ยุค 90s คือหมุดหมายสำคัญของวงการดนตรี อันเป็นช่วงเวลาที่เกิดกระแสดนตรีอัลเทอร์เนทีฟที่เปลี่ยนเทรนด์ดนตรีไปทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นจุดกำเนิดของศิลปินระดับตำนานของวงการดนตรีในทุกวันนี้มากมายไม่ว่าจะเป็น Oasis, Nirvana หรือว่า Radiohead เป็นต้น เชื่อว่าวงโปรดและอัลบั้มโปรดของใครหลายคนจะต้องอยู่ในยุคนี้อย่างแน่นอน

ล่าสุดรายการวิทยุ Sounds of the 90s ที่ออกอากาศทาง Radio 2 และ BBC Sounds ได้ทำโพลให้ผู้ฟังได้โหวตกันว่าอัลบั้มใดคือ ‘สุดยอดที่สุดของอัลบั้ม’ ในช่วงยุค 90s  ซึ่งทั้ง 10 อัลบั้มนี้จะมีอัลบั้มอะไรบ้างและแต่ละอัลบั้มนี้มีความดีงามอย่างไร เราไปดูกันเลยครับ

10. ‘Achtung Baby’ – U2

เริ่มกันที่อันดับที่ 10 กับอัลบั้มชุดที่ 7 จากวงร็อกไอริชรุ่นเก๋า ‘U2’ ที่วางจำหน่ายเมื่อ 18 พฤศจิกายน 1991 ผลงานการโปรดิวซ์ชุดที่สามของ ไบรอัน อีโน ที่แท็กทีมมากับ แดเนียล ลานัวส์ อัลบั้มนี้มีบทเพลง ‘One’ เป็นเพลงฮิตที่แฟนเพลงทั่วโลกโหวตให้เป็นหนึ่งในบทเพลงยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของพวกเขา และเป็นเพลงที่ขาดไม่ได้ในคอนเสิร์ตของ U2  อัลบั้มนี้ U2 มีความพยายามจะหลีกหนีจากความสำเร็จของสองอัลบั้มก่อนคือ The Joshua Tree (1987) และ Rattle And Hum (1988) ด้วยการก้าวไปสู่ทิศทางใหม่ด้วยการใส่ซาวด์ดนตรีที่หลากหลายอย่าง  อัลเทอร์เนทีฟร็อก , อินดัสเทรียล และ อิเล็กทรอนิก แดนซ์ ลงไป ‘Achtung Baby’ นับว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ U2 ทั้งในด้านยอดขายที่ทำได้กว่า 18 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และคำวิจารณ์ที่ดีจากหลายสำนัก มีบทเพลงที่ได้รับความนิยมมากมายไม่ว่าจะเป็น One, Mysterious Ways หรือว่า The Fly นอกจากนี้ยังทำให้ U2 ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1993 ในสาขา ‘Best Rock Performance by a Duo or Group with Vocal’ อีกด้วย

9. ‘Screamadelica’ – Primal Scream

อัลบั้มชุดที่สามของวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากสก็อตแลนด์ ‘Primal Scream’ ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงทั้งในด้านแนวทางดนตรีที่เปลี่ยนจากอินดี้ร็อกมาสู่งานดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีเฮ้าส์ และด้านรายได้ที่ถือว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกของวงที่ประสบความสำเร็จทั้งในเชิงพานิชย์ด้วยยอดขายรวมกว่า 3 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก ได้รับรางวัล Mercury Music Prize ในปี 1992 ด้วยอิทธิพลของดนตรีเฮ้าส์ที่กำลังเบ่งบานในช่วงเวลานั้น ทำให้วงได้ชวน ดีเจแอนดรู เวเทอร์รอล และ เทอร์รี ฟาร์เลย์ มาทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ ทำให้งานเพลงในอัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยอิทธิพลทางดนตรีที่หลากหลายรวมไปถึงกอสเปล และ ดั๊บ อีกทั้งยังได้รับแรงบันดาลใจจากอัลบั้ม Pet Sounds (1966) ของวงเดอะ บีชบอยส์ด้วย อัลบั้มนี้มีเพลงเด่น ๆ อย่าง ‘Loaded’ ที่ติดท็อป 20 ในชาร์ตเพลงของ UK และเพลง ‘Movin’ on Up’ ที่เป็นเพลงฮิตของวงในอเมริกา

8. ‘Urban Hymns’ – The Verve

อัลบั้มชุดที่ 3 ของ ‘The Verve’ หนึ่งในแนวหน้าแห่งวงการอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากอังกฤษ ออกวางจำหน่ายเมื่อ 29 กันยายน 1997 อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง ‘Bitter Sweet Symphony’ หนึ่งในบทเพลงอันยิ่งใหญ่ในช่วงปลายยุค 90s ที่ทุกคนมักจะนึกถึงเสมอเมื่อพูดถึง The Verve เพลงนี้นอกจากความดังของมันแล้วยังมีประเด็นดราม่า ‘ก๊อปมั้ย’ กับเพลง ‘The Last Time’ ของ The Rolling Stones อีกด้วย ทำให้รายได้ของเพลงไหลเข้าสู่กระเป๋าของ The Rolling Stones และ มิก แจ็กเกอร์ และ คีธ ริชาร์ดส์ ได้รับเครดิตเป็นผู้เขียนเพลงไป แต่ตอนนี้เรื่องก็จบลงด้วยดี แจ็กเกอร์ และ ริชาร์ดส์ ได้ถอนตัวเองออกจากเครดิตและลิขสิทธิ์ได้ถูกโอนกลับมาที่แอชครอฟต์ในที่สุด นอกจากนี้ก็มี ‘The Drugs Don’t Work’ ที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ใน UK (ในขณะที่ ‘Bitter Sweet Symphony’ ขึ้นสูงสุดที่อันอับ 2)  แถมอัลบั้มนี้ยังได้ เลียม กัลลาเกอร์ แห่งวง Oasis มาร่วมร้องแบ็กอัปในเพลง ‘Come On’ ที่ตอนท้ายเลียมได้สาดเสียงและหวดแทมบูรีนอย่างเดือด

7. ‘Jagged Little Pill’ – Alanis Morissette

อัลบั้มชุดที่ 3 จากยอดศิลปินหญิงชาวแคนาดา-อเมริกัน อลานิส มอริสเซตต์ (Alanis Morissette) เจ้าของ 12 รางวัลจูโน่ และ 7 รางวัลแกรมมี่ ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 1995 งานเพลงในอัลบั้มชุดนี้เปลี่ยนทิศทางมาสู่งานเพลงร็อกซึ่งแตกต่างจากสองอัลบั้มก่อนหน้า Alanis และ Now Is the Time ที่เป็นแนวพอปแดนซ์ ‘Jagged Little Pill’ ไม่เพียงแต่จะสร้างประวัติการณ์ให้กับมอริสเซตต์แล้วมันยังถือเป็นอัลบั้มสำคัญของวงการดนตรี และได้สร้างสถิติหลายประการทั้งเป็นอัลบั้มเปิดตัวของศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นอัลบั้มเปิดตัวทั่วโลกที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี กับยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก บทเพลงทั้งอัลบั้มนี้เขียนขึ้นโดย มอริสเซ็ตต์ และเกล็น บัลลาด โปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม และได้ฟลี กับเดฟ นาวาร์โร จากวง Red Hot Chili Peppers มาเล่นเบสและกีตาร์ให้ในเพลง ‘You Oughta Know’  ‘Jagged Little Pill’ ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 9 สาขา และคว้าชัยไป 5 รางวัลรวมทั้ง Album of the Year ทำให้ในช่วงเวลานั้นมอริสเซตต์กลายเป็นศิลปินที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลแกรมมี่ในสาขานี้ด้วยวัยเพียง 21 ปี ก่อนที่จะเสียตำแหน่งนี้ให้กับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ในวัย 20 ปี จากอัลบั้ม ‘Fearless’ ในปี 2008 และล่าสุดโดยบิลลี อายลิช สาวน้อยมหัศจรรย์วัย 18 ปี จากอัลบั้ม ‘When We All Fall Asleep Where Do We Go’ ในปี 2020

6. ‘Different Class’ – Pulp 

อัลบั้มชุดที่ 5 จากอีกหนึ่งแนวหน้าอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากอังกฤษนาม ‘Pulp’ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1995 ได้รับการยกย่องให้เป็นอัลบั้มแห่งปี ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตของ UK และได้รับรางวัล Mercury Music Prize ในปี 1996 มียอดขายถล่มทลายมากกว่า 1,320,000 ก๊อปปี้ อัลบั้มนี้โดดเด่นด้วยสไตล์ดนตรีที่มีกลิ่นอายพอปผสมดิสโก้เรโทรยุค 70s ที่ผสานซาวด์ดนตรีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ในอัลบั้มประกอบไปด้วยเพลงเด่น ๆ มากมายอาทิ Disco 2000, Mis-Shapes, Something Changed, Bar Italia และ Common People ซึ่งเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอัลบั้ม เป็นหนึ่งในบทเพลงเสียดสีสังคมอันคมคายจากปลายปากกาของจาร์วิส ค็อกเกอร์ นักร้องนำของวง ที่สะท้อนผ่านเรื่องราวของหญิงสาวชาวกรีซผู้เพียบพร้อม แต่อยากใช้ชีวิตเหมือนคน ‘ธรรมดาสามัญ’ แบบเดียวกันกับชายหนุ่มคนรักของเธอ แต่ก็คงได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เธอคงไม่เข้าใจ เพราะชีวิตและโลกทัศน์ของเธอนั้นห่างไกลจากคำว่าธรรมดามากเหลือเกิน ด้วยความลงตัวโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในท่วงทำนองและเนื้อหาจึงทำให้บทเพลงนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานแห่งยุคบริตพอปอันรุ่งโรจน์

5. ‘Automatic For The People’ – R.E.M.

หนึ่งในอัลบั้มชิ้นสำคัญของวงดนตรีหัวหอกแห่งกระแสอัลเทอร์เนทีฟ ร็อกและคอลเลจ ร็อกในยุค 80s , 90s จากเมืองเอเธนส์, รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา  ‘Automatic For The People’ เป็นอัลบั้มชุดที่ 8 ของวง วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1992 เป็นอัลบั้มที่มีกลิ่นอายความหม่น ดาร์กอย่างชัดเจน ไร้ซึ่งเงาของเพลงแบบ uptempo แบบที่เคยมีมาในอัลบั้มก่อน ๆ โดยเนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้เหมือนเอาห้วงอารมณ์จากมุมมองและประสบการณ์ที่มีต่อชีวิตมาถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็น ‘Try Not to Breathe’ และ ‘Sweetness Follows’ ที่พูดถึงเรื่องความเสื่อมของสังขารและความตาย ในขณะที่ ‘Nightswimming’ และ ‘Man on the Moon’ มีกลิ่นอายความโหยหาอดีตในบรรยากาศแบบเซอร์เรียล แต่ถึงอย่างนั้นอัลบั้มนี้ก็ยังประสบความสำเร็จในระดับสูงด้วยการขึ้นอันดับ 2 ในชาร์ตของบิลบอร์ดและเป็นอัลบั้มระดับแพลตินัม มียอดขาย 18 ล้านก๊อปปี้ นอกจากนี้ในอัลบั้มยังได้ จอห์น พอล โจนส์ มือเบสแห่งวง Led Zeppelin มาเรียบเรียงเสียงเครื่องสายให้ถึง 4 เพลง ได้แก่  ‘Drive’, ‘The Sidewinder Sleeps Tonite’, ‘Everybody Hurts’ และ ‘Nightswimming’

4. ‘Definitely Maybe’ – Oasis

‘Definitely Maybe’ อัลบั้มเปิดตัวต่อชาวโลกของตำนานแห่งวงการบริตพอป ‘Oasis’ วางจำหน่ายวันที่ 29 สิงหาคม 1994 มีเพลง ‘Supersonic’ เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้ม และบรรจุไว้ด้วยเพลงฮิตมากมายอาทิ Live Forever (ที่โนลตั้งใจแต่งให้มาเป็นเพลงขั้วตรงข้ามของ ‘I Hate Myself and Want To Die’ ของ Nirvana) , Shakermaker , Rock ‘n Roll Star, Cigarettes & Alcohol หรือว่า Slide Away เป็นอัลบั้มที่เรียกได้ว่าแจ้งเกิด Oasis อย่างเป็นทางการ เพราะนอกจากจะได้รับเสียงสรรเสริญเยินยอจากนักวิจารณ์แล้ว ในด้านรายได้ก็ถล่มทลายเช่นกัน เพียงสัปดาห์แรกก็ขายได้มากถึง 86,000 ก็อปปี้ อีกทั้งยังทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต UK และติด Top 10 ในอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก กวาดยอดขายระดับแพลตตินัมไปครอง ทำให้ Oasis กลายเป็นวงดนตรีที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มเดบิวต์สูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเพลงของอังกฤษ ณ ขณะนั้น

3. ‘Nevermind’ – Nirvana

อัลบั้มชุดที่ 2 จากตำนานวงกรันจ์ ‘Nirvana’ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘อัลบั้มที่เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไปตลอดกาล’ วางจำหน่ายเมื่อวันที่  24 กันยายน 1991 มีบทเพลง ‘Smells Like Teen Spirit’ ที่ทำให้ Nirvana ดังเปรี้ยงปร้างและนำพาอัลบั้มนี้และวงไปสู่จุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อมาบทเพลงนี้ได้สร้างเทรนด์ใหม่ให้กับวงการดนตรีและกลายเป็นตำนานแห่งวงการเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ‘Nevermind’ เป็นอัลบั้มแรกที่ เดฟ โกรห์ล (Dave Grohl) มารับหน้าที่มือกลองของวง ซึ่ง เคิร์ต โคเบน เป็นคนเลือกโกรห์ลด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าโกรห์ลนั้นเป็น ‘มือกลองที่ดีที่สุดในโลก’ หน้าปกของอัลบั้มนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คนจดจำได้ นั่นคือเป็นภาพของ สเปนเซอร์ เดลเดน เด็กทารกน้อยวัย 4 เดือน (ซึ่งตอนนี้เป็นหนุ่มวัย 28 ปีแล้ว) กำลังดำดิ่งอยู่ใต้เวิ้งน้ำและกำลังไล่คว้าแบงก์ดอลลาร์ที่มีขอเบ็ดตกปลาเกี่ยวเอาไว้ ซึ่งแรงบันดาลใจนั้นได้มาจากไอเดียของโคเบนที่ได้ภาพนี้จากการนั่งดูรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการคลอดลูกในน้ำกับเดฟ โกรห์ล

2. ‘(What’s The Story) Morning Glory’ – Oasis

มันช่างเหมาะเจาะจริง ๆ ที่อัลบั้มนี้ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ที่ 2 เพราะนี่คืออัลบั้มที่ทำลายอาถรรพ์อัลบั้มที่สองของวงการดนตรี ด้วยความสำเร็จระดับสุดยอดของ ‘(What’s the Story) Morning Glory?’ อัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของ Oasis ที่บรรจุไว้ซึ่งเพลงฮิตระดับคลาสสิกของวงไม่ว่าจะเป็น Wonderwall, Some Might Say,  Don’t Look Back in Anger, หรือ Champagne Supernova ทำให้มันได้รับการยกย่องให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Oasis จากแฟนเพลงและนักวิจารณ์หลายสำนัก อีกทั้งยังเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวง ด้วยยอดจำหน่ายในสัปดาห์แรก 347,000 ก็อปปี้ (เยอะกว่า ‘Definitely Maybe’ เกือบ 4 เท่า)

สไตล์งานดนตรีของอัลบั้มนี้จะมีความเป็นบัลลาดที่นุ่มนวลขึ้น เพลงมีเมโลดี้ที่ไพเราะกลมกล่อม ซึ่งมีความแตกต่างจาก ‘Definitely Maybe’ ที่จะดูดิบกว่า นอกจากนี้ยังเป็นอัลบั้มแรกของวงที่ได้ อลัน ไวต์ มือกลองคนใหม่ มาเล่นแทน โทนี แมกคาร์โรลล์ ที่ได้ออกจากวงไป

1. Radiohead – ‘OK Computer’

ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 กับอัลบั้ม ‘OK Computer’ ของ Radiohead ที่โดดเด่นเป็นเอกฉันท์ถึงความสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ในโลกแห่งดนตรีอัลเทอร์เนทีฟยุค 90s อัลบั้มนี้เป็นชุดที่ 3 ของวงวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1997 (เพิ่งครบรอบ 23 ปีไปเมื่อเดือนก่อนนี่เอง) อัลบั้มชุดนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวง Radiohead ที่เริ่มหันเหทิศทางดนตรีจากงานดนตรีที่มีกีตาร์โดดเด่นเป็นหลักไปสู่งานดนตรีเชิงทดลองอันมีรายละเอียดดนตรีที่มีชั้นเชิงและแปลกใหม่ด้วยการเอาอุปกรณ์ดนตรีที่หลากหลายมาช่วยสร้างเสียงแปลก ๆ มากมาย รวมไปถึงเนื้อหาของเพลงที่มีความนามธรรมล้ำลึกมากยิ่งขึ้น โดยหนีห่างจากการเขียนเพลงที่พูดถึงเรื่องราวภายในของตัวเอง มาสู่ความเป็นไปของโลกและชีวิตภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความกังวลต่อการเข้ามาของเทคโนโลยี ลัทธิบริโภคนิยม โลกาภิวัฒน์ รวมไปถึงเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขา Album of the Year และได้คว้ารางวัลในสาขา Best Alternative Music Album ในปี 1998 มีเพลงเด่น ๆ อย่าง  ‘Paranoid Android’, ‘Karma Police’, ‘Lucky’, และ ‘No Surprises’ ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2017 อัลบั้ม OK Computer ได้ถูกนำกลับมาทำใหม่และรวมเข้ากับเพลง B-side ของทางวงจำนวน 8 เพลง รวมทั้งอีก 3 เพลงใหม่ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนคือ I Promise, Man of War และ Lift เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 20 ปีของอัลบั้มนี้ โดยใช้ชื่อว่า ‘OKNOTOK’

OK Computer นับว่าเป็นอัลบั้มที่โดดเด่นของวงการดนตรีและโลกใบนี้ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีการจัดอันอับอัลบั้มยอดเยี่ยมก็จะต้องมีอัลบั้มนี้ติดอยู่ด้วยเสมอ เป็นงานดนตรีที่ยากจะหางานชิ้นใดมาเสมอเหมือนและมันก็จะยังคงความคลาสสิกเช่นนี้เสมอไป

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส