การที่ฆาตกรรายหนึ่งจะยกระดับสถานะตัวเองเป็น “ฆาตกรต่อเนื่อง” ได้นั้น มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตเกินมนุษย์มนาสามัญทั่วไป คำว่า “ต่อเนื่อง” ในที่นี่นั้น มีการจำเพาะเจาะจงว่าฆาตกรรายนั้นได้สังหารเหยื่อมาแล้วอย่างน้อย 3 ราย นักจิตวิทยาได้ตั้งสมมติฐานว่า ฆาตกรต่อเนื่องเป็นพวกที่ไม่มีพัฒนาการทางอารมณ์ ทำให้กลายเป็นพวกแปลกแยกและถูกปฏิเสธจากสังคมภายนอก เป็นผลทำให้บุคคลเหล่านี้ สามารถก่อคดีได้โดยที่ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย เพราะฆาตกรประเภทนี้จะฆ่าเพื่อสนองตัณหาและอารมณ์ตัวเอง ไม่ใช่การฆ่าจากเหตุบังเอิญ หรือบันดาลโทสะ

ในบ้านเราไม่ค่อยคุ้นคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” นัก เพราะในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีฆาตกรโรคจิตแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าไม่นับซีอุยที่เพิ่งมีข้อโต้แย้งกันว่าหลักฐานปรักปรำซีอุยเมื่อ 60 ปีที่แล้วนั้นไม่โปร่งใส พอมีคดีอุกฉกรรจ์อย่าง สมคิด พุ่มพวง ขึ้นมา ที่สังหารเหยื่อมาแล้วถึง 6 ราย จึงกลายเป็นที่โจษจัน ก็นับว่าเป็นความโชคดีแล้วในสังคมไทยที่ไม่มีฆาตกรประเภทนี้ หรืออาจจะมีแต่ไม่มีใครจับได้ก็ไม่รู้นะ แต่ในหลาย ๆ ประเทศแถบตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษ และอเมริกานั้น มีฆาตรต่อเนื่องถือกำเนิดมาแล้วกว่า 100 ปี บางรายก็ถูกบันทึกเรื่องราวออกมาเป็นหนังสือ บางเรื่องก็ถูกพัฒนาเป็นภาพยนตร์ บางรายก็โหดเหี้ยอำมหิตเกินกว่าจะหยิบมาเล่าต่อในสื่อบันเทิง

ในบทความนี้ได้หยิบยกเรื่องราวของ 10 ฆาตกรต่อเนื่อง ทีเหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์มาเล่าสู่กันฟัง และที่น่าตกใจก็คือในรายชื่อนี้มีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นเพศหญิงเสียด้วย ทำให้เราได้เข้าใจจุดประสงค์ของฆาตกรได้กว้างขวางลึกซึ้งกว่าแต่ก่อน เพราะหลักฐานแต่เก่าก่อนจะระบุว่าฆาตกรต่อเนื่องมักจะเป็นเพศชาย เพราะจุดประสงค์หลักในการทำร้ายเหยื่อคือต้องการทารุณกรรมทางเพศ แต่ในวันนี้ความวิปลาสของฆาตรกรต่อเนื่องขยายผลกว้างขึ้นไปมีหลายอุปสงค์เพิ่มเข้ามาทั้ง ความชอบในรสชาติเนื้อมนุษย์, ความประสงค์ต่อเงินและทรัพย์สิน ซึ่งมักจบลงด้วยการปลิดชีวิตเหยื่อ และนี่คือรายชื่อบุคคลสุดอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่มนุษย์รายหนึ่งจะทำต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยน้ำมือตัวเอง

1.ลุยส์ การาวิโต ฉายา “สัตว์ร้าย” (Luis Garavito)

"The Beast": Luis Garavito

“The Beast”: Luis Garavito

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1992 – 1997
พื้นที่ก่อเหตุ : โคลัมเบีย
จำนวนเหยื่อ : อ้างว่าฆาตกรรมไปแล้ว 300 ราย ได้รับการยืนยัน 138 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 22 เมษายน 1999
ต้องโทษ : จำคุก 1,853 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือแค่ 22 ปี (ลดให้เยอะมากกกกก)

ลุยส์ การาวิโต (Luis Garavito) ได้อยู่ในอันดับที่ 1 ก็เพราะความโหด ความอันตรายที่สุดของเขานี่ล่ะ ถึงกับได้ฉายานามว่า “The Beast” ที่แปลว่า สัตว์ร้าย มีชื่อที่เพื่อน ๆ เรียกอีกว่า Tribilín เป็นชื่อเรียกของ”กูฟี่” ตัวการ์ตูนหมาของดิสนีย์ ในภาษาโคลัมเบียน , ลุยส์ เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1957 เป็นที่รู้จักกันในฐานะ ฆาตกรโหด และโจรหื่นที่ชอบข่มขืนเหยื่อ ลุยส์ถูกรวบตัวได้ในปี 1999 ด้วยข้อหา กักขัง หน่วงเหนี่ยว ทรมาน ก่อนที่จะสังหารเหยื่อจำนวน 138 ราย ทั้งหมดเป็นเด็กและเยาวชน อายุตั้งแต่ 6 – 16 ปี ด้วยวีรกรรมที่สุดโหด ทำให้ลุยส์ต้องโดนจองจำในเรือนจำพิเศษที่มีกระบวนการรักษาความปลอดภัยอย่างสูง ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลผู้คนในประเทศโคลัมเบีย แล้วลุยส์ก็ยังต้องถูกขังแยกต่างหากจากนักโทษรายอื่น ๆ อีกด้วย ด้วยเหตุที่มีเจ้าทุกข์ และโจทก์ที่อาฆาตแค้นเขาจำนวนมาก ทำให้ลุยส์เลือกรับอาหารจากผู้คุมหรือบุคคลที่เขารู้จักเท่านั้น ระหว่างที่ถูกคุมขัง ผู้คุมบอกว่าลุยส์เป็นนักโทษที่ดูผ่อนคลาย มองโลกในแง่ดี และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ลุยส์จะพ้นโทษในปี 2021 นี้ ทำให้มีเสียงคัดค้านจำนวนมาก และอาจจะปรับแก้ไขกฏหมายเดิมของโคลัมเบีย ที่กำหนดไว้ว่าโทษจำคุกสูงสุดคือ 40 ปี ให้กลายเป็น 60 ปี เพื่อต่ออายุการจองจำของลุยส์ต่อไป

2.แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ (Jack The Ripper)

Jack The Ripper

Jack The Ripper

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1888 – 1891
พิ้นที่ก่อเหตุ : ลอนดอน , อังกฤษ
จำนวนเหยื่อ : 5 ราย

ความน่ากลัวของ แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ เริ่มแพร่สะพัดในละแวก ไวต์แชปเพล กรุงลอนดอน ในปี 1888 หลังจากเขาเริ่มก่อเหตุฆาตกรรม ไม่มีใครเคยเห็นตัวตนจริงของเขา ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ เป็นหญิงหรือชาย และ แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ น่าจะจัดว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายแรก ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ เหตุเกิดเมื่อ 130 กว่าปีมาแล้ว ในยุคที่โลกยังไม่มีวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีใด ๆ เลย เรื่องราวของแจ็ก เดอะ ริปเปอร์ จึงจัดว่าเป็นตำนานที่มีการเล่าขานต่อกัน แน่นอนว่าย่อมต้องเสริมเติมแต่งลงไปตามกาลเวลา มีการเล่าว่าเหยื่อของแจ็กจะเป็นโสเภณีล้วน ๆ เขามักจะสังหารเหยื่อด้วยการปาดคอ หรือไม่ก็แทงมีดเข้าที่ท้องน้อย ในตำนานยังเสริมต่ออีกว่าแจ็กจะชอบตัดมดลูกของเหยื่อไปเป็นของสะสมอีกด้วย

ตำนานอย่างหนึ่งที่ยืนยันแน่ชัดได้คือ ฉายาของ แจ็ก เดอะริปเปอร์ ที่คนพื้นที่ละแวกนั้นเรียกเขาว่า “ฆาตกรแห่งไวต์แชปเพล” ตามชื่อเมืองที่แจ็กออกอาละวาด วีรกรรมโหดของแจ็กหยุดอยู่แค่โสเภณี 5 ราย แล้วก็หายสาบสูญไป ไร้เบาะแสและร่องรอย เหลือเป็นตำนานโหด ที่กลายเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญหลายต่อหลายเรื่อง ตามสมมติฐานต่าง ๆ ที่คาดเดากันไป

3.จาเว็ด อิกบาล (Javed Iqbal)

Javed Iqbal Umayr

Javed Iqbal Umayr

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1985 – 1990
พื้นที่ก่อเหตุ : ปากีสถาน
จำนวนเหยื่อ : 100 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 30 ธันวาคม 1999
ต้องโทษ : ศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ แต่อิกบัลแขวนคอตัวเองตายในคุกเสียก่อน

เป็นคดีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศปากีสถาน เป็นฆาตกรต่อเนื่องรายแรกในประเทศปากีสถาน แล้วก่อเหตุได้อย่างน่าสะพรึงมาก เมื่ออิกบัลให้การยอมรับว่าเขาฆ่าเด็กชายไปถึง 100 ราย ที่น่าตกตะลึงก็คือ อิกบัล ไม่ได้ถูกจับ แต่เขาสารภาพผิดต่อคดีฆาตกรรมทั้งหมดของเขาผ่านจดหมายที่ส่งให้ตำรวจและหนังสือพิมพ์ ในจดหมายนั้นเขาได้บรรยายอย่างละเอียดถึงวิธีการที่เขาฆ่าเด็ก ๆ ทั้ง 100 รายด้วยการรัดคอ จากนั้นก็หั่นศพเป็นชิ้น ๆ แล้วใส่ลงอ่างอาบน้ำ ทำลายศพด้วยกรดรุนแรง อิกบัลยังเปิดเผยต่อว่าเด็กชายส่วนใหญ่ที่เขาฆ่านั้นล้วนเป็นเด็กกำพร้า เด็กที่หนีออกจากบ้านแล้วมาระเหเรร่อนตามข้างถนน อิกบัลยังอ้างความดีอีกว่า ที่เขาสารภาพผ่านจดหมายนี้ เพราะต้องการส่งสารถึงบรรดาพ่อแม่ที่ละเลยลูกหลานแล้วสุดท้ายก็กลายมาเป็นเหยื่อของเขา

อิกบัลลงเอยด้วยการเดินเข้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เป็นการมอบตัว เขาอ้างว่าเขากลัวตำรวจจะวิสามัญฆาตกรรมเขา เลยมอบตัวผ่านทางหนังสือพิมพ์แทน ศาลพิจารณาโทษให้ประหารชีวิตอิกบัลด้วยการแขวนคอ แล้วให้หั่นศพเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปทำลายอ่างด้วยกรดรุนแรงเช่นเดียวกับที่เขาทำกับเด็ก ๆ ทั้ง 100 ราย บทลงโทษ ๆ แปลก ๆ เช่นนี้เพราะเป็นประเทศตะวันออกกลางครับ

ความน่าตกตะลึงในคดีของอิกบัลยังไม่หมด ตอนที่ตำรวจเขาตรวจค้นห้องพัก 3 ห้องนอนของอิกบัลนั้น ยังเจอวัยรุ่นอีก 4 รายที่พักอยู่กับอิกบัล และทั้งหมดคือผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรมกับอิกบัล หนึ่งรายกระโดดหนีออกหน้าต่างและบาดเจ็บจนเสียชีวิต ในคืนวันที่ 8 ตุลาคม 2001 อิกบัลตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอตายในคุก วัยรุ่นผู้ร่วมก่อเหตุอีกหนึ่งรายแขวนคอตายในคืนเดียวกัน ขณะนั้นอิกบัลอายุ 45 ปี

4.ซามูเอล ลิตเทิล (Samuel Little)

samuel little

samuel little

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1970s – 2005
พื้นที่ก่อเหตุ : 19 รัฐ ใน สหรัฐอเมริกา
จำนวนเหยื่อ : อ้างว่าสังหารไปแล้ว 93 ราย ได้รับการยืนยัน 50 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 5 กันยายน 2012
ต้องโทษ : จำคุกตลอดชีวิต 3 ชาติ ไม่มีภาคทัณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ซามูเอล ลิตเทิล ได้รับตำแหน่งฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฆาตกรรมที่เกิดบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา เขาถูกจับกุมได้ในสถานสงเคราะห์คนไร้บ้านในรัฐเคนตักกี้ ด้วยข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด DNA ของซามูเอลถูกส่งเข้ากระบวนการตรวจพิสูจน์ แล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ เมื่อพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมหญิงถึง 3 ราย ไม่กี่เดือนต่อมา FBI สืบพบว่า DNA ของซามูเอล เกี่ยวโยงกับคดีฆาตกรรมหญิงสาวอีกมากกว่า 12 ราย ภายหลังซามูเอล ให้การสารภาพว่าเขาสังหารหญิงสาวไปมากถึง 93 ราย ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970s มาจนถึงปี 2005 เป็นระยะเวลาถึง 35 ปี ปัจจุบัน ซามูเอล ลิตเทิล วัย 79 ปี ยังถูกจองจำอยู่ในทัณฑสถานแคลิฟอร์เนีย

5.มิคาฮิล พอปคอฟ “มนุษย์หมาป่า” (Mikhail Popkov)

"The Werewolf": Mikhail Popkov

“The Werewolf”: Mikhail Popkov

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1992 – 2012
พื้นที่ก่อเหตุ : อังการ์สค์, วลาดิวอสตอก, เออคุตสค์ ประเทศรัสเซีย
จำนวนเหยื่อ : อ้างว่าสังหารไป 84 ราย ได้รับการยืนยัน 78 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 23 มิถุนายน 2012
ต้องโทษ : จำคุกตลอดชีวิต 2 รอบ

มิคาฮิล พอปคอฟ ฉายา “มนุษย์หมาป่า” และฉายา “จอมบ้าเลือดแห่งอังการ์สค์” ข้อมูลส่วนตัวของมิคาฮิลที่ชวนให้เราอึ้งก็คือเขาคือเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเมืองเออคุตสค์ เขามีครอบครัวที่ดูปกติสุขดี มีภรรยาและลูกสาว เหตุจูงใจที่ทำให้มิคาฮิลกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องมาจากเหตุที่เขาจับได้ว่าภรรยานอกใจ ไม่มีรายงานว่าภรรยาและชู้โดนสังหารหรือไม่

วิธีการออกล่าเหยื่อของมิคาฮิลคือเขาขับรถออกหาเหยื่อในชุดตำรวจและรถตำรวจ เหยื่อของเขาจะอายุตั้งแต่ 16 ไปจนถึง 40 ปี โดยมุ่งเป้าไปที่เหยื่อที่เป็นโสเภณี และหญิงวัยรุ่นที่เมามายไม่ได้สติ มิคาฮิลจะเสนอความช่วยเหลือด้วยการเชื้อเชิญเหยื่อขึ้นรถ และอาสาจะไปส่งที่พัก แต่ถ้าใครหลงกลก็จะตกเป็นเหยื่อสังหารและข่มขืนของมิคาฮิล อาวุธที่มิคาฮิลใช้จะหลากหลายมาก ทั้งมีด, ไม้เบสบอล, ขวาน แม้กระทั่งไขควง เขาจะใช้วิธีทรมานเหยื่อให้ไม่สามารถหนีได้ ด้วยวิธีการที่สุดโหดเหี้ยม ทำให้เขาได้ฉายาว่า มนุษย์หมาป่า

หลังพบข้อสงสัยเป็นรอยยางรถยนต์ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นยางรถยนต์ที่ใช้เฉพาะรถตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจรัสเซีย นำ DNA ที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ไปตรวจเทียบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเออคุตสค์จำนวน 3,500 นาย ส่งผลให้เป็นหลักฐานมัดตัว มิคาฮิล พอปคอฟ หลังก่อเหตุภายใต้เครื่องแบบตำรวจมาอย่างยาวนาน

6.จอห์น เวย์น เกซี “นักฆ่าตัวตลก” (John Wayne Gacy)

"Killer Clown": John Wayne Gacy

“Killer Clown”: John Wayne Gacy

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1972 – 1978
พื้นที่ก่อเหตุ : อิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา
จำนวนเหยื่อ : 33 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 21 ธันวาคม 1978
ต้องโทษ : ประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ

เป็นรายที่ทำให้สังคมช็อกมาก เพราะจอห์น เวย์น เกซี เป็นที่รู้จักกันในละแวกชุมชนสเตทวิลล์ ชิคาโก ว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และเด็ก ๆ รู้จักเขาในฐานะ “ตัวตลกโพโก” เพราะงานรองของจอห์นคือการแต่งตัวเป็นตัวตลกไปโชว์ตัวตามงานเลี้ยงของเด็ก ๆ และงานการกุศล ซึ่งจอห์นก็ใช้ภาพลักษณ์ของตัวตลกนี่ล่ะ ชวนเด็กชายมาที่บ้านเขาเพื่อกระทำชำเราทางเพศ

เมื่อจอห์นเข้าสู่วัยรุ่น เขามีพฤตกรรมที่ส่อแววว่ามีความซาดิสม์ และชอบกระทำชำเรารุนแรงทางเพศต่อเด็กชาย ทำให้จอห์นถูกส่งเข้าสถานพินิจประจำเมืองไอโอวา ในปี 1968 หลังผ่านการประเมินผลจากจิตแพทย์ จอห์นได้รับการปล่อยตัวในปี 1970 แต่ยังอยู่ในระยะภาคทัณฑ์ จากนั้นชีวิตจอห์นก็ประสบความสำเร็จอย่างดี

ปี 1978 มีเด็กหนุ่มชื่อ โรเบิร์ต พีซ หายตัวไป มีพยานชี้เบาะแสว่าเห็นโรเบิร์ตอยู่กับ จอห์น เวย์น เกซี เป็นคนสุดท้าย ทางตำรวจจึงขอหมายศาลเข้าทำการตรวจค้นบ้านของจอห์น แล้วสิ่งที่ตำรวจพบก็ชวนสยดสยองยิ่งนัก เมื่อพบศพเด็กชายถึง 29 ราย ฝังอยู่รายรอบบริเวณบ้านของจอห์น และยังพบอีก 4 ศพ ฝังอยู่บริเวณริมแม่น้ำ เดส เพลน สอดคล้องกับที่ภรรยาของจอห์น และคนในบ้านต่างบ่นกันมานานนับปีว่าได้รับกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง แต่จอห์นก็อ้างว่ากลิ่นเหม็นเพราะความชื้นสะสมในอากาศ

จอห์นถูกส่งเข้ารับการพิพากษา ในชั้นศาลจอห์นใช้สิทธิ์โต้แย้งว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเภท ที่ได้รับการยืนยันจากจิตแพทย์มาแล้ว แต่บรรดาลูกขุนไม่เห็นพ้องตามนั้น ทั้งหมดยืนยันว่าจอห์น มีความผิดจริง สมควรได้รับโทษสูงสุด ส่งผลให้จอห์นต้องโทษประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าร่าง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 1980 ในวัย 52 ปี

7.ชิซาโกะ คาเคฮี “แม่ม่ายดำแห่งเกียวโต” (Chisako Kakehi)

'The Black Widow of Kyoto': Chisako Kakehi

‘The Black Widow of Kyoto’: Chisako Kakehi

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1994 – 2013
พื้นที่ก่อเหตุ : ญี่ปุ่น
จำนวนเหยื่อ : 3 – 10 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 2014
ต้องโทษ : ประหารชีวิต

มาดูที่ญี่ปุ่นกันบ้าง ชิซาโกะ คาเคฮี ปัจจุบันวัย 72 ปี เธอมีความผิดในเหตุฆาตกรรมชายอย่างน้อย 7 ราย ในระหว่างปี 1994 – 2013 ชายทั้ง 7 รายนี้เป็นสามีและคู่เดตของเธอตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว แม้จะผ่านกระบวนการพิพากษามาแล้ว ชิซาโกะก็ยังยืนกรานว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ เหตุที่เธอต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้เป็นเพราะชะตากรรมที่ “เคราะห์ร้าย” ของเธอเอง

แต่ทางกระบวนการยุติธรรม ยืนยันผลการสืบสวนคดีว่า ชิซาโกะ คาเคฮี เป็นฆาตกรที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต กระทำการฆาตกรรมด้วยความเลือดเย็นและดำเนินการไปอย่างมีขั้นตอนการวางแผน และเหยื่อทั้งหมดที่เธอลงมือนั้นเพื่อหวังผลจากเงินประกันชีวิตที่มากถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ชิซาโกะ มาจนมุมต่อหลักฐาน หลังมีการชันสูตรศพสามีคนที่ 4 ของเธอ แล้วพบร่องรอยไซยาไนด์ตกค้างในร่างกาย เธอยืนกรานปฏิเสธในระหว่างถูกจับกุม แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการไต่สวนในศาล ชิซาโกะ กลับให้การสารภาพในชั้นศาลว่าที่เธอทำลงไปทั้งหมดนั้น เป็นเพราะความเกลียดชังต่อสามีที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ อาจจะเพราะการเกลี้ยกล่อมจากทนายส่วนตัว ทำให้ชิซาโกะกลับคำให้การอีกครั้งใน 2 วันต่อมา อ้างว่าที่เธอหลุดปากออกไปนั้นเป็นผลมาจากภาวะความจำเสื่อม เธอจำไม่ได้ว่าเธอให้การไปว่าอย่างไรบ้าง ทนายส่วนตัวของเธอรีบใช้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนอให้ศาลลดโทษให้กับชิซาโกะ เหตุจากจำเลยอยู่ในภาวะความจำเสื่อมควรได้รับโทษทางอาญาที่ผ่อนเบาลง

ชิซาโกะ ให้การในภายหลังอีกว่า เธอไม่สามารถฆ่าใครได้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใครด้วยวิธีอย่างไร แต่ขัดกับหลักฐานที่ตำรวจค้นเจอ ถุงใส่ยาไซยาไนด์เล็ก ๆ ที่เธอซุกซ่อนไว้ในกระถางต้นไม้

8.มัลลิกา เค.ดี. เคมพัมมา (Mallika’: K.D. Kempamma)

'Holy Water Cyanide Mallika': K.D. Kempamma

‘Holy Water Cyanide Mallika’: K.D. Kempamma

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1999 – 2007
พื้นที่ก่อเหตุ : บังกาลอร์, อินเดีย
จำนวนเหยื่อ : หญิง 6 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 31 ธันวาคม 2007
ต้องโทษ : จำคุกตลอดชีวิต

พอมาฝั่งเอเซียนี่ ฆาตกรต่อเนื่องกลับเป็นเพศหญิงแฮะ มัลลิกา เค.ดี. เคมพัมมา เป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงรายแรกในประเทศอินเดีย ได้ฉายาว่า”ไซยาไนด์ มัลลิกา” จากวิธีการสังหารเหยื่อของเธอด้วยยาพิษไซยาไนด์ เธอลงมือกับเหยื่อรายแรกในปี 1999 และอีก 6 รายในระยะ 8 ปีต่อมา ในจำนวนนี้มี 5 ราย ที่เธอสังหารติด ๆ กันในเดือนตุลาคม – ธันวาคม ปี 2007

วิธีการของเธอคือ วางภาพพจน์ให้ตวเองดูเป็นผู้เคร่งครัดในศาสนา แล้วเธอจะตีสนิทกับหญิงที่มาบำเพ็ญธรรมในวัด จากนั้นมัลลิกาจะชวนเหยื่อให้ไปบำเพ็ญธรรมอีกวัดหนึ่ง แต่ว่าต้องแต่งตัวไปปฏิบัติธรรมด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามพร้อมกับเครื่องประดับอัญมณีให้สมเกียรติ ซึ่งเหยื่อก็หลงวาจาหว่านล้อมของเธอ และที่วัดนี้มัลลิกาก็จะเอาน้ำให้เหยื่อดื่ม โดยอ้างว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเธอแอบใส่ไซยาไนด์ไว้ในน้ำ มัลลิกาถูกจับได้ในขณะที่พยายามเอาอัญมณีของเหยื่อไปขาย ปัจจุบันมัลลิกา อายุ 50 ปี ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

9.ริชาร์ด รามิเรซ “Night Stalker” (Richard Ramirez)

"Night Stalker": Richard Ramirez

“Night Stalker”: Richard Ramirez

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1984 – 1985
พื้นที่ก่อเหตุ : แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
จำนวนเหยื่อ : 14 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 31 สิงหาคม 1985
ต้องโทษ : ประหารชีวิต 19 ข้อหา

รายนี้ฆ่าเหยื่อไม่ได้มากเท่ารายก่อนหน้า แต่วิธีการที่ริชาร์ด ฆ่าและเล่นสนุกกับเหยื่อนั้นโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ทั่วไปจะจินตนาการได้ ริชาร์ รามิเรซ เป็นทั้งโจร ทั้งจอมข่มขืน มือปืน และฆาตกร เขาชอบบุกเข้าบ้านเหยื่อยามวิกาล ข่มขืน ปล้นและสังหารเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม

ริชาร์ดไม่ค่อยเลือกเหยื่อ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีอายุตั้งแต่ 20 ไปจนถึง 79 ปี อาวุธของริชาร์ดก็แล้วแต่จะเสาะหาได้ใกล้มือ มีทั้ง มีด ค้อน แม่แรงเหล็ก ดาบมาเชเต้ ค้อน และปืนพก วิธีการที่ริชาร์ดสังหารเหยื่อ ทำให้หลายคนคาดว่าเขาน่าจะนับถือซาตาน แม้กระทั่งตอนที่ถูกจับ ริชาร์ดก็ไม่มีทีท่าจะสลด หรือสำนึกต่อการกระทำเขาแม้เพียงน้อย

หลังจากสังหารเหยื่อไปแล้ว 14 ราย ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างหวาดผวาต่อวีรกรรมอันโหดเหี้ยมของเขา หน้าของริชาร์ดถูกเผยแพร่ออกสื่อไปทั่วทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ แต่ริชาร์ดก็ยังออกมาเดินทาง นั่งรถข้ามรัฐไปหาพี่ชายที่อริโซนา แล้วก็นั่งกลับมาที่แคลิฟอร์เนีย หลังเข้ารานสะดวกซื้อ หญิงชรากลุ่มหนึ่งจำหน้าริชาร์ดได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ชี้นิ้วแล้วตะโกนว่า “ฆาตกร” ทำให้ริชาร์ดแตกตื่นแล้ววิ่งหนีออกมานอกร้าน พยายามจะปล้นรถหลายคันแต่ไม่เป็นผล เขาวิ่งหนี้เข้าไปในชุมชน กระโดดข้ามรั้วบ้านหลายหลัง แต่ก็จนมุมชาวบ้านที่ช่วยกันจับกุมเขาไว้ได้ ริชาร์ดโดนพลเมืองดีทุบตีอย่างหนักกว่าตำรวจจะมาถึง

ศาลตัดสินประหารชีวิตด้วย 13 ข้อหา แล้วยังกล่าวถึงริชาร์ดอีกว่า “ริชาร์ดเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โหดเหี้ย อำมหิต ในระดับข้นที่เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจได้” ริชาร์ดตายด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ระหว่างที่คุมขังรอกำหนดประหารชีวิต แหม คนเลว ๆ แบบนี้ตายง่ายไปนะ ไม่สาสมกับที่ได้ทำเลวร้ายไว้กับเหยื่อเลย

10.เท็ด บันดี้ (Ted Bundy)

Ted Bundy

Ted Bundy

ช่วงปีที่ทำการฆาตกรรม : 1974 – 1978
พื้นที่ก่อเหตุ : แคลิฟอร์เนีย, โคโลราโด, ฟลริดา, ไอดาโฮ, โอเรกอน, ยูทาห์, วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
จำนวนเหยื่อ : 30 ราย
ถูกจับกุมเมื่อ : 16 สิงหาคม 1975
ต้องโทษ : ประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า

เท็ด บันดี้ เป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกรายที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ และกล่าวขวัญมาจนปัจจุบัน เรื่องราวของเท็ด บันดี้ ถูกนำไปดัดแปลงเป็นนิยายและภาพยนตร์หลายเรื่อง เท็ด บันดี้ มีชีวิตวัยเด็กที่ไม่สู้ดีนัก เขามีปัญหาจากการที่แม่แต่งงานใหม่ แล้วเท็ดไม่สามารถเข้ากับพ่อเลี้ยงได้ ด้วยบุคลิกที่เป็นเด็กขี้อายทำให้เท็ดเป็นเป้าที่ถูกเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนแกล้งอยู่เสมอ

เท็ดเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ เขาสามารถเข้าสังคมได้ดีและเข้ากับเพศตรงข้ามได้ดี แม้จะมีเสน่ห์ในการดึงดูดหญิงสาว และเขาได้เริ่มเข้าสู่วงการเมือง เท็ดเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ในฐานะผู้สนับสนุนรองประธานธิบดีร็อกีเฟลเลอร์ เท็ดขยันขันแข็งจนเป็นที่จับตาจากสมาชิกพรรคว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นเป็นนักการเมืองได้ แต่เท็ดก็เลือกที่จะปลดปล่อยความเป็นฆาตกรโรคจิตไปกับการข่มขืนและฆาตกรรมหญิงสาวหลายราย เท็ดก่อคดีฆาตกรรมในหลายรัฐเช่น แคลิฟอร์เนีย, โคโลราโด, ฟลริดา, ไอดาโฮ, โอเรกอน, ยูทาห์, วอชิงตัน รวมแล้วที่เขาสารภาพว่าลงมือจริงคือ 28 ราย แต่มีการคาดคะเนว่าอาจจะถึง 100 ราย

คดีของเท็ดเป็นที่สะเทือนขวัญต่อสังคม ทำให้ศาลตัดสินเด็ดขาดให้ประหารชีวิตเท็ด บันดี้ ในปี 1979 และระหว่างที่รอวันประหารชีวิตอยู่นั้น เท็ด ยังต้องโทษประหารชีวิตเพิ่ม จากคดีที่ทางตำรวจสืบค้นเจอเพิ่มเติม ว่าเขาได้ทำการข่มขืนและฆ่าเด็กหญิงวัยเพียง 12 ปี เท็ดถูกประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 1989

10 รายนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งนะครับ ยังมีฆาตกรระดับเลวร้ายในประวัติศาสตร์อีกมากตั้งแต่อดีตกาลมา หลาย ๆ ประเทศก็มีฆาตกรต่อเนื่อง แต่เท่าที่อ่านมาไม่มีสักรายเดียวที่ได้รับการอภัยโทษให้กลับมาอยู่ร่วมในสังคมภายนอกนะ

อ้างอิง

อ้างอิง