สูตรสำเร็จสูตรหนึ่งของฮอลลีวู้ด คือการหากินกับหนังภาคต่อ เมื่อภาคแรกประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยรางวัล เสียงวิจารณ์ หรือว่ารายได้สวยงามบนบอกซ์ออฟฟิศ ก็ล้วนแต่เป็นการปูทางที่ดีไว้แล้ว ผู้สร้างไม่ต้องทุ่มงบโปรโมตมาก เพราะหนังภาคแรกทำให้คนดูเป็นที่รู้จักไว้แล้ว และแฟน ๆ ภาคที่แล้วก็ต้องตามมาดูภาคต่อแน่นอน เราจึงเห็นหนังภาคต่อที่ออกมาจากฮอลลีวู้ดมากมายเต็มไปหมด แม้บางเรื่องก็จบในตัวมันเองแล้ว แต่รายได้ที่ถล่มทลายก็ยังทำให้ผู้สร้างต้องขวนขวายหาทางสานต่อเรื่องราวให้จงได้

วันที่ Blade Runner 2049 เข้าฉาย หนังทิ้งช่วงห่างจากภาคก่อนหน้า Balde Runner (1982) ถึง 35 ปี เรียกได้ว่าหลาย ๆ คนยังไม่เกิดตอนภาคแรกเข้าฉายเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ผู้กำกับ เดนิส วิลเลอเนิฟ เองก็ยังเพิ่งอายุ 14 เองตอนที่ดูภาคแรก หลายคนอาจจะคิดว่า Blade Runner 2049 น่าจะเป็นหนังภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคก่อนหน้ามากที่สุดแล้ว ที่จริงแล้วยังมีที่ห่างไกลกว่า 35 ปีอีกครับ ไกลกันแบบไม่น่าเชื่อว่าทำมั้ยยังจะคิดสร้างภาคต่ออยู่อีก ถ้าดูภาคแรกตอนวัยรุ่น ภาคต่อนี่ก็มาตอนปลดเกษียณเลี้ยงหลานอยู่บ้านแล้ว เรามาดูกันซิว่าถ้าหยิบมา 10 อันดับ มีหนังเรื่องอะไรบ้างที่ทิ้งช่วงห่างภาคต่อกันแบบลูกโตกันแล้วถึงได้ดู

1. The Best Man (1999) to The Best Man Holiday (2013)


เรื่องราวเกี่ยวกับ : ผลงานกำกับและเขียนบทโดย มัลคอม ดี. ลี เรื่องความรักวุ่น ๆ ชุลมุนของแก๊งเพื่อนมหาลัย ชาย 4 หญิง 4 ที่มาใช้เวลาร่วมกันในคืนก่อนงานแต่งของเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน หนังออกฉายในปี 1999 เรื่องราวของกลุ่มอเมริกันผิวสีล้วน ๆ เป็นหนังที่รวบรวมนักแสดงผิวสีแถวหน้ามาได้กลุ่มใหญ่ เทย์ ดิกก์ , เทอเรนซ์ โฮเวิร์ด , ฮาโรลด์ เพอรินู , เรจินา ฮอลล์ และ นิอาลอง หนังเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ดี ทำกำไรให้ผู้สร้างไปพอตัว 34 ล้าน จากทุนสร้างเพียง 9 ล้านเหรียญ แถมยังกวาดรางวัลจากเวทีเล็ก ๆ ไปถึง 7 ตัว แน่นอนว่ามันต้องมีภาคต่อ

ในงานภาคต่อ : “เวลาเปลี่ยน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไม่เคยเปลี่ยน” ประโยคที่ใช้โปรโมต The Best Man Holiday (2013) ถึงแม้จะทิ้งช่วงห่างนานถึง 14 ปี แต่ผู้กำกับ มัลคอม ก็สานต่อเรื่องราวได้สวยงาม ให้เพื่อนสนิทกลุ่มเดิมได้มารวมกลุ่มกันใหม่ด้วยการไปพักผ่อนวันหยุดร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกัน ใช้เสียงบรรยายเล่าความเป็นไปในช่วงห่าง 14 ปีของหนัง แล้วต้องชื่นชมทีมงานที่สามารถรวบรวมนักแสดงกลุ่มเดิมกลับมาได้ทั้งหมด รอบนี้หนังใช้ทุนสร้างมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่รายรับก็มากเป็น 2 เท่าเช่นกัน หนังทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 72 ล้านเหรียญ และได้รางวัลจากเทศกาลหนังสำหรับคนผิวสีไปอีก 3 ตัว ไม่แน่ว่าเว้นช่วงไปอีก 14 เราอาจจะได้ดู The Best Man ภาค 3 ก็เป็นได้

2. Escape From New York (1981) to Escape From L.A. (1996)


เรื่องราวเกี่ยวกับ : จินตนาการของผู้กำกับจอห์น คาร์เพนเตอร์ จำลองเหตุการณ์ในโลกอนาคต ในเรื่องคือปี 1997 ว่าอาชญากรรมลุกลามเกินควบคุม ทางรัฐบาลอเมริกาเลยปิดล้อมทั้งเมืองนิวยอร์คให้เป็นคุกขนาดยักษ์คุมขังอาชญากรทั้งหมดไว้ในนั้น แล้วโชคร้ายซ้ำซ้อน เมื่อเครื่องบินประธานาธิบดีดันตกในนิวยอร์ก ถือกำเนิดฮีโร่ในนาม สเนค พลิสเคน อดีตโจรปล้นธนาคารฝีมือฉกาจ มีเอกลักษณ์ที่มีตาข้างเดียว สเนค ถูกมอบหมายหน้าที่เสี่ยงตายให้เข้าไปชิงตัวประธานาธิบดีและเทปลับออกมาจากนิวยอร์ค เพื่อแลกกับการอภัยโทษของเขา สเนค มีเวลาปฏิบัติการเพียง 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นทางการจะจุดระเบิดที่ฝังไว้ในตัวเขาซะ หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ในวันที่ออกฉาย ทุนสร้างน้อยนิดมากเพียง 6 ล้านเหรียญ ทำรายได้ในอเมริกาไป 25 ล้าน รายได้นอกอเมริกาไม่มีเปิดเผยตัวเลข สเนค พลิสเคน กลายเป็นตัวละครอมตะ และบทบาทจดจำที่สุดของ เคิร์ต รัสเซล

ในงานภาคต่อ : เหตุการณ์ตามหลังภาคแรก 16 ปี เรื่องราวรอบนี้เกิดขึ้นในปี 2013 กฏหมายใหม่ระบุให้ประธานาธิบดีไม่มีวาระหมดอายุ เมืองหลวงย้ายไปอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ส่วนรัฐลอสแองเจลิสไม่ยอมรับกฎหมายใหม่นี้ ขอแยกตัวเป็นเอกเทศ เรื่องราวยุ่งเหยิงหนักเมื่อยูโทเปียลูกสาวประธานาธิบดีเกิดคบหากับโจนส์หัวหน้าแก๊งใหญ่ในแอล.เอ. และขโมยอาวุธต้นแบบไปให้โจนส์ใน แอล.เอ. ร้อนถึงสเนค พลิสเค็นอีก ที่โดนจับฉีดยาอีกรอบแล้วบังคับให้ไปชิงอาวุธต้นแบบแล้วกลับมารับยาถอนพิษให้ทันภายใน 10 ชั่วโมง เคิร์ต รัสเซล กลับมาเป็นสเนคอีกรอบในวัย 45 ปีก็ยังพอบู๊ไหวอยู่ แต่การกลับมาของสเนครอบนี้ไม่ประสบความสำเร็จ หนังใช้ทุนสร้างไปถึง 50 ล้านเหรียญ แต่รายได้กลับเท่าภาคแรกที่ 25 ล้านเหรียญ ส่วนรายได้ต่างประเทศไม่เปิดเผยว่าพอได้ทุนสร้างกลับคืนมาไหม แต่ทางผู้สร้างก็ยังไม่ถอดใจ ปี 2014 มีข่าวว่าจะสร้างภาค 3 แล้วให้ชาร์ลี ฮันแนม มารับบทเป็นสเนค แต่ชาร์ลี ติดงาน King Arthur แล้วข่าวก็เงียบไป

3. The Godfather Part II (1974) to The Godfather Part III (1990)


เรื่องราวเกี่ยวกับ : ดัดแปลงจากนิยายชื่อดังของ มาริโอ พูโซ เรื่องราวของ วีโต คอร์ลีโอเน มาเฟียจากอิตาลีที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าพ่อและครองอำนาจในนิวยอร์คช่วงปี 1945-1955 และอำนาจถูกส่งต่อให้กับ ไมเคิล คอร์ลีโอเน ในภาค 2 ทั้ง 2 ภาค คือมาสเตอร์พีซของผู้กำกับฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ที่ถูกกล่าวขวัญอย่างยกย่องไปตลอดกาล ภาคแรกออกมาปี 1972 กวาดไป 3 ออสการ์ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , มาร์ลอน แบรนโด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม , และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่วนภาค 2 ออกมาปี 1974 ยังได้รับเสียงชื่นชมเช่นเคยและรอบนี้กวาดไปถึง 6 ออสการ์

ในงานภาคต่อ : ด้วยความดีงามของหนังทำให้บรรดาแฟน ๆ และทางค่ายพาราเมาท์ ต่างก็เรียกร้องให้ฟรานซิล ฟอร์ด ทำภาค 3 ออกมา บทภาพยนตร์จำนวน 12 เวอร์ชั่นถูกส่งให้ฟรานซิส พิจารณาแต่ถูกปฎิเสธทั้งหมด เหตุผลคือยังไม่เจอบทที่น่าพอใจและไม่อยากสานต่องานมาสเตอร์พีซของตัวเอง จนผ่านไปเกือบ 16 ปี ฟรานซิส ถึงพร้อมที่จะกลับมาสานต่อกับบทที่เป็นของเจ้าของเรื่องมาริโอ พูโซ เอง สุดท้ายฟรานซิสเอง ก็บอกว่าไม่พอใจกับผลงานตัวเองในภาค 3 นัก เขาได้ทุนที่จำกัดและเวลาที่ทางค่ายกำหนดแบบมาแบบกระชั้นชิด เพื่อให้ทันฉายตอนคริสต์มาส เป็นการปิดเรื่องราวไตรภาค The Godfather ที่ใช้เวลาถึง 18 ปี ที่ไม่สวยงามนักรอบนี้หนังเข้าชิงออสการ์ถึง 7 รางวัล แต่ก็ไม่ได้รางวัลแม้แต่ตัวเดียว

4. Indiana Jones and the Last Crusade (1989) to Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008)

เรื่องราวเกี่ยวกับ : อินเดียนา โจนส์ อาจารย์นักโบราณคดีที่อุทิศชีวิตให้กับการไขปริศนาในอดีต ผู้มีเอกลักษณ์ด้วยหมวกปีกกว้างและแส้เป็นอาวุธคู่กาย หนังเป็นการร่วมมือของ 2 สุดยอดผู้กำกับ เรื่องราวเกิดจากไอเดียของจอร์จ ลูคัส ผู้ถือสิทธิ์ในฐานะเจ้าของเรื่อง แต่มอบหมายให้สตีเวน สปิลเบิร์กเป็นผู้กำกับทั้ง 3 ภาค หนังประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายทั้ง 3 ภาค 1981 , 1984 , 1989 คนดูได้สนุกไปกับความลึกลับน่ากลัวของมนต์ดำ คำสาป และบรรดากับดักสุดอันตรายในสุสาน อินเดียนา โจนส์ กลายเป็นตัวละครคลาสสิกตลอดกาล ที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งบทบาทแอ็คชั่นฮีโร่ของแฮริสัน ฟอร์ด นอกเหนือจาก ฮัน โซโล ที่หลาย ๆ คนรักจากแฟรนไชส์ Star Wars

ในงานภาคต่อ : หลังจบภาค 3 Indiana Jones and the Last Crusade (1989) จอร์จ ลูคัส ก็หันไปทำอินเดียนา โจนส์ เวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ เล่าเรื่องราวของอินดี้ในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะมาเป็นเหตุการณ์ที่เราดูกันในเวอร์ชั่นหนังโรง ระหว่างนี้จอร์จ ก็เริ่มเปรยว่าเขาอยากให้อินเดียนา โจนส์ ไปเจอกับมนุษย์ต่างดาวดูบ้าง มีมือเขียนบทแถวหน้าฮอลลีวู้ดเอาไอเดียของจอร์จมาเขียนทั้ง เอ็ม ไนท. ชยามาลาน และ แฟรงค์ ดาราบอนต์ แต่ก็ไม่ถูกใจ สุดท้ายจอร์จ ก็เลยเขียนเอง แต่กว่าที่อินเดียนา โจนส์ จะได้ออกมาผจญภัยรอบที่ 4 ก็ใช้เวลาถึง 19 ปี แต่แม้อินเดียนา กลับมารอบนี้จะร่วงโรยไปมากและทิ้งช่วงไปมากเพียงใด แฟน ๆ ของอินเดียนา ก็ยังอ้าแขนต้อนรับเป็นอย่างดี หนังทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 786 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 185 ล้านเหรียญ แต่ไม่น่าจะมีภาคต่อล่ะ เพราะวันนี้แฮร์ริสัน ฟอร์ด ก็ปาไป 75 ปีแล้ว

5. Psycho (1960) to Psycho 2 (1983)


เรื่องราวเกี่ยวกับ : นอร์แมน เบตส์ หนุ่มเงียบ ๆ ดูขี้อายดำเนินธุรกิจโรงแรมเล็ก ๆ เขามีแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการคอยดุด่าอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งแมเรียน เครนเลขาสาวที่เพิ่งยักยอกเงินมาจากนายจ้างหอบเงินหนีออกจากเมืองแล้วแวะพักที่โรงแรมเบตส์ แล้วเธอก็ต้องพับกับเหตุการณ์สุดสยองที่โรงแรมนี้ psycho เป็นงานมาสเตอร์พีซของปรมาจารย์อัลเฟรด ฮิตช์คอก ถูกยกย่องจากผู้กำกับด้วยกันและบรรดาคนดูทั่วโลก ถึงศิลปะการใช้ภาพและเสียงสื่อได้ถึงความสยองโดยไม่ต้องให้เห็นภาพรุนแรง งานภาพใน psyco สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับหนังสยองขวัญมากมาย ตัวหนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 4 รางวัล แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 50 ปี ชื่อเสียงของ psyco ก็ยังถูกเล่าต่อรุ่นสู่รุ่น หนังถูกรีเมคอีกรอบในปี 1998 และถูกดัดแปลงเป็นทีวีซีรีส์ Bates Motel ที่สร้างต่อเนื่องมาแล้ว 5 ซีซัน

ในงานภาคต่อ : โรเบิร์ต บลอช ผู้ประพันธ์นิยายต้นฉบับ เขียน Psycho 2 ออกมาในปี 1982 ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกที่ออกมาเมื่อ 1959 ถึง 23 ปีเช่นกัน แต่เนื้อหาในนิยายกลับออกแนวหลุดโลก นอร์แมน เบตส์ บุกมาฮอลลีวู้ดพยายามยับยั้งกองถ่ายหนังที่นำเรื่องของเขามาสร้างเป็นหนัง พลอตในนิยายไม่ถูกใจทีมงานผู้สร้าง เลยเขียนเรื่องขึ้นมาใหม่ให้เรื่องราวในหนังเว้นช่วง 22 ปีเท่ากับระยะห่างของหนัง 2 เรื่อง นอร์แมน เบตส์ ถูกปล่อยตัวจากโรงพยาบาลโรคจิต เขากลับมาดำเนินกิจการโรงแรมต่อ แต่ก็ยังถูกตำรวจเฝ้าจับตาและเรื่องราวของแม่ก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเขา หนังทำกำไรไปน่าพอใจ 34 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 5 ล้านเหรียญ ทำให้หนังมีภาคต่อออกมาจนถึงภาค 4 ได้แอนโธนี เพอร์กินส์ มารับบทเป็นนอร์แมน เบตส์ทุกภาค แต่คุณภาพและรายได้ก็ถดถอยลงไปทุกภาค

6. Wall Street (1987) to Wall Street 2: Money Never Sleeps (2010)

เรื่องราวเกียวกับ : ผลงานสานต่อความสำเร็จของโอลิเวอร์ สโตน หลังเพิ่งมีผลงานสร้างชื่อให้ตัวเองจาก Platoon (1986) แล้วก็เปลี่ยนแนวมาเล่าเรื่องวงการหุ้น มีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ บัด ฟอกซ์ รับบทโดยชาร์ลี ชีน โปรคเกอร์หน้าใหม่ที่ตกเป็นเครื่องมือของ กอร์ดอน เกคโค มหาเศรษฐีจอมละโมภผู้ไร้ศีลธรรม หนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ บทกอร์ดอน ส่งให้ไมเคิล ดักลาส คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมทั้งเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำ

ในงานภาคต่อ : เหตุการณ์ในหนังเว้นช่วง 23 ปีเท่ากับระยะห่างของ 2 ภาค ภาคนี้โอลิเวอร์ สโตน กลับมากำกับแต่ไม่เขียนบทเองแล้ว เนื้อหาของหนังยังอิงถึงวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจริงในช่วงปี 2008 กอร์ดอน เกคโค พ้นโทษออกจากเรือนจำกลับมาก่อร่างสร้างอาณาจักรเขาขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันก็พยายามสานต่อความสัมพันธ์กับลูกสาวที่ไม่สู้ดีนัก โดยมีเจคอบ คู่หมั้นของเธอเป็นตัวเชื่อม และขณะเดียวกันก็พยายามปั้นเจค ในฐานะโบรคเกอร์รุ่นใหม่ให้รับถ่ายทอดวิชาจากเขา ด้านเสียงตอบรับไม่สู้ดีนัก ห่างไกลจากภาคแรกมาก แต่ทางด้านรายได้กลับตรงกันข้ามหนังทำรายรับได้ถึง 392 ล้านเหรียญจากทุนสร้างที่ 100 ล้านเหรียญ

7. The Hustler (1961) to The Color of Money (1986) 

เรื่องราวเกี่ยวกับ : เอ็ดดี้ เฟลสัน นักสนุกเกอร์หนุ่มยะโสและอีโก้จัดถึงขนาดท้าทายแชมป์หลายสมัยดวล แต่แล้วก็พ่ายแพ้ เอ็ดดี้ หมดตัว และผู้จัดการส่วนตัวโบกมือลา เมื่อหลังชนฝาเขาจึงบากหน้าไปหา เบิร์ต กอร์ดอน ผู้จัดการจอมเขี้ยวที่จะพาเขากลับเข้าสู่วงการได้ แต่การเดินหน้าใหม่ครั้งนี้เขาอาจต้องแลกกับการเสียแฟนรักไป หนังสร้างจากบทประพันธ์ของ วอลเตอร์ เทรวิส และได้พอล นิวแมน มารับบท เอ็ดดี้ เฟลสัน หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง ทางด้านรายได้แม้ทำกำไรไม่มากมายนัก แต่ทางด้านรางวัลหนังเข้าชิงออสการ์ถึง 9 ตัว และคว้ามาได้ 2 ตัวจากงานถ่ายภาพและกำกับศิลป์

ในงานภาคต่อ : วอลเตอร์ เทรวิส ออกนิยายภาคต่อของตัวเองมาในปี 1984 เว้นช่วงจากงานภาคแรกถึง 25 ปี ตัวนิยายเขียนได้สนุก ขนาดที่ว่าผู้กำกับใหญ่อย่างมาร์ติน สกอร์เซซี สนใจขอกำกับหนังภาคต่อเรื่องนี้ และการทิ้งช่วงห่างขนาดนี้ก็ทำให้พอล นิวแมน อยู่ในวัยที่พอดีกับที่นิยายบรรยายได้ ทำให้เขากลับมารับบทเดิมได้อย่างลงตัว ในภาคต่อเอ็ดดี้ เจอกับ วินเซนต์ ในผับ เอ็ดดี้มองเห็นลีลาการเล่นสนุกเกอร์ของวินเซนต์แล้วชวนให้นึกถึงตัวเองในวัยนั้นเลยเสนอตัวเป็นอาจารย์ให้วินเซนต์และจะทำให้เขาเป็นนักสนุกเกอร์ระดับเซียน ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ก็เดินสายท้าดวลนักสนุกเกอร์กินเดิมพันไปทีละรัฐ หนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามทั้งเงินและรางวัล บทเอ็ดดี้ เฟลสัน ส่งให้พอล นิวแมน ได้เข้าชิงออสการ์อีกครั้ง และรอบนี้เขาไม่พลาดอีกแล้ว

8. Tron (1982) to Tron: Legacy (2010)

เรื่องราวเกี่ยวกับ : หนังที่พลอตและภาพฉีกแนวหลุดโลกมาในยุคต้น 80s เมื่อเควิน ฟลินน์ โปรแกรมเมอร์หนุ่มถูกดูดเข้าไปในเกมคอมพิวเตอร์ และพบกับโลกภายในเกม ที่เขาถูกบังคับให้เข้าแข่งขันเกมชิงความเร็วที่ต้องแลกด้วยชีวิต หนังเป็นผลงานเขียนและกำกับโดย สตีเวน ลิสเบอร์เกอร์ ที่ถ่ายทอดจินตนาการตัวเองออกมาเป็นภาพได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ กับแนวคิดโลกมืด ชุดสีเข้มแต่ขับเน้นด้วยเส้นเรืองแสงทั้งชุดและมอเตอร์ไซค์ไฮเทค ทำให้หนังได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายแต่ก็พลาดไป หนังทำกำไรไปพอควร 33 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 17 ล้านเหรียญ

ในงานภาคต่อ : 28 ปีที่ทิ้งช่วงห่างไป เมื่อแซม ฟลินน์ ลูกชายของเควิน โตเป็นหนุ่ม และได้รับสัญญานเรียกจากพ่อ ทำให้แซมได้เข้าไปในเกมเดียวกับพ่อ เขาได้เจอกับพ่ออีกครั้ง และพบว่าโลกภายในเกมนี้จะออกไปโจมตีโลกมนุษย์ และพ่อต้องการให้เขาช่วยยับยั้งแผนการนี้ โจเซฟ โคซินสกี ผู้กำกับโนเนม ได้งานนี้เพราะเขาทำหนังสั้นที่แสดงวิสัยทัศน์ของหนัง Tron ที่เขาอยากทำและถูกใจดิสนีย์ก็เลยได้งานไป หนังใช้ทุนสร้างบ้าคลั่งห่างจากภาคแรกมากมาย ด้วยตัวเลข 170 ล้านเหรียญ แต่หนังก็ทำกำไรได้ไม่น่าผิดหวังที่ 400 ล้านเหรียญ ความสำเร็จของหนังทำให้กระแส Tron กลับมาอีกครั้ง หนังได้ไปต่อในเวอร์ชั่นทีวีซีรีส์ และมีเกมคอมพิวเตอร์ออกมาอีกหลายเกม ผู้กำกับโจเซฟ ได้ไปกำกับหนัง Oblivion หนังฟอร์มใหญ่ที่มีทอม ครูซ รับบทนำ และโอลิเวีย ไวลด์ นำหญิงของเรื่องก็เป็นที่รู้จักจากเรื่องนี้

9. The Wizard of Oz (1939) to Journey Back to Oz (1974)

เรื่องราวเกียวกับ : อีกหนึ่งนิทานที่คนทั่วโลกรู้จักดี ให้กำเนิดโดย แอล.แฟรงค์ บวม โลกของพ่อมดออซถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1900 และถูกสร้างเป็นหนังเวอร์ชั่นแรกในปี 1939 เรื่องราวของหนูน้อยโดโรธีและเจ้ามาโตโต้ถูกพายุทอร์นาโดพัดไปตกอยู่ในเมืองประหลาดได้เจอกับเพื่อนใหม่ หุ่นไล่กา , หุ่นกระป๋อง และ สิงโตขี้ขลาด ตัวเลขรายรับ 22 ล้านเหรียญในยุคนั้น ถือว่าหนังประสบความสำเร็จมหาศาลมาก และยิ่งทำให้ทั่วโลกได้รู้จักนิทานเรื่องพ่อมดออซกันมากขึ้น หนังยังไปคว้าออสการ์มาได้อีก 2 ตัว ในสาขาเพลงประกอบ และ ดนตรีประกอบ

ในงานภาคต่อ : แอล. แฟรงค์ บวม เขียนนิทานในซีรีส์ พ่อมดออซ ออกมาถึง 18 เล่ม แต่ด้วยความสำเร็จของหนังภาคแรก จึงยังไม่มีผู้สร้างคนไหนที่กล้าจะมาสานต่อความสำเร็จ ลากยาวมาจนถึงปี 1962 โปรเจ็กต์ Journey Back to Oz ถึงได้เริ่มต้นสร้าง แต่รอบนี้ทีมผู้สร้างตัดสินใจสร้างออกมาเป็นการ์ตูน แต่ก็ยังยังเจอปัญหาเรื่องทุนสร้างอีกทำให้งานสร้างหยุดชะงักไปอีก 12 ปี หนังถึงได้สำเร็จพร้อมฉาย รวมเบ็ดเสร็จหนังทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกถึง 35 ปี รอบนี้โดโรธีก็โดนทอร์นาโดพัดเธอไปตกในเมืองออซอีกครั้ง หนังได้ไลซา มิเนลลี มาพากย์เสียงแทน จูดี้ การ์แลนด์ แม่ของเธอเองที่รับบทโดโรธี ไว้ในภาคแรก

10. Peter Pan (1953) to Return to Never Land (2002) 

เรื่องราวเกี่ยวกับ : คงไม่มีใครไม่รู้จัก ปีเตอร์ แพน เด็กชายตลอดกาลจากโลกนิทานคนนี้หรอกมั้ง หนังถูกสร้างมาเป็น 10 เวอร์ชั่นแล้วทั้งในรูปแบบคนแสดง และการ์ตูน , แต่ peter pan ของวอลต์ ดิสนีย์ เวอร์ชั่นปี 1953 นี่แหละนับว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุด และน่าจะมีเด็กทั่วโลกได้ดูกันมากที่สุดแล้ว หนังประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล กับตัวเลข 87 ล้านเหรียญในวันนั้น

ในงานภาคต่อ : ภาคแรกกลายเป็นการ์ตูนที่ขึ้นหิ้งที่เด็กทั่วโลกรู้จัก แต่ดิสนีย์ก็ไม่ได้เปิดเผยสาเหตุว่าเพราะอะไรถึงทิ้งช่วงตั้งครึ่งศตวรรษถึงตัดสินใจสร้างภาคต่อออกมา และเดิมทีตัดสินใจว่าจะทำออกมาวางขายเป็นวีดีโอด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเพิ่มงบเป็น 20 ล้านเหรียญและออกฉายในโรงภาพยนตร์ ภาคนี้มาเล่าเรื่องราวของเจน ลูกสาวของเวนดี้ที่โตเป็นสาว และการปรากฏตัวของกัปตันฮุค ที่เข้าใจผิดว่าเจนคือเวนดี้แล้วก็จับเธอไปเนเวอร์แลนด์ ร้อนถึงปีเตอร์แพนต้องกลับมาออกโรงช่วยเจนจากน้ำมือของกัปตันฮุคอีกครั้ง รอบนี้ทีมงานต้องคัดตัวคนพากย์ใหม่หมด เพราะคนพากย์เดิมตายหมดแล้ว เพราะมันตั้ง 50 ปีมาแล้วนี่นะ แล้วก็คัดเฟ้นเสียงทีมใหม่ให้เสียงละม้ายคล้ายเดิมให้มากที่สุด แม้หนังจะออกมาเงียบ ๆ เชื่อว่าหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า peter Pan มีภาค 2 ด้วยแต่หนังก็ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ด้วยตัวเลข 109 ล้านเหรียญ