ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนในเวลาเดียวกันนี้เอง คือช่วงเวลาของการย่างเข้าสู่สหัสวรรษใหม่หรือ ค.ศ. 2000 อันเป็นที่ชวนลุ้นว่า ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะรีเซ็ตตัวเองกลับไปนับเวลาเป็น ค.ศ. 1900 หรือไม่ (เพราะระบบคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาในช่วงปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา ระบบจึงยังไม่เคยพบกับปีที่ลงท้ายเลข 2 ตัวด้วย 00 ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 มาก่อน) เหตุการณ์ Y2K นี้ ก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ฮิต ๆ ที่เกิดขึ้นนอกจากการเฉลิมฉลองสู่ Millennium ช่วงเวลาที่มนุษย์หนึ่งคน จะได้สัมผัสช่วงเวลานี้แค่ครั้งเดียวตลอดชีวิต (ยิ่งกว่าการรอชมดาวหางสักดวง)

ภาพยนตร์เมื่อ 20 ปีที่แล้วหลายเรื่อง ก็เป็นจุดกำเนิดของความสนุก ความน่าจดจำ เป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ที่มีตามมาอีกหลายภาคในช่วงเวลา 10 ปีแรกของสหัสวรรษ หลายเรื่องเป็นหนังฮิตสูงสุดของนักแสดง ผู้กำกับ หรือแนวหนังนั้น ๆ ที่ทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสความนิยมแบบเดิม หรือจนขนาดที่คงไม่มีค่ายหนังสร้างออกมาอีกแล้ว เพราะตกยุคและพ้นสมัย What The Fact ชวนคุณผู้อ่าน กลับไปย้อนความทรงจำกับหนังฮิตที่รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 20 ปีแล้ว รวมถึงย้อนช่วงเวลาส่วนตัวของแต่ละคนว่า ตอนดูหนังเรื่องนั้น ดูกับใครหรือทำอะไรกันอยู่

The Matrix (เข้าฉายวันแรก 31 มีนาคม 1999)

The Matrix

The Matrix

หนัง Sci-Fi ที่เป็นความสำเร็จในทุกทาง อย่างที่คิดไปไม่ถึงว่า หนังที่กล้าแหกออกจากกรอบขนาดนี้ จะกลายเป็นหนังที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก ได้รับแรงบันดาลใจจาก Ghost in the Shell และแนวคิดของมังงะจากญี่ปุ่นหลายเรื่อง เกี่ยวกับโลกเสมือนที่ซ้อนทับอยู่กับโลกจริง มนุษย์ถูกควบคุมและล่อลวงให้อยู่ในโลกเสมือนโดยเครื่องจักร ความเท่ของหนังที่ผสมผสานแนวคิด-ความเชื่อเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้เพียงหนึ่งเดียวของเอเชีย เข้ากับท่าทางการต่อสู้แบบกังฟู (โดยปรมาจารย์นักออกแบบการต่อสู้ “หยวนวูปิง”) ร่วมกับฉากต่อสู้แนวตะวันตก ท่าหยุดกระสุน ฉากสตั๊นแมนท์ (โดยทีมสตั้๊นท์ที่ทุกวันนี้กลายมาเป็นผู้กำกับหนังใหญ่ John Wick) สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคอหนังที่ไม่เคยเห็นหนังแบบนี้มาก่อน หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 465 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 63 ล้านเหรียญฯ กลายเป็นหนังที่ฮิตสุดอีกเรื่องของ Keanu Reeves จนมีอีก 2 ภาคตามมาในปี 2003 และกำลังจะมีภาค 4 ที่ได้นักแสดงทีมเดิมกลับมาเกือบครบในปี 2021 เพื่อเปิดเป็นภาคต่อสู่เรื่องราวของตัวละครหลักตัวใหม่

The Mummy (เข้าฉายวันแรก 7 พฤษภาคม 1999)

The Mummy

The Mummy

หนึ่งในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของค่าย Universal ผู้ถือครองลิขสิทธิ์เกี่ยวกับตัวละครมัมมี่ แม้จะพยายามใช้เปิดเรื่องเพื่อปูสู่ Dark Universe ในฉบับหนังปี 2017 แต่หนังก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ในปี 1999 นั้น หนังเป็นผลงานกำกับของ Stephen Sommers (Van Helsing, G.I. Joe ภาคแรก) ที่กำลังขาขึ้นและทำหนังผจญภัยสนุก ๆ ออกมาหลายเรื่องในช่วงนั้น หนังเล่าเรื่องย้อนเวลาไปยุคปี 1926 เมื่อตัวร้ายอย่างกษัตริย์อียิปต์ในอดีต Imhotep ถูกปลุกชีพขึ้นมาสร้างหายนะให้กับโลก ครอบครัวนักประวัติศาสตร์ในมาด Indiana Jones ที่นำทีมโดย Rick O’Connell รับบทโดย Brendan Fraser (ที่กลายเป็นหนังที่ฮิตที่สุดของเขา ขณะที่ทุกวันนี้ไม่มีหนังให้เล่น และออกมาของานจากวงการอยู่เรื่อย ๆ) และนางเอกของเรื่อง Rachel Weisz ที่กลายเป็นนางเอกรางวัลออสการ์ไปแล้ววันนี้ สร้างเคมีที่เข้าคู่และทำให้หนังผจญภัยเรื่องนี้สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 416 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 80 ล้านเหรียญฯ แต่ภาค 2 ในปี 2001 กลับยิ่งทำรายได้สูงไปกว่านั้น ก่อนจะมาแผ่วปลายในภาค 3 Tomb of the Dragon Emperor ในปี 2008 ที่เปลี่ยนผู้กำกับ และเปลี่ยนทิศมาเล่าเรื่องมัมมี่ที่สุสานจีน Weisz ถอนตัวและได้ Maria Bello มาเล่นแทนแบบไม่มีเสน่ห์เลย

007 The World is not Enough (เข้าฉายวันแรก 19 พฤศจิกายน 1999)

007 The World is not Enough

007 The World is not Enough

ตอนที่ 3 ในจำนวนทั้งหมด 4 ตอนของ James Bond Pierce Brosnan ประกบนางเอกสาวแสนสวยชาวฝรั่งเศสอย่าง Sophie Marceau (Braveheart) และ Denise Richards (Wild Things) ภายในเรื่อง Bond ถูกหักหลังอีกครั้งแต่คราวนี้มาจากคนใกล้ตัว ซึ่งก็นับเป็นเสน่ห์ของหนังชุดนี้ที่จะต้องเดาว่าใครมาดีหรือมาร้าย ภายในเรื่องยังมีการถ่ายทำฉากสำคัญที่ ลอนดอนอาย ริมแม่น้ำเทมส์ ประเทศอังกฤษ เป็นครั้งแรก ซึ่งในทุกวันนี้เปรียบเสมือนอีกหนึ่งแลนมาร์คสัญลักษณ์สำคัญของเมืองลอนดอนและปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่อง ลอนดอนอายเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อ 31 ธันวาคม 1999 และก็ได้ 007 เรื่องนี้ช่วยโฆษณาไปด้วยอีกทางหนึ่ง หนังทำรายได้รวมทั่วโลกไป 361 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างค่อนข้างสูงที่ 135 ล้านเหรียญฯ

Notting Hill & Runaway Bride (เข้าฉายวันแรก 28 พฤษภาคม และ 30 กรกฎาคม 1999)

Notting Hill

Notting Hill

Runaway Bride

Runaway Bride

ยืนยันความฮอตของนางเอกเบอร์หนึ่งในเวลานั้นได้จากการที่ปี 1999 Julia Roberts มีหนังฮิตถึง 2 เรื่อง โดยเรื่องแรก Notting Hill เป็นหนังคลาสสิกในใจใครหลายคนตลอดกาล เกี่ยวกับคนธรรมดาที่มาตกหลุมรักนางเอกซุปเปอร์สตาร์และต้องปกปิดความลับเอาไว้ไม่ให้โลกได้รู้ รับบทได้อย่างทรงเสน่ห์ทั้งพระเอกอย่าง Hugh Grant ที่เป็นเจ้าพ่อหนังโรแมนติกจากอังกฤษอยู่แล้ว (ฺBridget Jones, Love Actually) กับ Roberts ที่เป็นเจ้าแม่หนังแนวนี้ตลอดยุค 90 หนังทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 364 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 42 ล้านเหรียญฯ กับอีกเรื่องที่ออกฉายในอีก 2 เดือนถัดมา อันเป็นการกลับไปประกบคู่กับคู่จิ้นอย่าง Richard Gere ในหนังเจ้าสาวที่กลัวฝน Runaway Bride ซึ่งเคยเจอกันมาแล้วในหนังฮิต Pretty Woman (1990) และยังเป็นการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับเจ้าพ่อหนังรักแห่งอังกฤษผู้ล่วงลับอีกคนอย่าง Garry Marshall หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 309 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญฯ

American Pie (เข้าฉายวันแรก 9 กรกฎาคม 1999)

American Pie

American Pie

หนึ่งในหนังตลกสัปดนของชีวิตวัยรุ่นที่กลายเป็นแฟรนไชส์ที่แข็งแรง และในทุกวันนี้เราไม่ได้เห็นหนังแนวนี้กันอีกแล้ว American Pie เล่าชีวิตของเด็กนักเรียนวัยรุ่นที่มาอยู่ร่วมกัน ย่อมมีทั้งเรื่องการเรียนรู้ชีวิตและความรักผ่านประสบการณ์ห่าม ๆ ที่ทำให้หนังตลกและบันเทิง หนังกำกับโดยผู้กำกับชาวอังกฤษอย่าง Paul Weitz ซึ่งกับเรื่องนี้เองก็เป็นผลงานกำกับชิ้นแจ้งเกิดในวงการที่ทำให้เขาได้กำกับหนังอีกมากมายเช่น About a Boy (2002) The Golden Compass (2007) Little Fockers (2010) แฟรนไชส์นี้มีหนังตามออกมาอีก 3 ภาคด้วยกัน ซึ่ง Weitz เป็นคนกำกับเองทุกภาค กับภาค 2 ในปี 2001 ภาค 3 American Wedding ปี 2003 และภาค 4 American Reunion ในปี 2012 ซึ่งจากการที่รายได้ลดลงเรื่อย ๆ ก็ทำให้สิ้นสุดเรื่องราวลงที่ในภาค 4 นี้ แฟรนไชส์ทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 4 ภาคไป 989 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างรวมเพียงแค่ 146 ล้านเหรียญฯ และมีภาคแรกที่ลงทุนไปแค่ 11 ล้านเหรียญฯ ก็กลายเป็นหนังฮิตระเบิดได้ในยุคนั้น

The Sixth Sense (เข้าฉายวันแรก 6 สิงหาคม 1999)

The Six Sense

The Sixth Sense

สำหรับใครที่เกิดทันดูและเป็นคอหนังสยองขวัญหักมุมด้วยแล้วละก็ ประโยคที่ว่า “I See Dead People” คงจะทำให้ย้อนนึกถึงความขนลุกขนพองของการโดนหลอกจากหนังสักเรื่องเมื่อ 20 ปีก่อนได้เป็นอย่างดี พล็อตของ The Sixth Sense นับได้ว่าเป็นการหักมุมหรือ twist ความเชื่อของคนดูที่ถูกชักจูงโดยผู้กำกับ M. Night Shyamalan ที่จะต้องถูกกล่าวถึงไปอีกนาน (ผ่านมา 20 ปี ก็ยังเป็นที่พูดถึงอยู่) หนังแจ้งเกิดผู้กำกับให้ได้ทำหนังสยองขวัญอีกมากมายมาจนถึงปัจจุบัน ไล่มาตั้งแต่ Signs (2002) ไตรภาค Glass (2000-2019) ที่เพิ่งปิดไตรภาคตัวเองไปในปีนี้เอง หรือหนังอย่าง The Village (2004) ที่กับทุกเรื่องผู้ชมก็ตั้งตารอคอยว่า พี่มาโนชญ์ผู้กำกับ (ชื่อดั้งเดิมของแก ก่อนที่จะใช้ตัวย่อว่า M.) จะมาหลอกและหักมุมอะไรกับคนดูอีก หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 673 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 40 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น และยังเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดในเครดิตของนักแสดงสายบู๊ตลอดกาลอีกคนอย่าง Bruce Willis อีกด้วย

Fight Club (เข้าฉายวันแรก 15 ตุลาคม 1999)

Fight Club

Fight Club

ผู้กำกับที่มีสไตล์การทำหนังเฉพาะตัว เล่าเรื่องด้วยภาพที่มีความรุนแรงหรือใช้จิตวิทยาหลอกล่อคนดู หนีไม่พ้น David Fincher ที่กล่าวได้ว่าเป็นศาสดาของการทำหนังแนวนี้ ก่อนที่แก่กล้าจนกำกับหนังอย่าง Gone Girl (2014) The Social Network (2010) หรือหนังดราม่าที่แสนประทับใจอย่าง The Curious Case of Benjamin Button (2008) ได้นั้น ในช่วงแรกเขาได้กำกับหนังเกี่ยวกับกลุ่มนักต่อสู้ใต้ดินที่ได้พระเอกคู่บุญ Brad Pitt และพระเอกยอดฝีมืออีกคนอย่าง Edward Norton มาประกบคู่กันอย่างเมามัน หนังทำรายได้ทั่วโลกไปไม่มากนักที่ 101 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 63 ล้านเหรียญฯ แต่หนังก็ยังถูกตามหามาดูอยู่อย่างมากในทุกวันนี้ หากใครที่ชอบผลงานของ Fincher รวมถึงเด็กรุ่นใหม่ที่อยากดูหนังภาพและอารมณ์แรง ๆ ดิบเถื่อนถึงใจ แบบที่ทุกวันนี้ไม่มีการสร้างกันแล้ว

Toy Story 2 (เข้าฉายวันแรก 24 พฤศจิกายน 1999)

Toy Story 2

Toy Story 2

ภาคต่อที่เป็นแฟรนไชส์ของหนังเปิดตัวค่ายหนังแอนิเมชันน้ำดีของฮอลลีวูดอย่าง Pixars ที่มาจนถึงปีนี้ก็มีมาถึงภาค 4 แล้ว ที่ถ้าย้อนกลับไปดูงานภาพในภาคแรกและภาค 2 ก็ทำให้งานแอนิเมชันในภาคก่อน ๆ ดูธรรมดามากไปเลย แต่นั่นเอง คือจุดเริ่มต้นที่สวยงามของ Woody และ Buzz Lightyear รวมถึงผองเผื่อนเหล่าของเล่นน่ารัก ๆ มากมาย ตามหลังจากภาคแรกเมื่อปี 1995 ในภาคนี้ หนังได้แนะนำตัวละครใหม่เพิ่มอย่าง Jessie น้องสาวคาวเกิร์ลของ Woody ด้วย หนังใช้ผู้กำกับถึง 3 คน ซึ่งต่อมาทุกคนก็ได้กำกับหนังที่ประสบความสำเร็จของตัวเองกันถ้วนหน้า เช่น John Lasseter (Cars ทั้ง 2 ภาค) Lee Unkrich (Coco, Toy Story 3) Ash Brannon (Surf’s Up) รวมไปถึงผู้เขียนบทเรื่องนี้ก็ได้ดิบได้ดี เช่น Pete Docter ที่ไปกำกับเรื่อง Up และ Andrew Stanton ที่ไปกำกับ Finding Nemo, Finding Dory, WALL-E เรียกได้ว่า Toy Story 2 เป็นแหล่งอนุบาลให้เหล่าผู้กำกับชั้นนำในยุค 20 ปีต่อมาของ Pixars อย่างแท้จริง หนังภาคนี้ทำรายได้ทั่วโลกไป 509 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 90 ล้านเหรียญฯ

Star Wars: Episode 1 – The Phantom Menace (เข้าฉายวันแรก 19 พฤษภาคม 1999)

Star Wars: Episode 1 - The Phantom Menace

Star Wars: Episode 1 – The Phantom Menace

หลังจากในปีนี้จะเป็นการปิดจบภาคที่ 9 หรือไตรภาคที่ 3 ของหนังสงครามแห่งดวงดาว Star Wars เมื่อ 20 ปีที่แล้ว Georges Lucas เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ให้กำเนิดและผู้อำนวยการสร้างของไตรภาคแรก ได้กลับมากำกับภาคจุดเริ่มต้นของเรื่องราวชีวิต Anakin Skywalker ก่อนจะเข้าสู่ด้านมืดเป็น Darth Vader ในตอนจบของภาคที่ 3 เรียกว่าเป็นการหวนกลับมาหาความสำเร็จที่เป็นของตาย หลังจากปิดจบภาค Return of the Jedi ปี 1983 หรือเมื่อ 16 ปีก่อน หนังขนทัพนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากขึ้นในอีก 20 ปีต่อมา ทั้ง Liam Neeson, Ewan McGregor ที่กำลังจะกลับมารับบทเป็น Obi-Wan เหมือนเดิม ในซีรีส์ของ Disney+, Natalie Portman หนังได้รับคำวิจารณ์ไม่ค่อยดีทั้งจากแฟนของแฟรนไชส์และนักวิจารณ์ (โดยเทความสาดเสียเทเสียไปที่ตัวละครจาร์จาร์บิง ที่น่ารำคาญเอามาก ๆ) แต่หนังก็ถือว่ากลับมาเปิดไตรภาคใหม่ได้อย่างสมภาคภูมิ มีฉากดวลดาบไลท์เซเบอร์ให้คนหายคิดถึง และต่อยอดภาค 2 และ 3 มาจนถึงไตรภาคใหม่ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับค่าย 20th Century Fox อย่างมากจน Disney ซื้อกิจการค่าย Lucas Film ก่อนซื้อค่าย Fox เสียอีก หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 1,027 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 115 ล้านเหรียญฯ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส