[รีวิว]Pet Sematary : ปรับเปลี่ยนจากเวอร์ชั่นเดิมไปไกลแต่ยังสยองได้อยู่
Our score
6.8

pet sematary : กลับจากป่าช้า

จุดเด่น

  1. ตอบสนองคอหนังสยองได้ดี ฉากลุ้นเยอะ
  2. ผีเด็กน่ากลัวดี

จุดสังเกต

  1. ไม่อินไปกับความรักระหว่างพ่อกับลูกสาว
  2. ฉากจบแปลกใหม่ แต่ก็อีรุงตุงนังพอควร
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    6.0

  • ความสมบูรณ์ของงานสร้าง

    7.0

  • ความน่ากลัว

    8.0

  • คุณภาพนักแสดง

    6.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    7.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

นับว่าเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่ได้รับความนิยมในระดับต้น ๆ ของสตีเฟน คิง ที่ผู้อ่านชื่นชมและยกให้เป็นนิยายที่ชวนขนหัวลุกมาก ทำให้นิยายถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในช่วงเวลาแค่ 3 ปีหลังนิยายออกขาย แม้ว่าหนัง Pet Sematary เวอร์ชั่นแรกในปี 1989 จะไม่จัดอยู่ในทำเนียบหนังจากนิยายของสตีเฟน คิง ที่ถูกใจแฟน ๆ นัก แม้ว่า pet sematary 1989 จะเป็นหนังน้อยเรื่องนักที่เจ้าตัวสตีเฟน คิง รับหน้าที่ดัดแปลงนิยายของเขาเป็นบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง แต่หนังก็ยังมีฉากสยองที่อยู่ในความทรงจำมาตลอด

 

ผ่านมา 30 ปี Pet Sematary ก็ได้ฤกษ์ถูกรีเมคอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่มีชื่อสตีเฟน คิง มาเกี่ยวข้องในงานเบื้องหลัง แต่เป็นหน้าที่ของ เจฟฟ์ บูห์เลอร์ มือเขียนบทหน้าใหม่มาแรง ที่เพิ่งมีผลงาน The Prodigy ออกฉายไปไม่นานนี้ และยังจะมี Jacob’s Ladder อีกหนึ่งบทประพันธ์ของสตีเฟน คิง ที่รอกำหนดฉาย แล้วก็ยังมี Grudge หรือ จูออน ที่ถูกกลับมารีเมคอีกครั้ง จำชื่อเขาไว้ได้เลยคนนี้ขึ้นแท่นมือเขียนบทหนังสยองขวัญแห่งยุคนี้แล้ว เจฟฟ์ เล่าเรื่องราวในครึ่งแรกตามเนื้อหาในเวอร์ชั่นแรกเกือบจะเป๊ะ ๆ เล่าเรื่องครอบครัว “ครีด” ที่ย้ายถิ่นฐานจากบอสตันมาอยู่ในเมืองลัดโลว์ เมืองเล็ก ๆ ในรัฐเมน ด้วยเหตุจาก หลุยส์ ครีด ผู้พ่อเป็นแพทย์ที่ย้ายมาประจำการในเมืองนี้ ในครอบครัวยังมี เรเชล ภรรยาที่รับหน้าที่แม่บ้านดูแล เอลลี่ ลูกสาววัย 9 ขวบ และ เกจ ลูกชายวัยไม่น่าจะเกิน 2 ขวบ

บ้านของครอบครัวครีดดูโอ่อ่าใหญ่โตมาก เป็นบ้านที่อยู่ในพื้นที่ป่ามหาศาลกว่า 126 ไร่ แต่ด้านหน้าบ้านติดถนนหลวงที่มีรถบรรทุกวิ่งกันขวักไขว่ และเป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ ครอบครัวหลุยส์มีเพื่อนบ้านเพียงหลังเดียวในละแวกนั้นคือ “จัด” ลุงแก่ ๆ ที่อยู่โดดเดี่ยวเพราะเมียป่วยตายไปนานมากแล้ว จัดมาสานสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวครีด ด้วยความเป็นคนเก่าแก่เลยรู้ประวัติความเป็นมาของพื้นที่ละแวกนี้เป็นอย่างดี หลังจากย้ายมาได้ไม่นาน “เชิร์ส” แมวเหมียวของเอลลี่ก็กลายเป็นเหยื่อของรถบรรทุก ด้วยความที่เป็นแมวสุดรักของลูกสาว จัดเลยพาหลุยส์ไปยังสุสานโบราณของชนพื้นเมืองที่อยู่ในป่าลึก ด้วยพลังลึกลับของผืนป่านี้ทำให้เชิร์สกลับมามีชีวิตและกลับมาหาเอลลี่ในคืนนั้น แต่เชิร์สไม่ได้กลับมาในสภาพแมวที่น่ารักตัวเดิม กลับกลายเป็นแมวดุร้าย เริ่มกัดและข่วนคนในครอบครัว จัดรู้สึกว่าเป็นความผิดของเขาที่แนะนำให้หลุยส์เอาเชิร์สไปฝังที่นั่น ทำให้หลุยส์ต้องเอาเชิร์สไปปล่อยไว้ไกล ๆ บ้าน แต่แล้วเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ครอบครัวครีดก็ต้องเสียสมาชิกในครอบครัวรายต่อไปให้กับรถบรรทุกที่วิ่งผ่านหน้าบ้าน และรอบนี้ถึงคิวของเอลลี่ ที่เรารู้ทันทีว่าหลุยส์จะตัดสินใจทำอย่างไรกับศพของลูกสาวสุดรักของเขา

หนังเลือกคงพลอตหลัก ๆ และตัวละครเดิมไว้ครบถ้วน รายละเอียดถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงท้าย มีการเพิ่มบทบาทของผี วิคเตอร์ ปาสเคา คนไข้ของหลุยส์ที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ และยังคงตามมาหลอกหลอนเขาอยู่บ่อยครั้ง และที่เพิ่มบทบาทมาอย่างมากคือ เซลดา พี่สาวของเรเชล ที่ตายไปในตอนที่เรเชลยังเด็ก และเธอรู้สึกว่าเป็นตราบาปอยู่ในใจตลอดมา ถ้ามองว่าการเพิ่มบทบาทของเซลดาเข้ามานั้น ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความสยองให้กับหนังได้อย่างมาก เพราะผีเซลดานี่ถือว่าน่ากลัวสุดแล้วในเรื่องนี้ แต่ถ้ามองถึงน้ำหนักที่มีผลต่อเรื่องราว ก็ต้องบอกว่าเซลดา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของหนังเลย เป็นแค่ผีในอดีตที่ตามหลอนจิตใจของเรเชลเท่านั้น

 

จุดที่เปลี่ยนแปลงหนักหนาสุดก็คือการเปลี่ยนให้ เอลลี่ ลูกสาวคนโตกลายเป็นผีที่กลับจากหลุมศพ จากเดิมในหนังเวอร์ชั่นก่อนและนิยายต้นฉบับที่สตีเฟน คิง เขียนให้เกจ น้องชายคนเล็กเป็นเหยื่อรถบรรทุกและเป็นผีเด็กที่กลับจากป่าช้า ซึ่งทีมงานก็ให้เหตุผลในการปรับเปลี่ยนไว้น่าสนใจว่า การให้เอลลี่ที่เป็นเด็กวัย 9 ขวบรับหน้าที่ผีตัวหลักของเรื่องนั้น เด็กโตสามารถสร้างสถานการณ์น่ากลัวได้มากกว่าเด็ก 2 ขวบ บวกกับการถ่ายทำที่จะต้องกำกับเด็กเล็กนั้นยากเกินไป แล้วจะต้องใช้ซีจีมาช่วยอีกในหลาย ๆ ฉากที่เด็กไม่สามารถแสดงได้ จากที่ดูก็เห็นพ้องตามนั้นจริง สาวน้อย เจเต ลอว์เรนซ์ ที่มารับบท เอลลี่ ตอนเป็นเด็กผู้หญิงก็ดูธรรมดาเผิน ๆ ไม่ได้เข้าตาโดดเด่นอะไรนัก แต่พอกลายร่างเป็นผีเด็กนี่ก็น่ากลัวดี

ด้วยการที่เขียนเปิดช่องให้ใส่ฉากสยองได้มากขึ้น ทำให้ pet sematary เวอร์ชั่นนี้อัดแน่นไปด้วยฉากลุ้น ๆ ว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาให้สะดุ้งตอนไหน เน้นไปที่บรรยากาศความน่ากลัวมากกว่าจะเล่นกับฉากตุ้งแช่ ผีในหนังก็น่ากลัวทุกตัว ทั้งผีวิคเตอร์ ปาสคาล , ผีเซลดา , ผีเด็กเอลลี่ , ผีแมว ชอบที่หนังเลือกจะเล่นกับการคาดหวังคนดู ด้วยการคงฉากเฉือนข้อเท้าสุดหวาดเสียวจากเวอร์ชั่น 1989 มาหยอกเล่นในเวอร์ชั่นนี้ ให้คนดูลุ้นใจหายใจคว่ำว่าจะเหยื่อจะโดนเฉือนหรือยังตอนไหน ก็ถือว่าทีมงานชุดใหม่สามารถยกระดับความน่ากลัวของ pet sematary ขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ละเลยไปก็คือความรู้สึกร่วมที่หลุยส์มีต่อลูกสาว ที่จะพาให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกที่เขาเลือกฝืนกฏธรรมชาติพาลูกสาวไปฝังในสุสานโบราณ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร และที่อาจหาญมากที่สุด ก็คือการเลือกเปลี่ยนฉากจบของหนังที่ไปไกลจากของเดิมมาก เรียกว่าเปลี่ยนแบบไม่เกรงใจสตีเฟน คิง เลย เพราะเจ้าตัวไม่ได้มาเกี่ยวข้องในเวอร์ชั่นนี้แล้ว น่าจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบกับฉากจบแบบใหม่นี้ ก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่เคยดูเวอร์ชั่น 1989 แล้วได้ลองมาสัมผัสฉากจบแบบใหม่นี้ดู แล้วถามตัวเองว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน

Play video