Avatar ผลงานกำกับของเจมส์ คาเมรอน ครองแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลมาตั้งแต่ปี 2009 แล้วก็เสียแชมป์ไปให้กับ Avengers: Endgame ไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมานี้เอง ทีมงานมาร์เวลและแฟนหนังทั่วโลกต่างโห่ร้องยินดีที่หนังเรื่องโปรดคว้าตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดมาครองเป็นผลสำเร็จ หลังจากมีการตัดต่อเพิ่มฉากเพื่อเรียกคนดูอีกระลอกทำให้รายได้หนังเขยิบขึ้นมาอีกจนแตะ 2.79 พันล้านเหรียญ ผ่านพ้นหลัก 2.78 พันล้านเหรียญของ Avatar จนได้

เจมส์ คาเมรอน ขณะให้สัมภาษณ์

เจมส์ คาเมรอน ขณะให้สัมภาษณ์

เจมส์ คาเมรอน ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับผู้มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในฮอลลีวู้ด เป็นผู้กำกับที่คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในหนังของเขาตลอด จึงไม่แปลกที่ผลงานของเขาจะครองแชมป์หนังทำรายได้สูงสุดตลอดกาล แล้วก็แทนที่ตำแหน่งแชมป์ด้วยหนังตัวเอง ก่อนหน้าที Avatar จึงขึ้นอันดับ 1 หนังทำรายได้สูงสุดตลอดกาล ก็มี Titanic ของเขานี่ล่ะ ที่ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 1997 ด้วยรายได้ทั่วโลก 2.18 พันล้านเหรียญ แต่ในวันนี้ผลงานของเขาก็ต้องตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 2 และ 3 แทนที่เจมส์ คาเมรอน จะหัวเสียที่เขาต้องเสียตำแหน่งแชมป์ให้กับหนังที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูน ตรงกันข้ามเจมส์ กับมองเห็นว่าอนาคตของธุรกิจภาพยนตร์ยังเจริญเติบโตไปในทิศทางที่ดี และนี่เป็นครั้งแรกที่เจมส์ คาเมรอน ออกมาให้ความเห็นเป็นทางการตั้งแต่หนัง Avengers: Endgame เบียด Avatar ขึ้นอันดับ 1 ในตาราง

“เหตุการณ์นี้มันให้ความหวังกับผมมาก Avengers: Endgame คือข้อพิสูจน์ชัดเจนเลยว่าผู้คนยังนิยมที่จะออกไปดูหนังในโรง ในขณะที่ผมกำลังทำ Avatar 2 และ Avatar 3 อยู่นี่ เรื่องที่ผมหวั่นใจที่สุดก็คือการขยายตัวอย่างมากของธุรกิจภาพยนตร์ ผู้คนอาจจะอยากดูหนังอยู่ที่บ้าน แทนที่จะออกมาซื้อตั๋วแล้วเข้าไปนั่งในห้องมืด ๆ ร่วมกันคนแปลกหน้าอีกมากมายเพื่อที่จะดูอะไรสักเรื่อง”

เห็นได้ชัดว่าเจมส์ คาเมรอน ก็เป็นผู้กำกับรุ่นเก๋าคนหนึ่งที่กังวลกับการเติบโตของกระแสดูหนังผ่านสตรีมมิง ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ในอนาคต แล้วจากนี้ไปอีก 2 ปี กว่าจะถึงกำหนดฉายของ Avatar 2 นักข่าวก็ถามถึงความเป็นไปได้ว่า ยังเป็นไปได้อยู่ไหมที่ Avatar ภาคต่อจะประสบความสำเร็จได้เทียบเท่าภาคแรก หรือจะประสบความสำเร็จถึงขั้นเอาชนะ Avengers: Endgame เอาตำแหน่งแชมป์หนังทำเงินสูงสุดกลับคืนมา เพราะตลาดดูหนังผ่านระบบสตรีมมิงก็เริ่มมากินส่วนแบ่งตลาด ทำให้รายได้จากโรงภาพยนตร์ลดน้อยลงทุกปี

“ใครจะไปรู้ได้นะ แต่เราก็ยังพยายามอยู่ บางทีอาจจะสำเร็จ หรืออาจจะไม่ก็ได้ แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ ซึ่งผมก็อยากที่จะให้เป็นอย่างนั้นนะ ซึ่งมันก็สวนกระแสธุรกิจภาพยนตร์ในทุกวันนี้อยู่นะ เปิดดูได้รวดเร็วฉับไว ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบสตรีมมิงได้จากหลาย ๆ ช่องทาง ในอนาคตโรงหนังอาจจะไม่เหลืออยู่แล้วก็ได้”

จำนวนโรงหนังในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2000 เป็นต้นมา

จำนวนโรงหนังในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2000 เป็นต้นมา

ในขณะที่เจมส์ คาเมรอน เริ่มที่จะรู้สึกท้อแท้กับการพยายามสร้างหนังฟอร์มใหญ่เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ ในวันที่ธุรกิจสตรีมมิงเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่แล้ว Avengers: Endgame ก็สร้างปรากฏการณ์ด้วยการกวาดรายได้จากตั๋วหนังด้วยตัวเลขมหาศาล เปรียบเสมือนการสร้างทั้งความหวังและกำลังใจให้กับเจมส์ คาเมรอน ที่จะสู้ต่อ เพราะด้วยสไตล์การทำงานของเขาไม่คิดที่จะอยากสร้างหนังเพื่อฉายลงจอโทรทัศน์

“ผมดีใจมาก ที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังคงไปต่อได้ในวันนี้ เพราะผมเป็นคนประเภททำหนังสำหรับฉายจอใหญ่ ผมจะไม่ทำหนังสำหรับสตรีมมิงอย่างแน่นอน งานที่ผมรักที่สุดคือการสร้างหนังที่คุณจะต้องปิดมือถือแล้วมีสมาธิอยู่กับมันสัก 2 ชั่วโมง”

จากนี้ไปอีก 2 ปี ตลาดสตรีมมิงจะโตขึ้นอีกมาก หลังจากการเข้ามาร่วมวงของรายใหญ่อย่าง Disney+ แล้ว แชมป์เก่าอย่าง NETFLIX ก็ไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน แถมยังเพิ่มคู่แข่งอย่าง Amazon Prime และ Apple TV ที่ฮึดสู้อย่างสุดใจ เพราะแต่ละรายก็มีโพรเจกต์ใหญ่ไว้ในมือ ก็น่ากังวลเหมือนกันว่า ถึงวันที่ Avatar2 เข้าฉาย ผู้คนต่างก็มีรีโมตทีวีสตรีมมิงอยู่ในมือกันถ้วนหน้า ก็ต้องวัดกันว่า อรรถรสความสนุกตื่นเต้นที่จะได้ชมหนังบนจอใหญ่ คุณภาพเสียงดี ๆ จากทุกทิศรอบข้าง จะเอาชนะความสะดวกสบายกับการนอนกดรีโมตอยู่ที่บ้านได้หรือไม่

อ้างอิง