดท้าย จอร์จ ลูคัส ก็เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

ฌอง คล็อด เมเซียร์ ผู้ให้กำเนิด Valerian

24.เดิมที ลุค เบซอง ตั้งใจจะสร้างให้เป็นหนังไตรภาค โดยเขียนเรื่องแยกเป็น 3 ตอนแล้ว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเอามารวมเป็นหนังภาคเดียว

25.ประโยคที่ คอร์เบ็น พูดว่า “โอ้วคุณสุภาพสตรีครับ ผมพูดเป็นแค่ 2 ภาษาเท่านั้นคือ ภาษาอังกฤษ และภาษาอังกฤษแบบหยาบ” เป็นคำพูดที่บรู๊ซ วิลลิส ด้นสดขึ้นมาเอง