ใครจะไปคิดว่าจากหนังแข่งรถที่เริ่มต้นเมื่อปี 2001 อย่าง The Fast and the Furious จะลากยาวมาได้เกือบ 20 ปี แล้วก็พัฒนาตัวเองให้กลายเป็นหนังที่ว่าด้วยแก๊งจารกรรมและใช้รถแข่งรถหรูเป็นพาหนะหลัก จากหนังที่เจอขาลงและเกือบปิดฉากไปในภาค 3 เมื่อดารานำทั้งคู่กลายเป็นดารางานชุกแล้วไม่กลับมาร่วมงาน แต่กลับต่อยอดกลายเป็นหนังฮิตระดับบล็อกบัสเตอร์ ตั้งแต่ภาค 5 เป็นต้นมาหนังก็ทำเงินสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีดาราเบอร์ต้น ๆ ของวงการตบเท้าเข้าร่วมแฟรนไชส์ กลายเป็นหนังที่รวมเหล่าซูเปอร์สตาร์และใช้ทุนสร้างระเบิดระเบ้อ มีแฟน ๆ เฝ้าคอยภาคใหม่อย่างใจจดใจจ่อ

Play video

วันนี้หนังเดินทางมาถึงภาค 9 แล้ว แม้จะต้องเสียพอล วอล์กเกอร์ พระเอกหนุ่มที่เป็นเหมือนเสาหลักของแฟรนไชส์ไปในภาค 7 ทีมผู้สร้างต่างก็คาดหวังว่า ดเวย์น จอห์นสัน ในบท ลุค   ฮอบบ์ ที่เข้ามาร่วมแฟรนไชส์จะขยับขึ้นมารับบทนำเคียงคู่กับ ดอมินิก ทอเร็ตโต ได้ในภาค 8 สิ่งที่แฟน ๆ ได้เห็นก็เป็นไปตามนั้น แต่เบื้องหลังกลับไม่ได้สวยหรูราบรื่นอย่างที่เห็น การถ่ายทำภาค 8 The Fate of the Furious เต็มไปด้วยปัญหาปวดกบาล เมื่อ 2 ผู้ยิ่งใหญ่เกิดผิดใจกันถึงขั้นไม่ขอร่วมฉากกัน

ก็ต้องชื่นชมทีมงานที่หาทางออกได้จนหนังถ่ายทำจบ แผนที่เคยวางไว้ว่าจะให้ ลุค ฮอบบ์ สานต่อแฟรนไชส์ไปถึงภาค 10 ที่จะเป็นภาคปิดตำนาน Fast ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่จะหยุดแค่นี้หรือจะกำจัดบทลุค ฮอบบ์ ที่กำลังทำเงินให้กับแฟรนไชส์ไม่ใช่ทางออกแน่นอน ยูนิเวอร์แซลก็เลยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเสีย จัดการสร้างภาคแยกให้ลุค ฮอบบ์ ควงคู่ เดกคาร์ด ชอว์ ออกไปปฎิบัติภารกิจแยกซะ เป็นการขยายจักรวาล Fast ออกไป ยุติปัญหาบาดหมางแล้วยังขยายช่องทางหากินได้อีก

Hobbs and Shaw ใกล้จะถึงกำหนดฉายวันพุธที่ 31 ก.ค. นี้แล้ว ส่วน Fast 9 ก็เดินหน้าถ่ายทำอย่างขมักเขม้นต่อไป เตรียมลงโรงฉายปีหน้านี้ แล้วค่อยลุ้นกันต่อไปว่าในภาค 10 ปิดท้ายตำนาน Fast เราจะได้เห็น ลุค ฮอบบ์ กลับมาร่วมงานกับ ดอมินิก โทเรตโต ได้หรือไม่ เรื่องราวบาดหมางแบบไม่มองหน้ากันระหว่าง 2 ซูเปอร์สตาร์นี้ เชื่อว่าแฟนหนังฮอลลีวู้ดน่าจะได้เคยทราบข่าวคราวกันมาบ้าง คนที่ไม่รู้เรื่องราวพิพาทของ 2 รายนี้ก็เข้าใจไปว่า Hobbs and Shaw เป็นแผนการตลาดที่ผู้สร้างตั้งใจภาคแยกอยู่แล้ว ความจริงแล้วหนังภาคแยกถือกำเนิดได้ก็จากเหตุไม่กินเส้นกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่นี่ล่ะ มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนจะพาย้อนอดีตไปถึงวันที่ Fast 8 กำลังถ่ายทำว่าเหตุอะไรน้อที่ทำให้ 2 บิ๊กนี้ผิดใจกันได้

1. ดเวย์น จอห์นสัน เปิดฉากด่าผ่านอินสตาแกรม

ไม่รู้ว่าไปเก็บกดกับอะไรมาบ้างในกองถ่าย ดเวย์น ถึงกับอดทนเก็บไว้ไม่ไหวมาร่ายยาววผ่านอินสตาแกรมว่า

“ไม่เคยมีแฟรนไชส์หนังเรื่องไหนที่ทำให้ผมเดือดดาลได้เท่าเรื่องนี้เล้ย ตลอดการถ่ายทำผมได้ร่วมงานกับทีมงานที่ทุ่มเทอย่างไม่น่าเชื่อ ได้ร่วมงานกับยูนิเวอร์แซลที่ทำหน้าที่พาร์ตเนอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม บรรดานักแสดงหญิงพวกเธอน่าอัศจรรย์สำหรับผมเสมอ ผมรักพวกเธอ แต่กับนักแสดงชายคนหนึ่งเนี่ยต่างกันลิบเลย บางคนก็ดีนะเป็นมืออาชีพจริง ๆ พึ่งพาได้ แต่บางคนก็ไม่ใช่หรอกนะ แต่ก็มีคนนึงเลยล่ะที่ไร้ประโยชน์มากไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย น่ารังเกียจจริง หนังเรื่องนี้จะเข้าฉายเดือนเมษายนปีหน้า ถ้าพวกคุณได้ไปดูหนังแล้วในบางฉากจะเห็นผมยืนนิ่งเหมือนหัวร้อนกับอะไรอยู่ ที่พวกคุณคิดน่ะถูกต้องแล้ว”

การที่นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ออกมาพาดพิงใครด้วยภาษารุนแรงแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาในฮอลลีวู้ดแล้วล่ะ โพสต์ของดเวย์นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ดึงความสนใจจากสื่อและบรรดาแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ดเวย์นจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านก็คิดไปทางเดียวกันว่าน่าจะเป็น “วิน ดีเซล” หลายสื่อ หลายแหล่งข่าวออกมาวิเคราะห์เจาะลึกความหมายจากโพสต์ของดเวย์นกันยกใหญ่ TMZ เว็บไซต์ใหญ่ออกมาให้ความเห็นแล้วยังคาดเดาไปถึงสาเหตุที่ดเวย์นโกรธเคืองว่าน่าจะเพราะ วิน ดีเซล ในฐานะผู้อำนวยการสร้างของแฟรนไชส์ Fast นี้ด้วย มักจะมาถึงกองถ่ายช้ากว่าเพื่อน ทำให้การถ่ายทำล่าช้า แต่ข่าวนี้ก็สวนทางกับภาพพจน์ของวิน ดีเซล ที่สื่อออกมาว่า เขารักและปกป้องแฟรนไชส์ Fast อย่างมาก

มีข่าวลือว่าหลังโพสต์นี้ออกมา คู่กรณีได้พบเพื่อเคลียร์กันอย่างลับ ๆ แต่น่าจะจบลงไม่ดี แล้วบรรดานักแสดงร่วมและทีมงานต่างก็เลือกข้างกันอย่างชัดเจน

2. ไทรีส กิบสัน โดดเข้าร่วมวง แล้วสถานการณ์มันก็แย่ลง

“แกนึกว่าตัวแกมันน่าปลาบปลื้มนักเหรอไง? กับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่แกมีปัญหากับพ่อของเธอ แกก็ยังร้อง Happy Birthday ด้วยความจริงใจยังไม่ได้เลย พวกเรามีใครเข้าใจเค้าสักคนมั้ยเนี่ย ว่าอะไรทำให้เค้าออกมาโพสต์อะไรแบบนี้ได้ ถ้าจะออกมาโพสต์ขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์ใช้คำกว้าง ๆ “นักแสดงชายคนหนึ่ง” ถ้ามาขนาดนี้แล้วสู้ระบุชื่อชัด ๆ ไปเลยดีกว่ามั้ย? เอางี้ มาถึงตรงนี้ทุกคนใจเย็น ๆ กันก่อนนะ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เค้ามีปัญหาอะไรกับใคร ผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางด้วยว่าปัญหามันมาจากไหน เอาเป็นว่าถ้าผมรู้ผมบอกทุกคนแน่ ๆ ให้ตายห้าเถอะ”

อ่านแล้วเหมือนไทรีสจะมาร่วมวงทะเลาะด้วยนะ บางประโยคก็เหมือนจะไกล่เกลี่ยอยู่หรอก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขียนโดยมีอารณ์ขุ่นเคืองร่วม แล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย แต่เหมือนไทรีสจะรู้ว่าแรงไป ก็เลยเสริมประโยคปิดท้ายสวย ๆ

“ผมคิดว่าดเวย์นเป็นมนุษย์ที่ความสุขุมเยือกเย็นที่สุดคนหนึ่งเลยล่ะ เขามาจุติบนโลกได้ดังกับนักแสดงมืออาชีพที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วยเลย ผมนับถือเขาเหมือนพี่ชายเลยล่ะ ผมไม่เคยมีปัญหากับเขา แล้วผมก็ไม่กล้ามีด้วย ถึงตอนนี้เราก็ยังดีกันอยู่เนอะ กับนักแสดงร่วมทุกคนเนี่ยพวกเราเหมือนคู่แต่งงานเลยล่ะ ให้ตายสิ”

3. และแล้ววินก็โพสต์บ้าง

อย่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ตอนนี้วินยังรักษาภาพพจน์เหมือนพระเอกพ่อพระผู้โดนโจมตีอยู่ วินไม่ออกมาใส่อารมณ์ตอบโต้กับดเวย์นหรอก เขาโพสต์อินสตาแกรมด้วย 2 วิดีโอสั้นและข้อความแบบกว้าง ๆ สวย ๆ ไม่ได้พาดพิงใคร

“อะไรต่อมิอะไรมันผ่านพ้นไปเยอะนะปีนี้ ผมยังไม่เชื่อตัวเองเล้ยว่าผมจะปิดกล้องหนังไปได้ 2 เรื่องต่อกัน แล้วทั้ง 2 เรื่องนี้ผมรับบทนำและอำนวยการสร้างด้วย ถึงตอนนี้ผมขอกลับมาอยู่กับครอบครัว กลับมาสู่ชีวิตเดิม ๆ ของผมล่ะนะ”

หล่อ พระเอก ไม่ใส่อารมณ์ ไม่พาดพิง

4. บทสัมภาษณ์ของ สก็อตต์ อีสต์วู้ด ตอกย้ำนิสัยไม่น่ารักของ วิน ดีเซล

พอเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา บรรดานักแสดงร่วมในแฟรนไชส์ก็ตกเป็นเป้าของบรรดานักข่าว ที่อยากจะเจาะลึกได้ข้อมูลเบื้องหลังกองถ่ายที่คู่นี้ผิดใจกัน สก็อตต์ อีสต์วู้ด ลูกชายของ คลินต์ อีสต์วู้ด แม้เป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมแฟรนไชส์ในภาค 8 นี้ ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร esquire ก็ไม่วายโดนสอบถามถึงเรื่องบาดหมางนี้เช่นกัน สก็อตต์ ก็ได้พูดถึงมารยาทในกองถ่ายจากที่พ่อสั่งสอนเขามา มันช่างต่างกับที่เขาพบเจอในกองถ่าย Fast 8 จัง นักแสดงบางคนก็ใช้เวลาอยู่ในรถนอนนานมาก ก็ไปสอดคล้องกับเหตุหนึ่งที่ดเวย์นเคืองวิน ดีเซล ว่าเขามักจะอ้อยอิ่งอยู่บนรถนอนนานมาก

“ผมจำคำที่พ่อสอนผมไว้ตั้งแต่เด็ก ผมจำไม่ได้หรอกนะว่าตอนนั้นผมกี่ขวบ พ่อบอกว่า “ในฐานะที่พ่อเป็นนักแสดงนะลูก พ่อจะไม่ค่อยกลับไปที่รถนอนหรอก แต่พ่อจะป้วนเปี้ยนอยู่ในกองถ่ายแล้วก็เรียนรู้การทำงานไป” ผมจำคำพ่อได้แม่น แล้วพอผมมาอยู่ในกองถ่าย Fast 8 อ้าวแล้วทำไมทุกคนกลับรถนอนกันหมดเลยล่ะ เหลือแต่ผมเนี่ยล่ะ ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในกองถ่าย คุยกับทีมงานบ้าง ถามเขาบ้าง ทำไมตั้งกล้องแบบนั้นล่ะ แบบนี้ล่ะ ผมอยากที่จะศึกษาจริง ๆ”

5. ดเวย์น โพสต์อีกครั้งเหมือนว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี

หลังผ่านไปได้ 1 วันครึ่ง ดเวย์นออกมาโพสต์ผ่านอินสตาแกรมอีกครั้ง แต่บรรยากาศรอบนี้ดูจะแตกต่างจากโพสต์ที่แล้วมาก อ่านแล้วเหมือนว่าปัญหาผิดใจน่าจะคลี่คลายแล้ว มันเป็นแค่การกระทบกระทั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการทำงานแค่นั้นเอง

“สัปดาห์สุดท้ายในกองถ่าย #FastAndFurious ผมบอกได้เลยว่า บนโลกนี้ไม่มีความสำเร็จที่ได้มาเพียงลำพังหรอก มันล้วนแล้วแต่เป็นความร่วมมือจากทีม พวกคุณที่กำลังอ่านอยู่นี่รู้มั้ยว่าผมเชื่อถือในการทำงานเป็นทีมขนาดไหน มันหมายถึงว่าเราต้องให้ความเคารพกับทุกคนในทีม เคารพคุณค่าในตัวเขา เห็นคุณค่าถึงเวลาแต่ละนาทีของพวกเขาตั้งแต่เขาก้าวมาเป็นเพื่อนร่วมงานกับเรา ไม่ว่าจะทำงานกับทีมไหนมันก็เปรียบได้กับครอบครัว ๆ หนึ่ง และแน่นอนทุกครอบครัวก็ย่อมมีความขัดแย้ง จากความเห็นที่ต่างกัน หลักการทำงานที่ต่างกัน ในแง่ของผม ผมคิดว่าความขัดแย้งมันนำไปสู่ผลที่ดีนะ เพราะมันจะทำให้เราเจอวิธีทางคลี่คลายที่เยี่ยมยอด ผมเติบโตมาพร้อมกับความขัดแย้ง และผมกล้าที่จะเผชิญมันอยู่เสมอ และไม่ว่าจะปัญหาไหน มันก็จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และท้ายที่สุด ผมและนักแสดงทุกคนใน #F8 ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราอยากจะมอบหนังที่เหลือเชื่อเรื่องนี้สู่โลก”

6. แบ่งข้าง

อ้าว! ไหงงั้น อ่านโพสต์ของดเวย์นแล้วดูดีออก เหมือนเรื่องราวขัดแย้งดูจะคลี่คลาย เหมือนว่าจบสวยแล้ว แต่แล้ว ไทรีส กิบสัน ในบท “โรมัน” กับ ลูดาคริส ในบท “เทจ พาร์กเกอร์” 2 นักแสดงร่วมก็ดูจะไม่แยแสกับโพสต์สวย ๆ ของดเวย์น แต่เขา 2 คนเหมือนก็โพสต์อินสตาแกรมในเวลาไล่เลี่ยกัน ไทรีส โพสต์ภาพเขาใส่ชุดเท่ยืนยิ้มเผล่เคียงข้างวิน ดีเซล ส่วน ลูดาคริส ก็โพสต์ภาพหมู่นักแสดงในภาคก่อนนู้น มีตัวเขายืนข้างวิน ดีเซล ด้านหลังยังมีพอล วอล์กเกอร์ ยืนอยู่ด้วยเลยแต่ไม่มีดเวย์น จอห์นสัน นัยยะที่ทั้ง 2 คนโพสต์ออกมานี้เหมือนจะประกาศชัดว่าฉันอยู่ข้างวิน ดีเซล นะว้อย ก็ควรจะอยู่ข้างนี้ถูกแล้วล่ะ เพราะวิน ดีเซล เป็นผู้อำนวยการสร้างนี่นะ นอกเหนือจากหนัง Fast ก็ไม่เห็น 2 คนนี้มีหนังเรื่องอื่นเลยนะ

7.ดเวย์น โพสต์อินสตาแกรมอีกครั้งในวันปิดกล้อง ยังส่อแววคุกรุ่น

ในวาระที่ Fast8 ปิดกล้องอย่างเป็นทางการ ดเวย์นโพสต์อินสตาแกรมอีกครั้งเป็นภาพเขายืนเท่อยู่หน้าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว พร้อมกับข้อความยืดยาวขอบคุณเพื่อนนักแสดงหลายคนและทีมงาน และแน่นอนว่าไม่มี วิน ดีเซล

“ผ่านพ้นไปอย่างแข็งแกร่งและพร้อมสำหรับก้าวต่อไป วันนี้ #FastAndFurious8 ปิดกล้องอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณผู้กำกับของเรา @fgarygray สำหรับวิสัยทัศน์และการทำงานที่ผ่านมา ขอบคุณสตูดิโอยูนิเวอร์แซล คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยิ่งใหญ่เสมอมา ขอบคุณเพื่อนนักแสดงทุกคนของผมสำหรับความยากเข็ญที่ร่วมกันมาในแต่ละวันและความทุ่มเทจากทุกคน สก็อตต์ อีสต์วู้ด แกมันไอ้โคตรเท่ , นาทาลี เอ็มมานูเอล ผมจะเตรียมเบียร์บัดไวเซอร์เย็น ๆ ไว้รอคุณนะ และไทรีส กิบสัน ผมจะจำรอยยิ้มที่ใหญ่ที่สุดและหน้าผากที่กว้างที่สุดที่ผมเคยเห็นไว้ตลอดไป”

8. และแล้ววินก็เอ่ยถึงดเวย์น จอห์นสัน แต่ก็เป็นคำอวยพร

รอบที่แล้ววิน โพสต์แบบกำกวมไม่ได้เจาะจงอะไรถึงใครซะทีเดียว มารอบนี้วินก็เอ่ยชื่อดเวย์น จอห์นสันขึ้นมาเลย ในไลฟ์วิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่ได้ว่าร้ายอะไรนะ เล่าว่าดเวย์นมาร่วมงานใน Fast ได้อย่างไร ในฐานะที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างของหนัง

“เหตุผลที่เราดึงดเวย์น จอห์นสัน เข้ามาร่วมในแฟรนไชส์ Fast ก็เพราะความต้องการของแฟน ๆ นี่แหละครับ ตอนนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่ง ผมจำชื่อได้เลยว่า แจน เคลลี่ เธอบอกกับผมว่า “ฉันอยากเห็นคุณ 2 คนร่วมงานกัน” จากนั้นเราก็เลยก็แก้ไขบทที่เขียนไว้ให้ ทอมมี ลี โจนส์ เปลี่ยนมาเป็น ดเวย์น จอห์นสัน แทน แล้วเขาก็ทำให้บทนี้โดดเด่นได้จริง”

9. เมื่อหนังออกฉาย หลักฐานก็บ่งชัดว่า 2 คนนี้ไม่ร่วมฉากกัน

ถ้าพิจารณาจากโพสต์จากทั้งคู่บนโลกโซเชียลก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ความตึงเครียดจากทั้งคู่จะดูคลี่คลายลง แต่เมื่อ Fast8 ออกฉาย แล้วภาพที่ปรากฏบนจอมันก็ฟ้องชัดเจนถึงสถานการณ์บาดหมางของ 2 ดารานำ ตลอดเรื่องคนดูแทบไม่เห็นฉากที่ ลุค และ ดอมินิกอยู่ร่วมกัน เราจะเห็นแค่ ดอม กับ ลุค โทรหากัน ถ้ามีฉากที่ทั้งคู่ต้องอยู่ร่วมกัน ก็จะไม่มีภาพมุมกว้างที่มองเห็นทั้งคู่ แต่จะตัดสลับไปมา ฉากจบที่นักแสดงทั้งหมดนั่งกินอาหารเย็นร่วมกัน เราก็จะเห็นแผ่นหลังของดอม

10. ดเวย์นโพสต์อินสตาแกรมประกาศเดินหน้าหนังภาคแยก Hobbs and shaw แต่ก็ยังแอบกัดวิน ดีเซล อีกครั้ง

ส่วนเนื้อหาที่ดเวย์นโพสต์ขอสรุปใจความมาสั้น ๆ แล้วกันว่า เขาขอบคุณยูนิเวอร์แซลที่เปิดโอกาสให้หนังมีภาคแยกและเขาได้มีส่วนร่วมสำคัญในโพรเจกต์นี้ ภาคแยกนี้ยังเปิดโอกาสให้นักแสดงหลายคนได้เข้ามาเป็นสมาชิกในจักรวาล fast ด้วย แต่ก็ยังไม่วายลงท้ายแบบจิกกัดเล็กน้อยว่า “เห็นมั้ยล่ะว่าสุดท้าย”ฮอบบ์ คือเดอะบอส” ถ้าใครไม่ชอบคำนี้เหรอ เราจะตีก้นมันให้เหมือนกับตีกลองเชอโรกีเลย” ปิดท้ายด้วย แฮชแท็ก #CandyAssesNeedNotApply แหม!! สงครามไม่จบง่าย ๆ จริง ๆ

11. ไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไป ดเวย์น จอห์นสัน ออกมายืนยันว่าเขาไม่ร่วมฉากกับ วิน ดีเซล ใน Fast8

Play video

หลังจากที่หนังเข้าฉายแล้วภาพบนจอมันฟ้องว่า 2 คนนี้ไม่ร่วมฉากกัน สอดคล้องกับเหตุการณ์คุกรุ่นที่ผ่านมา ดเวย์น จอห์นสัน จึงออกมายอมรับจริงว่าเขาไม่ค่อยเข้าฉากกับวิน ดีเซล จริง แต่ก็เป็นการพูดคุยตกลงกันตัวต่อตัวแล้วในระหว่างถ่ายทำ “วิน กับ ผม เราได้มานั่งคุยกันตัวต่อตัวในรถเทรลเลอร์ของผม ซึ่งทำให้ผมได้ข้อสรุปว่าเราสองคนมีพื้นฐานการทำงานที่ต่างกันส่งผลให้มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน การพูดคุยมันก็กินเวลาไปพอสมควรเลยล่ะ แต่ก็ขอบคุณที่สุดท้ายมันก็ทำให้เรากระจ่างชัด ไม่เกี่ยวนะว่าเราจะกลับมาทำงานด้วยกันอีกหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมก็มีแต่ความปรารถนาดีให้กับเขานะ พอได้เคลียร์กันแล้วก็ไม่มีความรู้สึกแย่ ๆ ระหว่างเราแล้วล่ะ”

มาถึงตอนนี้ต่างคนก็ต่างเดินหน้าไปกับหนังตัวเองไม่มีเวลามาตีฝีปากใส่กันบนโลกออนไลน์อีกแล้ว ยังเหลือแค่ไทรีส กิบสัน ที่ออกมาโวยวายโพสต์ด่าดเวย์น จอห์นสันต่อเนื่องอีกหลายโพสต์ ที่เลือกออกไปทำหนังภาคแยกว่า Fast เป็นครอบครัว ดเวย์นไม่รักครอบครัว เลือกแยกทางออกไปทำหนังภาคแยก ตอนนู้นผู้กำกับ ร็อบ โคเฮน ยังเสนอโอกาสให้เขา , วิน ดีเซล และ พอล วอล์กเกอร์ ได้รับข้อเสนอให้ออกไปทำหนังภาคแยก พวกเขายังปฏิเสธเลย (ร็อบ โคเฮน นี่ผู้กำกับภาค 1 เลยนะ ย้อนอดีตไปไกลจัง) แล้วก็ยังโทษว่าดเวย์น ทำให้ Fast 9 ต้องเลื่อนกำหนดฉายออกไปเป็นปี ทั้งที่ประกาศไปแล้วว่าจะฉายปี 2019 พอมาถึงเหตุผลนี้เข้าใจล่ะว่าทำไมไทรีส ถึงเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้

ส่วนพวกเราในฐานะคนดู ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าเวลาที่ผ่านไป น่าจะทำให้ความขุ่นข้องหมองใจของทั้งคู่เบาบางลงไป แล้วได้เห็นสมาชิก Fast กลับมาพร้อมหน้ากันใน Fast 10

อ้างอิง