กว่า 100 ปีของอุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูด ได้สร้างตัวละครคลาสสิกขึ้นมามากมาย ตัวละครเหล่านี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และหลาย ๆ ตัวก็ส่งให้นักแสดงผู้รับบทนั้นได้กลายมาเป็นดารามีชื่อเสียง เรียกได้ว่าเป็นบทแจ้งเกิด ส่งให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูด ค่าตัวระดับหลายสิบล้านเหรียญ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไหน แฟน ๆ ก็ยังจะจดจำภาพของเขาเหล่านั้นในภาพลักษณ์จากบทแจ้งเกิดอยู่ตลอดไป กลายเป็นค่านิยมในบ้านเราที่มักจะตั้งชื่อหนังตามชื่อนักแสดงที่รับบทนำในเรื่องนั้นอยู่ร่ำไป อย่างเช่นหนังอาร์โนลด์ ก็จะต้องมีคำว่า “คนเหล็ก” , จูเลีย โรเบิร์ต ก็จะต้องมีคำว่า “บานฉ่ำ” ส่วน บรู๊ซ วิลลิส ก็จะคู่กับคำว่า “คนอึด”

แต่หารู้หรือไม่ว่านักแสดงชื่อดังเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ได้บทแจ้งเกิดนี้มาก็เพราะ”โชคช่วย” แน่นอนว่าสิ่งสำคัญสุดคือฝีมือการแสดงของพวกเขา ที่ถ่ายทอดบุคลิกของตัวละครดังเหล่านี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ บวกกับภาพลักษณ์ของพวกเขาก็เข้ากันได้ดีกับบทนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่ผู้สร้างต้องการ ซึ่งรวมไปถึงผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ รวมไปถึงคนเขียนบทภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีภาพเขาเหล่านี้อยู่ในหัวตอนที่สร้างสรรค์ตัวละครเหล่านี้ออกมาบนหน้ากระดาษ แต่เผอิญว่านักแสดงที่เป็นตัวเลือกแรก ๆ นั้น ไม่สามารถมาร่วมงานได้ อาจจะด้วยตารางงาน , ค่าตัวที่ตกลงกันไม่ได้ , อ่านบทแล้วไม่ชอบ หรือเหตุผลอีกต่าง ๆ นานา แต่คนมันจะรวยก็ช่วยไม่ได้ โอกาสก็ผ่านพ้นตัวเลือกหนึ่ง ตัวเลือกสอง มาตกบนตักของตัวเลือกสุดท้าย ที่กลายเป็นดาราระดับโลกจากบทส้มหล่น ที่ทำให้เรารู้จักเขามาจนทุกวันนี้ มาดูกันซิว่า “ตัวละครดัง” เหล่านี้ ทางผู้สร้างเคยทาบทามใครไปแล้วบ้าง อ่านแล้วลองจินตนาการดูนะครับ ว่าถ้ามีโลกคู่ขนานที่พวกบรรดาตัวเลือกแรกไม่บอกปฏิเสธบทเหล่านี้ไป มันจะออกมาน่าดูกว่าไหม หรือว่าหนังจะดังเท่าที่เป็นอยู่นี้หรือไม่ มีบทไหนบ้างไปดูกัน

1.แพททริค เบตแมน ใน American Psycho (2000)

patrick bateman ใน american psycho

patrick bateman ใน american psycho

แม้ไม่ใช่หนังที่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็เป็นหนังในความทรงจำของคอหนังหลาย ๆ คน ในเรื่องของความโหด แปลก และแน่นอนฝีมือการแสดงของคริสเตียน เบล ที่ถ่ายทอดความบ้าคลั่งได้อย่างน่ากลัว และบท แพททริค เบตแมน ก็ทำให้คริสเตียน เบล ได้ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายในหลาย ๆ เวที เป็นบทแรก ๆ ของคริสเตียน เบล ที่เริ่มฉายแสงในฐานะนักแสดงสายขายฝีมือ

แต่กว่าที่บท แพททริค เบตแมน จะมาถึงมือคริสเตียน เบล นั้นผ่านมาหลายมือมาก ตัวเลือกแรกเลยคือ จอห์นนี่ เด็ปป์ ที่บอกปฏิเสธไปตั้งแต่แรกเลย บทถูกส่งต่อไปที่ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ แน่นอนว่าหนุ่มลีโอสนใจบทบ้าดีเดือดแบบนี้อยู่แล้ว เขาตอบรับ แต่โดนผู้จัดการหว่านล้อมให้บอกปัดเพราะกลัวจะมีผลต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว ตัวเลือกที่สามก็ยังไม่ใช่คริสเตียน เบล แต่เป็น ยวน แม็คเกรเกอร์ นักแสดงอังกฤษที่เพิ่งสร้างชื่อมาจาก Trainspotting แต่มาถึงตอนนี้ คริสเตียน เบล ได้เห็นบทแล้ว เขาอยากได้บทนี้มาก ถึงขั้นโทรไปหายวนด้วยตัวเอง บอกว่าเขาต้องการบทนี้จริง ๆ ขออย่าให้ยวนรับบทนี้ ซึ่งยวนก็ยินยอม สุดท้ายบทถึงได้ตกมาถึงคริสเตียน เบล แล้วเขาก็ได้ถ่ายทอดตัวตนของ แพททริค เบตแมน ออกมาได้แบบที่ไม่ทำให้เจ้าของหนังผิดหวังเลย ทุกวันนี้เรายังเห็นภาพของ คริสเตียน เบล ถือขวานกลายเป็น Meme วนเวียนอยู่บนโลกออนไลน์กันอยู่เลย

2.แอนนี่ รีด ใน Sleepless in Seattle (1993)

annie reed ใน sleepless in seattle

annie reed ใน sleepless in seattle

หนึ่งในหนังโรแมนติกคอมเมดี้ ที่อยู่ในความทรงจำผู้คนตลอดกาล เป็นหนัง เม็ก ไรอัน – ทอม แฮงค์ เรื่องที่ 2 ต่อจาก Joe Versus the Volcano (1990) เป็นผลงานที่ตอกย้ำถึงความเข้าขากันได้อย่างลงตัวของพระ-นาง คู่นี้ ทำให้มี You’ve Got Mail (1998) ผลงานเรื่องที่ 3 ของทั้งคู่ แต่กระนั้น Sleepless in Seattle ก็เป็นหนัง เม็ก ไรอัน – ทอม แฮงค์ ที่ผู้ชมประทับใจที่สุดในทั้ง 3 เรื่อง

แต่เดิมที Sleepless in Seattle ก็ไม่ได้เป็นโพรเจกต์ที่ผู้สร้างหมายหมั้นจะให้เป็นหนัง เม็ก ไรอัน – ทอม แฮงค์ แต่แรก เพราะตัวเลือกแรกที่ผู้สร้างทาบทามให้มาเป็น แอนนี่ รีด นั้นคือนางเอกสาวปากกว้าง จูเลีย โรเบิร์ต แม้ว่าเราจะมองที่บุคลิกภาพลักษณ์แล้ว จูเลีย ไม่น่าจะเหมาะกับบทสาวหวานนุ่มนิ่มแบบ แอนนี่ รีด สักเท่าใดนัก แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเหตุผลทางการตลาด เพราะในตอนนั้นเป็นยุคทองของ จูเลีย โรเบิร์ต เพราะเธอเพิ่งดังเป็นพลุแตกจากหนัง Pretty Woman แต่จูเลีย ก็บอกปฏิเสธไป บทจึงไปตกที่ เม็ก ไรอัน ในฐานะตัวเลือกอันดับ 2 เรื่องราวนี้ได้รับการเปิดเผยจากตัวจูเลีย โรเบิร์ต เองตอนที่ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Variety
“ฉันได้รับการเสนอให้รับบทใน Sleepless in Seattle แต่ฉันไม่สามารถไปแสดงได้ แต่แล้ว เม็ก ไรอัน กับ ทอม แฮงค์ ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่นั้นเปรียบได้กับอัญมณีที่ส่องประกายในเรื่องนั้น ฉันมองว่าการแสดงของทั้งคู่นั้นก็เทียบได้กับที่ ริชาร์ด เกียร์ กับฉันใน Pretty Woman ที่กลายเป็นหนังที่คนพูดถึงกันทั้งเมืองนั่นล่ะ”

3.เจค ซัลลี่ ใน Avatar (2009)

jake sully ใน Avatar

jake sully ใน Avatar

เจค ซัลลี่ ทหารผ่านศึกพิการที่ขาเสียทั้ง 2 ข้าง ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็น ก่อนที่จะได้พบชีวิตใหม่ในภาพลักษณ์ของชาวนาวี และนี่ก็เป็นบทแจ้งเกิดให้โลกรู้จักชื่อ แซม วอร์ธิงตัน เพราะหลังจาก Avatar เขาก็มีผลงานแสดงอีกมากมาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จได้เท่า Avatar อีกแล้ว แต่ แซม วอร์ธิงตัน ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบท เจค ซัลลี่ แม้ว่าโพรเจกต์มหึมาที่มีชื่อเจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับนั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้นักแสดงมีชื่อ หนังก็สามารถเรียกคนดู ทำรายได้ถล่มทลายได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่กระนั้นตัวเลือกแรกในบท เจค ซัลลี่ นั้นก็ยังเป็น แมตต์ เดมอน ซึ่งดูหน่วยก้านก็น่าจะเหมาะ เพราะว่าก่อนหน้านั้น แมตต์ ก็ผ่านมาแล้วทั้งบทตำรวจใน The Departed(2006) และสายลับระดับพระกาฬในไตรภาค Bourne แต่ช่วงที่เสนอบทไปนั้น แมตต์ มีอีกตัวเลือกคือ Green zone ที่เขาต้องรับบทเป็นทหารเช่นกัน แต่แล้วแมตต์ ก็ตัดสินใจเลือก Green Zone เพราะเขามีความสนิทสนมส่วนตัวกับผู้กำกับ พอล กรีนกราส ที่ร่วมงานกันมาแล้วใน Bourne 2 ภาคหลัง

4.เซบาสเตียน ใน La La Land

sebastian ใน La La Land

sebastian ใน La La Land

บางทีการที่นักแสดงชาย-หญิง ที่เคยร่วมงานกันมาแล้ว ก็สามารถส่งให้เห็นถึงการแสดงที่เข้าขากันมากขึ้นบนจอ อย่างคู่ เม็ก ไรอัน – ทอม แฮงค์ ที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ และตอกย้ำกันอีกสักคู่กับ ไรอัน กอสลิง กับ เอ็มเมา สโตน ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง Crazy, Stupid Love และ Gangster Squad พอมาร่วมงานกันครั้งที่ 3 กัน La La Land ก็ต้องถือว่าทั้งคู่ต้องสนิทสนมคุ้นเคยกันพอดู ถ่ายทอดออกมาเป็นเคมีที่เข้ากันอย่างที่คนดูสามารถสัมผัสได้ แล้วก็น่าจะเป็นการแสดงที่ให้ผลลัพธ์เกินคาด เพราะมันดีงามถึงขนาด ไรอัน กอสลิง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายเป็นครั้งที่ 2

ก็เลยเป็นความบังเอิญที่เกิดเป็นความพอดีและส่งผลถึงความสำเร็จของทั้งตัวหนังและนักแสดง เพราะตัวเลือกแรกในบท เซบาสเตียน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เขาคือ ไมลส์ เทลเลอร์ นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ผู้กำกับ แดเมียน ชาเซลล์ จะหมายมั่นให้ ไมลส์ มารับบทนี้ เพราะทั้งคู่ก็เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Whiplash (2014) เป็นผลงานที่สร้างชื่อให้กับทั้งคู่ ผู้กำกับ แดเมียน ได้รับการกล่าวขวัญอย่างมาก ถึงฝีมือการกำกับ เช่นเดียวกับ ไมลส์ ที่ได้เปิดโอกาสให้แสดงความสามารถทางการแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ พ้นจากภาพลักษณ์ดาราวัยรุ่นขายหน้าตาที่เคยติดตัวมาตลอด

5.วิเวียน วาร์ด ใน Pretty Woman (1990)

vivian ward ใน Pretty Woman

vivian ward ใน Pretty Woman

อีกบทบาทที่กลายเป็นบทคลาสสิกของฮอลลีวูด และเป็นบทแจ้งเกิด จูเลีย โรเบิร์ต ให้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าค่าตัวแพงของฮอลลีวูดในทันที บท วิเวียน วาร์ด นี้ถูกเสนอให้กับนักแสดงหญิงชื่อดังของฮอลลีวูดหลายรายมากทั้ง แดรีล ฮันนาห์ , แซนดรา บูลล็อค , มอลลี ริงวอลด์ , ไดแอน เลน และ เม็ก ไรอัน ที่ดูสลับกันดีกับ Sleepless In Seattle ที่เม็กรับบทแทน จูเลีย โรเบิร์ต แล้วกลายเป็นหนังดังในเครดิตของเธอ

ด้วยเหตุที่ว่าบท วิเวียน วาร์ด นั้นเเธอเป็นโสเภณี นักแสดงหญิงจึงขอไม่พิจารณาบทนี้กันแทบทั้งสิ้น เพราะไม่อยากรับบทเป็นสาวขายบริการ สุดท้ายบทจึงมาตกที่ จูเลีย โรเบิร์ต ขณะนั้นอยู่ในวัย 23 ปี ก็เป็นวัยที่เหมาะกับบทมาก จูเลีย เพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน ก่อนหน้านั้นเธอมีผลงานดรามา Mystic Pizza และ Steel Magnolias ที่ได้รับเสียงชื่นชมในเรื่องฝีมือการแสดง แต่ก็มาดังสุด ๆ ใน Pretty Woman หนังทำเงินเป็นบ้าคลั่ง รายได้ทั่วโลก 463 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียงแค่ 14 ล้านเหรียญ ด้วยความสำเร็จของ Pretty Woman คนดูจึงคิดถึงผลงานคู่ขวัญ ริชาร์ด เกียร์ – จูเลีย โรเบิร์ต ทำให้เธอต้องมาประกบคู่กับ ริชาร์ด เกียร์ อีกครั้งใน Runaway Bride (1999)

6.เจอร์รี แม็กไกวร์ ใน Jerry Maguire (1996)

Jerry Maguire ใน Jerry Maguire

Jerry Maguire ใน Jerry Maguire

อีกบทบาทน่าจดจำของ ทอม ครูซ เป็นเพียงไม่กี่เรื่อง’ในชีวิตการแสดงของ ทอม ครูซ ที่ไม่ใช่บทแอ็กชัน ,Jerry Maguire เป็นผลงานเขียนบทและกำกับของ คาเมรอน โครว์ ผู้กำกับที่สร้างชื่อมาจาก Say Anything (1989) หนังอมตะที่มีฉาก จอห์น คูแซค ชูวิทยุเหนือหัวจีบสาวเป็นอีกภาพคลาสสิกจากหนังฮอลลีวูด คาเมรอน เล่าว่าตอนเขาเขียนบทเรื่องนี้ เขามีภาพของ ทอม แฮงค์ อยู่ในหัว แต่ปัญหาคือ คาเมรอน ใช้เวลาในการเขียนบทนานเกินไป พอบทเสร็จ ทอม แฮงค์ ก็อายุ 40 ปีแล้ว ซึ่งแก่เกินตัวตนของ เจอร์รี แม็กไกวร์ ที่คาเมรอน บรรยายไว้ บวกกับ ทอม แฮงค์ เองได้อ่านบทแล้ว ก็ดันไม่อินกับฉากที่เจอร์รี ขอนางเอกแต่งงาน นั่นฉากดังจากหนังเลยนะนั่น บทก็เลยตกมาถึงตัวเลือกที่ 2 ซึ่งก็คือ ทอม ครูซ ซึ่งดูช่างเหมาะเจาะกับบท เจอร์รี่ แม็กไกวร์ เสียจริง แล้วสร้างภาพจำให้คนดูได้สำเร็จเสียด้วยสิ

7.อินเดียนา โจนส์ ใน Indiana Jones and the Raiders of the Lost Ark

Indiana Jones ใน Raiders of the Lost Ark

Indiana Jones ใน Raiders of the Lost Ark

จะมีนักแสดงฮอลลีวูดสักกี่คน ที่ได้เป็นเจ้าของบทระดับไอคอนระดับโลกหลาย ๆ บทในตัวคนเดียว ที่เห็นชัด ๆ ก็มี แฮริสัน ฟอร์ด เนี่ยล่ะ เขาเป็นเจ้าของบทบาท อินเดียนา โจนส์ , ฮาน โซโล , ริค เด็กคาร์ด จาก Blade Runner, ดร.ริชาร์ด คิมเบิล จาก The Fugitive เคยเป็นแม้กระทั่ง แจ็ก ไรอัน รุ่นใหญ่ จาก Patriot Games

แฮริสัน ฟอร์ด แจ้งเกิดจากบท ฮาน โซโล ใน Star Wars ปี 1977 ตั้งแต่นั้นหนทางในอาชีพการแสดงก็รุ่งตลอดไม่มีขาลงเลย หนึ่งในบทสำคัญแรก ๆ ที่ถูกเสนอให้กับเขาหลังจาก Star Wars ก็คือ อินเดียนา โจนส์ พระเอกนักโบราณคดี ผู้มีแส้ และหมวกปีกกว้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเจ้าของเรื่องก็คือ จอร์จ ลูคัส คนเดียวกันที่ยื่นบท ฮาน โซโล ให้กับเขา แต่ แฮริสัน ฟอร์ด ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกในบทดังนี้ นั่นเพราะ ทอม เซลเล็ค พระเอกหนวดงาม สุดฮอตของฮอลลีวูดในยุค 70s – 80s ในช่วงนั้น ทอม เป็นพระเอกของซีรีส์สุดฮิต Magnum, P.I. เป็นตัวทำเงินของช่อง CBS ซึ่งมีสัญญาผูกพันยาวนาน ไม่ยินยอมให้ทอมได้หลุดมือไปรับงานแสดงภาพยนตร์ เราก็เลยได้เห็น อินเดียนา โจนส์ ในภาพลักษณ์ของ แฮริสัน ฟอร์ด

8.นีโอ ใน The Matrix (1999)

Neo ใน The Matrix

Neo ใน The Matrix

เรื่องที่ วิล สมิธ ได้รับการทาบทามให้มาเป็น นีโอ นี่น่าจะรู้กันเยอะแล้วล่ะ หลังจากที่เจ้าตัว วิล สมิธ เป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้เองว่าเขารู้สึกเสียดายโอกาสทองอันนี้ ในช่วงนั้นวิล อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างสุด ๆ เขาเลือกงานที่ประสบความสำเร็จล้วน ๆ หลังแจ้งเกิดจาก Bad Boy (1995) ก็ยังฮิตต่อเนื่องจากบทนักบินสุดห่ามใน Independence Day (1996) แล้วตอกย้ำความสำเร็จอย่างสุด ๆ ใน Men in Black (1997) ผลงานเรื่องต่อไปเขาจึงต้องเลือกด้วยความระมัดระวังสุด ๆ

ซึ่งมีข้อเสนอมา 2 เรื่อง คือ Wild Wild West กับ The Matrix ในสายตาของวิล ก็ไม่น่าจะตัดสินใจยากเลย เพราะ Wild Wild West กำกับโดย แบร์รี่ ซอนเนนฟิลด์ ผู้กำกับจาก Men in Black ที่เพิ่งร่วมงานกันมาเอง และหนังแอ็กชันในบรรยากาศสตีมพังค์อย่าง Wild Wild West ก็น่าจะประสบความสำเร็จเสียกว่า The Matrix หนังไซ-ไฟ ที่ขายฉากแอ็กชันแปลก ๆ ซึ่งเขาไม่เข้าใจวิสัยทัศน์ของผู้กำกับพี่น้องวาชอว์สกี ถ้าเขาไปร่วมงานด้วย จะทำให้หนังวุ่นวายเปล่า ๆ วิลก็เลยตัดสินใจเลือก Wild Wild West แทน ผลปรากฏว่า Wild Wild West กลายเป็นหนังเจ๊งอย่างแรงในปีนั้น หนังใช้ทุนสร้างไปมากถึง 170 ล้านเหรียญ เยอะมากในวันนั้น แต่ทำรายได้กลับมาเพียง 222 ล้านเหรียญ ในขณะที่ The Matrix ที่ ได้ คีอานู รีฟส์ มารับช่วงแทน กลับเข้ากันมากกับชุดหนังและแว่นตากันแดดสีดำ และวิชาการต่อสู้แบบเอเซีย ฝีมือการออกแบบของหยวน วูปิง ที่คีอานูก็ถ่ายทอดมาบนจอได้อย่างสุดเท่ หนัง The Matrix ใช้ทุนสร้างเพียง 63 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 465 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนังไตรภาคที่ทุกคนจดจำมาจนทุกวันนี้

9.ฟอร์เรสต์ กัมป์ ใน Forrest Gump (1994)

Forrest Gump ใน Forrest Gump

Forrest Gump ใน Forrest Gump

ตัวเลือกนี้น่าจะเป็นข้อที่ใครอ่านก็ต้องบอกว่าได้ ทอม แฮงค์ มารับบทนี่ “เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะ” เพราะว่าอีกหนึ่งตัวเลือกในบท ฟอร์เรสต์ กัมป์ เจ้าหนุ่มปัญญาอ่อนอัจฉริยะ นั่นก็คือ จอห์น ทราโวลตา ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังหาบทที่จะพาเขากลับมาแจ้งเกิดในฮอลลีวูดอีกครั้ง ทุกอย่างก็ออกมาเป็นเรื่องที่ลงตัวอย่างที่สุด ทุกฝ่ายล้วน วิน วิน เพราะ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ตกเป็นบทของ ทอม แฮงค์ ที่ทำให้เขาได้คว้าออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เป็นตัวที่ 2 ต่อจาก Philadelphia (1993) ส่วน จอห์น ทราโวลตา ก็ได้บทที่ส่งให้เขากลับมาแจ้งเกิดได้สำเร็จใน Pulp Fiction ที่เขาฝากฝีมือการแสดงได้อย่างน่าจดจำ ถึงขั้นส่งให้เขาได้เข้าชิงออสการ์ในปีนั้น เข้ามาเป็นคู่แข่งกับ ทอม แฮงค์ จาก Forrest Gump นี่ล่ะ แต่ถ้ามีเรื่องราวนี้เกิดในโลกคู่ขนานที่ จอห์น ทราโวลตา ได้เป็น Forrest Gump จะออกมาเป็นยังไงน้อ นึกไม่ออกจริง ๆ

10.ไมเคิล คอร์ลีโอเน ใน The Godfather (1972)

Michael Corleone ใน The Godfather

Michael Corleone ใน The Godfather

บทบาทแจ้งเกิดของ อัล ปาชิโน จากหนังไตรภาคมหากาพย์ของโลกมาเฟียอิตาเลียน ในบท ไมเคิล คอร์ลีโอเน ไม่เพียงส่งให้ อัล ปาชิโน เป็นที่รู้จัก ยังส่งให้เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายถึง 2 ครั้งจากทั้ง 2 ภาค แต่ก็พลาดไปทั้ง 2 ครั้ง แต่เดิมนั้นบท ไมเคิล คอร์ลีโอเน ถูกเสนอให้ แจ็ก นิโคลสัน นักแสดงมากฝีมือและมีชื่อเสียงแล้วในยุคนั้นจากผลงาน Easy Rider (1969) และ Five Easy Pieces (1970) แต่แจ็กก็ปฏิเสธข้อเสนอไปด้วยเหตุผลที่ว่า “บทอินเดียนแดงก็ควรให้นักแสดงอินเดียนได้เล่น บทมาเฟียอิตาเลียนก็ควรให้คนอิตาเลียนเล่นนะ” ซึ่งก็น่าจะจริงนะ เพราะ อัล ปาชิโน นั้นมีพ่อแม่เป็นชาวอิตาเลียน  ส่วน แจ็ก นิโคลสัน ก็เลือกไปแสดงนำใน Chinatown (1974) แทน หนังของผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมในเครดิตการแสดงของเขา ที่ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในปีนั้นเช่นกัน

แถมท้ายสักนิด ปี 1974 เป็นปีที่ออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ดุเดือดมาก เพราะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อแต่ละราย นับเป็นระดับยอดฝีมือในฮอลลีวูดกันทั้งนั้น นอกจาก อัล ปาชิโน จาก Godfather และ แจ็ก นิโคลสัน จาก Chinatown แล้ว ก็ยังมี โรเบิร์ต เรดฟอร์ด จาก The Sting และ มาร์ลอน แบรนโด จาก Last Tango in Paris แต่ทั้ง 4 รายที่กล่าวมานี่ ก็ต้องแพ้ให้กับ แจ็ก เล็มมอน จาก Save the Tiger

11.โรส ใน Titanic (1997)

Rose ใน Titanic

Rose ใน Titanic

อีกหนึ่งหนังอมตะที่อยู่ในใจผู้ชม และเคยครองแชมป์หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลมาอย่างยาวนาน ทำให้ภาพลักษณ์ของ แจ็ก ดอว์สัน และโรส กลายเป็นคู่รักอมตะที่โลกจดจำ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก่อนมารับบทแจ็ก ดอว์สัน นั้น มีชื่อเสียงมาก่อนแล้ว บทแจ็ก ก็ดันให้เขาขึ้นมีชื่อเสียงในระดับโลก ส่วน เคต วินสเล็ต นั้นก่อนจะมารับบทโรสนั้น เธอมีผลงานแสดงมาเยอะมากแล้ว แต่ไม่มีผลงานระดับสร้างชื่อ ซึ่งเธอก็มาทางสายเน้นขายการแสดงเป็นหลัก ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้วจาก Sense and Sensibility (1995) การได้มารับบทโรส จึงเป็นงานหนังระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรกในชีวิตเธอ แม้เป็นหนังที่หวังผลทางด้านการตลาดอย่างจริงจัง แต่เคตก็ไม่ทำให้ทีมผู้สร้างผิดหวัง ยังฝากการแสดงที่น่าจดจำเช่นเคยและทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบทโรสนี่ล่ะ แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะชื่อที่ทีมงานทาบทามก่อนหน้าเคต วินสเล็ต นั่นก็เป็นนักแสดงสายขายฝีมือเช่นกัน นั่นก็คือ กวินเน็ธ พัลโธรว์ ซึ่งในตอนนั้นก็ต้องถือว่าชื่อของ กวินเน็ธ พัลโธรว์ จะเป็นที่รู้จักมากกว่า เพราะเธอได้ร่วมแสดงในหนังดังอย่าง Se7en (1995) มาแล้ว แต่กวินเน็ธก็ตัดสินใจบอกปัดบทโรสไป ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ทำให้บทตกมาเป็นของ เคต วินสเลต และกลายเป็นบทบาทที่ผู้ชมจดจำเธอได้มากที่สุด เชื่อว่ากวินเน็ธ น่าจะแอบเสียดายพอดูล่ะ

12.มิอา ใน La La Land (2016)

Mia ใน La La Land

Mia ใน La La Land

ตัวเลือกแรกที่ทีมงานหมายตาไว้ก็คือน้องเฮอร์ไมโอนี หรือเอ็มมา วัตสัน นั่นเอง ก็ไม่ได้มีการระบุรายละเอียดว่าเธอปฏิเสธบทเพราะอะไร แต่ถึงจะพลาดจากเอ็มมาแรก ก็มาได้เอ็มมาที่ 2 แทน และน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะถ้าวัดกันที่ฝีมือแล้ว เอ็มมา วัตสัน นั้นล้วนผ่านมาแต่หนังที่หวังผลทางด้านการตลาดเสียเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เคยมีผลงานที่ได้รับเสียงชื่นชมทางด้านการแสดงเลยสักเรื่องเดียว ไม่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เลยสักครั้ง ผิดกับเอ็มมา สโตน ที่เคยได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงมาแล้วจาก Birdman (2014)

เรียกได้ว่าทั้งบท เซบาสเตียน และมิอา ที่ตกมาเป็นของ ไรอัน กอสลิง และเอ็มมา สโตน นั้นได้กันมาเพราะโชคชะตาแท้จริง เพราะทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกจากทีมงานสร้าง แต่ก็กลับกลายเป็นว่าเป็นคู่ที่เหมาะเจาะลงตัวกว่าตัวเลือกแรกเสียอีก แล้วทั้งคู่ก็ยังยกระดับคุณภาพให้หนังได้อีกมาก ด้วยการฝากฝีไม้ลายมือไว้อย่างน่าจดจำ ถึงขนาดที่ว่าได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำกันทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แม้ไรอันจะพลาดไป แต่เอ็มมา สโตน ก็ทำได้สำเร็จ คว้าออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอง  ทั้งยังได้รับเสนอชื่อในสาขานี้เป็นครั้งแรกด้วย

13.อับราฮัม ลินคอล์น ใน Lincoln (2012)

Abraham Lincoln ใน Lincoln

Abraham Lincoln ใน Lincoln

ถึงแม้ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรก แต่การได้เห็นภาพ แดเนียล เดย์ ลูอิส ในภาพลักษณ์ของ อับราฮิม ลินคอล์น แล้วก็ต้องบอกว่าเหมาะสมมาก ดูใกล้เคียงตัวจริงมาก แต่ถ้าตัวเลือกแรกอย่าง เลียม นีสัน ตอบตกลงก็คิดว่าหน้าตาของเลียม ถึงเมคอัปอย่างไรก็ไม่น่าจะเหมือนอับราฮัม ลินคอล์น ได้เท่านี้นะ แต่ถ้าเรื่องฝีไม้ลายมือในการแสดงก็พอเชื่อใจได้ล่ะ เพราะเลียม นีสัน นั้นก็เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำชายมาแล้วจาก Schindler’s List (1993) ผลงานกำกับของสตีเวน สปิลเบิร์ก เช่นกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ สตีเวน สปิลเบิร์ก จึงนึกถึงเลียม นีสัน เป็นตัวเลือกแรก

แต่พอบทตกมาเป็นของ แดเนียล เดย์ ลูอิส นักแสดงอันดับ 1 ของฮอลลีวูด ซึ่งไม่เคยทำให้ผู้กำกับคนไหนผิดหวัง เขารับงานแสดงโดยพิจารณาบทเป็นหลัก ไม่เคยรับงานแสดงหนังที่หวังผลทางรายได้  และในบท อับราฮัม ลินคอล์น เขาก็ไม่ทำให้ทีมผู้สร้างผิดหวัง ด้วยการคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาครองเป็นตัวที่ 3 ได้สำเร็จ ส่วนหนัง Lincoln นั้นก็เข้าชิงออสการ์อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยการเข้าชิงถึง 12 สาขา แต่คว้ามาได้แค่ 2 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลการออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม

14.ฮาน โซโล จาก Star Wars (1977)

Han Solo ใน Star Wars

Han Solo ใน Star Wars

เป็นอีกบทบาทที่กลายเป็นภาพลักษณ์จดจำติดตัวแฮริสัน ฟอร์ด  ไปจนตาย กับบท ฮาน โซโล สลัดอวกาศจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ มั่นใจได้เลยว่าถ้าบทนี้ยังตกเป็นของตัวเลือกแรก บทฮาน โซโล จะไม่เป็นที่จดจำเท่านี้อย่างแน่นอน เพราะตัวเลือกแรกที่ว่านั่นก็คือ อัล ปาชิโน ที่เรานึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่า อัล ปาชิโน จะเป็น ฮาน โซโล ที่ทะเล้น กะล่อน ได้แบบที่เราเห็นผ่านตัวตนของแฮริสัน ฟอร์ด

และการที่ ฮาน โซโล ได้กลายเป็นคาแรกเตอร์ระดับตำนานเช่นนี้ ก็ด้วยเสน่ห์และฝีมือการแสดงของเขาล้วน ๆ จากบทรองที่ถูกใส่เข้ามา กลับกลายเป็นบทบาทที่มีสีสันและทำให้คนดูรักได้ ทีมเขียนบทจึงต้องยกระดับให้บท ฮาน โซโล มีบทบาทมากขึ้นในภาคหลัง ๆ และส่งให้ แฮริสัน ฟอร์ด กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดตั้งแต่วันนั้น ส่วนพระเอกของเรื่องอย่าง มาร์ก แฮมิลล์ ในบท ลุค สกายวอล์กเกอร์ หลังจบ Star Wars แล้วประสบความสำเร็จในวงการแค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

15.มิอา เธอร์โมโพลิส ใน The Princess Diaries (2001)

Mia Thermopolis ใน Princess Diaries

Mia Thermopolis ใน Princess Diaries

บทสร้างชื่อของ แอนน์ แฮทธาเวย์ เป็นหนังเรื่องแรกของเธอ แล้วเธอก็เป็นที่จดจำได้จากเรื่องนี้เลย ด้วยความเพียบพร้อมทั้งเสน่ห์น่าหลงใหล ความสดใสร่าเริง ที่เธอใส่ไปในตัวละครสาวน้อย มิอา เธอร์โมโพลิส ได้ประทับใจคนดูทั่วโลก ก็ต้องบอกว่าด้วยเสน่ห์ของแอนน์นี่ล่ะ ที่เป็นหัวใจหลักที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ จนต้องมีภาค 2 The Princess Diaries 2: Royal Engagement (2004)

แต่เมื่อได้ยินชื่อตัวเลือกแรกก็ไม่เข้าใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกับบทนี้ เพราะนักแสดงที่ทีมงานทาบทามไปก็คือ คาเมรอน ดิอาซ ซึ่งวันนั้นเธออยู่ในวัย 29 ปี แต่บท มิอา เธอร์โมโพลิส นั้นเป็นเด็กนักเรียนไฮสคูลในวัย 16 ปี เมคอัปยังไงก็ไม่น่าจะช่วยลดอายุได้ไหวนะ แต่ แอนน์ แฮทธาเวย์ ตอนที่แสดงบทนี้ก็แก่กว่าบทนะ เพราะเธออายุ 19 ปีแล้ว แต่ 19 มาแสดงเป็นอายุ 16 ก็ดูเป็นไปได้กว่า 29 มาแสดงเป็นอายุ 16 อยู่ดีนะ

 

อ้างอิง