[รีวิว]Hell Fest : ย้อนยุคฆาตกรสวมหน้ากากที่ไร้ความสร้างสรรค์
Our score
4.4

hell fest : สวนสนุกนรก

จุดเด่น

  1. ไอเดียเริ่มต้นดี ที่ให้เรื่องราวสยองเกิดในสวนสนุกสยองขวัญ
  2. ฉากกิโยติน ลุ้นสุดแล้ว

จุดสังเกต

  1. นักแสดงดูแก่เกินวัยรุ่น
  2. หนังขายความโหด แต่มีฉากโหดแค่ 2 ฉาก
  3. ไม่มีการอธิบายที่ไปที่มาของฆาตกร
  4. หงุดหงิดกับบทมาก ตัวละครทำเรื่องโง่ ๆ สมควรตาย
  5. ดนตรีลุ้นเร้าใจเกินภาพบนจอ
  • คุณภาพงานสร้าง

    6.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    2.0

  • นักแสดง

    5.0

  • ความสนุก

    6.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    3.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย

หนังแนวฆาตกรโรคจิตสวมหน้ากากแล้วตามฆ่าเหล่าวัยรุ่นคึกคะนองที่มีศัพท์เรียกกันว่า Slash Film เป็นแนวที่นิยมสร้างกันมากในยุค 80s – 90s ห่างหายจากจอหนังไปนานพอสมควร แล้ววันนี้ก็มี Hell Fest หนังสยองขวัญเรื่องล่าที่พาเรากลับไปสัมผัสบรรยากาศสยองเดิม ๆ อีกครั้ง กลับฆาตกรสวมหน้ากากรายใหม่ ที่มาตามฆ่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเลือกสถานที่ให้เป็นสวนสนุกสยอง เพื่อเพิ่มความน่ากลัวได้มากขึ้นไปอีกกับบรรยากาศรอบข้าง

เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครนำเป็นกลุ่มวัยรุ่นชาย 3 หญิง 3 เพื่อนสมัยไฮสคูลที่แยกย้ายกันไปพักใหญ่และได้กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ทั้ง 6 ย้อนอดีตด้วยการพากันไปเที่ยวสวนสนุก Hell Fest ที่เต็มไปด้วยบ้านผีหลายหลังให้เข้าไปกรี๊ดกัน นาตาลี ในบทนำของเรื่อง เป็นเพื่อนสาวที่ไปเรียนต่อในรัฐอื่นแล้วได้กลับมาเยี่ยมเพื่อนในเทศกาลฮัลโลวีน ซึ่งบรรดาเพื่อน ๆ ก็ถือโอกาสจัดฉากให้แนตได้มาเจอกับเกวิน คู่รักคู่ลุ้นสมัยไฮสคูลอีกครั้ง หนังใช้เวลาช่วงต้นพาเราไปสัมผัสภาพรวมกว้าง ๆ ของสวนสนุก hell fest ซึ่งดูก็น่าสนุกตามไปด้วย กับบรรยากาศแบบงานวัดฝรั่ง มีขนมขาย มียิงปืน และที่น่าสนุกมากคือทีมงานจำนวนมากแต่งชุดผีได้น่ากลัวแล้วคอยวิ่งมาแกล้ง หรือกระโดดจากมุมมืดมาแกล้งให้ตกใจ ไม่นานนักหนังก็เริ่มเข้าหาสูตรสำเร็จของ slash film เมื่อเริ่มมีสมาชิกในกลุ่มแยกตัวออกไป และแน่นอนต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิต และจุดที่ทำให้ hell fest ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นคือเมื่อฆาตกรหน้ากากผีสังหารเหยื่อท่ามกลางฝูงชน ก็ไม่มีใครแตกตื่นเพราะคิดว่านี่คือโชว์หนึ่งของสวนสนุก แต่หนังก็กลับไม่ได้นำจุดนี้มาเน้นสักเท่าใดนัก

ทำใจไว้แล้วว่าหนังแนวนี้ บรรดาตัวละครมักจะต้องทำเรื่องโง่ ๆ ให้ตัวเองซวยแล้วก็ต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตแบบน่าสมน้ำหน้า แต่สุดท้ายก็ยังหงุดหงิดกับบทที่ยังคงเขียนให้บรรดาตัวละครทำเรื่องโง่ ๆ ฝืนพื้นฐานมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วด้วยวัยของนักแสดงที่ทีมงานแคสต์มาแต่ละคนก็ดูเป็นวัยทำงานมากกว่าจะเป็นวัยรุ่นที่มาวิ่งกรี๊ด ๆ ในงานแบบนี้ อีกทั้งจุดสำคัญสุดอย่างฆาตกรสวมหน้ากากที่ถูกเพิกเฉยกับที่มาที่ไปไม่บอกเล่าสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมีความโกรธแค้นกับเหล่าวัยรุ่นถึงกับต้องฆ่าทิ้งอย่างไร้เหตุผลจูงใจ อีกทั้งความแข็งแกร่งเกินมนุษย์ และความอึดถึกอย่างกับอสุรกายที่ทั้งโดนฟาดหัวหลายครั้ง โดนแทงเข้าที่ท้องเลือดโชกแต่ก็กลับสู่สภาพปกติได้ในเวลาอันสั้น ทั้งที่หนังก็จงใจให้เห็นว่าฆาตกรรายนี้เป็นมนุษย์เช่นเรา ๆ นี่ล่ะ หาใช่ผีดิบอย่างเจสัน วอร์ฮี หรือเฟรดดี้ ครูเกอร์ หรือผู้สร้างอาจจะมั่นใจว่าแฟนหนังสยองจะต้องเคยชินกับความสามารถเหนือมนุษย์เหล่านี้ของฆาตกรสวมหน้ากาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ลำบากหาทางอธิบายเหตุผลเหล่านี้ดีกว่า เรียกได้ว่าบทหนังเดินตามสูตรสำเร็จของหนัง slash film ยุคเก่า แต่ทำได้ด้อยกว่าด้วยซ้ำ

หนังก็มีฉากตุ้งแช่มาถี่ ๆ แต่ว่าหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เราตกใจด้วยเสียงซาวด์เอฟเฟกต์เสียมากกว่าตกใจด้วยภาพ คือภาพน่ะประมาณ 10-20 แต่ซาวด์นี่มาเต็มร้อยเลย บางฉากก็ดูธรรมด้าธรรมดาแต่ดนตรีประกอบนี่เล่นใหญ่ไปถึงไหนแล้ว ด้วยการขาดที่ไปที่มาของฆาตกรโรคจิตนี่ล่ะ ทำให้ตัวฆาตกรหน้ากากผีไม่สามารถสร้างรังสีอำมหิตให้กับตัวเองได้ การปรากฏตัวในแต่ละครั้งจึงไม่ค่อยชวนลุ้นเท่าที่ควรนัก เลยต้องพึ่งทั้งแสงสีเสียงมาสร้างบรรยากาศร่วม จุดที่หนังยังคงรักษามาตรฐานความสยองไว้ได้ คือฉากสังหารโหดที่เหล่าวัยรุ่นชายดวงซวยโดนกันไป แต่กลับเหยื่อฝ่ายหญิงนี่ลดดีกรีลงเยอะมาก ฉากที่ลุ้นสุดเห็นจะเป็นฉากกิโยตินนี่ล่ะ และเป็นเพียง 2-3 ฉากที่ยังเล็ดลอดมาจากตัวอย่างหนังได้ Hell Fest นี่เป็นหนังที่สมควรได้รางวัลการตัดต่อตัวอย่างหนังยอดเยี่ยม เพราะแค่ตัวอย่างหนังนี่ก็เอาฉากเด็ดมาเล่าหนังได้เกือบทั้งเรื่องแล้ว แทบไม่เหลืออะไรให้รอลุ้นในหนังจริงเอาซะเล้ย

ผู้กำกับ เกรกอรี่ พลอตคิน เคยมีผลงานกำกับมาแค่เรื่องเดียวจาก Paranormal Activity: The Ghost Dimension (2015) แต่งานหลักของพี่เค้าคือมือตัดต่อหนังสยองขวัญที่เคยผ่านตาเราอย่าง Happy Death Day (2017) , Get Out (2017) ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายหรอก แต่หนังควรจะได้บทที่แน่นกว่านี้ หนังใช้ทุนสร้างจุ๋มจิ๋มมากแค่ 5 ล้านเหรียญ เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนไปกับการจ้างดาราแพง ๆ เลย ดาราที่มีชื่อในเรื่องนี้มีแค่คนเดียวคือ โทนี่ ทอดด์ เจ้าของบท Candyman หนังสยองขวัญปี 1992 ที่โผล่มาในบทรับเชิญแค่ไม่กี่นาที

เจ้าของหนัง hell fest ก็ดูมั่นใจกับหนังตัวเองจัง เปิดโรงฉายตั้ง 2,000 กว่าโรง หนังเข้าฉายในอเมริกาก่อนหน้าเราไป 1 สัปดาห์ ด้วยทุนแค่นี้ สัปดาห์แรกหนังก็ได้ทุนคืนแล้ว ที่เหลือจากนี้และตลาดนอกอเมริกาคือกำไรล้วน ๆ มีแววว่าเราอาจจะได้ดูภาค 2 กันด้วยนะ แต่สำหรับเรื่องนี้ยังไม่แนะนำครับ แค่ 91 นาที ยังรู้สึกว่านานเลย ดูจอเล็กก็ไม่เสียอรรถรสหรอกนะ

Play video