ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงฮอลลีวูดฝีมือดีระดับแถวหน้าก็มักจะมีหนังมาให้เลือกเล่นอยู่เสมอ บางครั้งก็พลาดโอกาสเล่นหนังดังบางเรื่องไปเพราะคิวไม่ว่าง หรือบางเรื่องพวกเขาก็เลือกจะปฏิเสธไปเอง ที่ถ้าต่อมาหนังเรื่องนั้นเกิดประสบความสำเร็จหรือคว้ารางวัลโดยเฉพาะทางด้านการแสดง ก็ต้องก่อให้เกิดความเสียดายกันเป็นธรรมดา วันนี้ What The Fact จะขอนำเสนอบทบาทในหนังที่คนดูเกือบจะได้เห็น Leonardo DiCaprio, Brad Pitt และ Christain Bale 3 ดาราชายมากฝีมือในยุคนี้ได้เล่นมาแล้ว

Christian Bale เกือบเคยได้เล่น Solo: A Star Wars Story (2018)

ตอนที่ Christian Bale ตอบรับเข้าร่วมเล่นหนัง Thor: Love & Thunder หรือ Thor ภาค 4 ก็สร้างความแปลกใจให้กับวงการพอสมควร เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องที่ไม่ชอบเล่นหนังแฟรนไชส์หรือหนังเมนสตรีมที่มีหลายภาค (นั่นทำให้เขาไม่สนใจจะมารับบทเป็น James Bond) แต่ก็มีขอยกเว้นอยู่บ้างอย่างไตรภาค The Dark Knight (2005-2012) ที่ใครบ้างจะไม่อยากร่วมงานกับผู้กำกับ Christopher Nolan และ Bale ก็มั่นใจได้ว่า หนังจะออกมาดีแน่นอน แต่ Bale ก็มีพลาดไปเหมือนกัน เช่นกับบท John Conner ใน Terminator Salvation (2009) ที่ต่อมาก็ประกาศไม่เผาผีกับผู้กำกับ McG ไปเลย

Christian Bale in The Dark Knight Rises (2012)
แฟรนไชส์ไม่กี่ชุดที่ Christian Bale ยอมเล่น ก็คือ Batman The Dark Knight
บาดแผลของ Bale ที่มารับบท John Conner ใน Terminator Salvation (2009)

Bale เคยเล่าให้ฟังในรายการ Podcast เมื่อมกราคมปี 2018 ว่า เขาเคยได้รับการติดต่อจาก LucasFilm เพื่อให้มาแสดงในบทสำคัญของเรื่อง Solo: A Star Wars Story (2017) ในบท Tobias Beckett ซึ่งเป็นอาจารย์ของ Han Solo อีกที ซึ่งสุดท้ายแล้วบทตกเป็นของ Woody Harrelson ที่ก็ทำให้นึกถึงบทบาทอาจารย์คล้ายกันนี้ของเขาใน The Hunger Games อย่างไรก็ตาม เขาก็บอกว่า ยังเปิดโอกาสให้กับหนัง Star Wars เรื่องอื่น ๆ ในอนาคตถ้ามีบทที่น่าสนใจ สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นการดีสำหรับ Bale เพราะสุดท้ายหนังเจ๊งเรื่องแรกของ Star Wars และทำให้ LucasFilm ตัดสินใจไม่ทำหนังภาคแยก Star Wars อีกต่อไป และหันมาเอาดีทางการทำเป็นซีรีส์ทาง Disney+ อย่าง The Mandarolian และ Obi-Wan แทน

Woody Harrelson, Paul Bettany, and Alden Ehrenreich in Solo: A Star Wars Story (2018)
Woody Harrelson ใน Solo: A Star Wars Story (2017)

Christian Bale เกือบเคยได้เล่น Steve Jobs (2015)

ไอคอนระดับโลกของวงการไอทีที่ใครมารับบทก็ต้องมีโอกาสขึ้นไปเหยียบเวทีล่ารางวัลต่าง ๆ แน่นอน แถมยังมาพร้อมกับผู้กำกับ Danny Boyle จากหนังออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Slumdog Millionaire (2008) อีกต่างหาก แต่จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดังหรือถูกพูดถึงตามที่หวังด้วยการนำเสนอที่ยังไม่เฉียบคมมากนัก ทั้งที่มีนักแสดงระดับออสการ์อย่าง Kate Winslet, Jeff Daniels และ Seth Rogen ส่วนบทของ Steve Jobs นั้นก็เป็นของนักแสดงมากฝีมือ Michael Fassbender

Bale จอมแปลงโฉมกลายเป็น Dick Cheney ใน Vice (2008)

เดิมทีหนังที่เขียนบทโดย Aaron Sorkin เรื่องนี้จะเป็นการกลับมาร่วมงานกันของผู้กำกับ David Fincher ที่เคยโด่งดังมาด้วยกันกับ The Social Network (2010) ที่ก็เล่าเรื่องราวของอีกหนึ่งอัจฉริยะอย่าง Mark Zuckerberg และ Sorkin ตั้งใจไว้เลยว่าจะให้ Bale มารับบทเป็น Jobs แต่เมื่อ Fincher ถอนตัวออกไปทุ่มเวลาให้กับหนัง Gone Girl (2014) Bale ก็เลยขอปฏิเสธไม่มาเล่นโดยให้เหตุผลว่า เขาไม่ค่อยเหมาะกับบทนี้เท่าไร (แต่จริง ๆ น่าจะเพราะ Fincher ไม่ได้กำกับแล้วมากกว่า) เพราะ Bale นั่นไม่ค่อยเกี่ยงหนังและบทที่ท้าทายความสามารถ อย่างบทบุคคลที่มีตัวตนจริงอย่างใน Vice (2018) ที่เล่นเป็นนักการเมืองตัวแสบ Dick Cheney เขาก็ทำได้

Michael Fassbender in Steve Jobs (2015)
Michael Fassbender ใน Steve Jobs (2015)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น Kick-Ass (2010)

ตัวแสบอย่าง Brad Pitt มักจะอยู่ในหนังแสบ ๆ มาตลอดชีวิตซึ่งก็เหมาะกับหนัง Kick-Ass (2010) อยู่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณหนังที่ Bale นำแสดงอย่าง The Dark Knight (2008) หนังฮีโรสายดาร์กที่ทำให้ Kick-Ass เรต R ที่ดัดแปลงจากคอมิกของ Mark Millar ได้ลืมตาอ้าปาก Pitt ที่เคยเล่นหนังแก๊งสเตอร์สุดกวนอย่าง Snatch (2000) ที่ Guy Ritchie กำกับและ Matthew Vaughn ผู้กำกับของ Kick-Ass เป็นผู้อำนวยการสร้าง จึงกลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของ Vaughn ที่จะมารับบท Big Daddy พ่อของนางเอกฮีโรวัยรุ่นที่รับบทโดย Chloë Grace Moretz

Brad Pitt, Eli Roth, and B.J. Novak in Inglourious Basterds (2009)
Pitt ใน Inglourious Basterds (2009)
Deadpool 2: Ryan Reynolds shares hilarious cropped photo of Brad ...
บทรับเชิญของ Brad Pitt ที่โผล่มาแบบห้ามกะพริบตาใน Deadpool 2 (2017)

แต่เพราะในตอนนั้น Pitt ติดงานหนัง Inglourious Basterds (2009) ของ Quentin Tarantino อยู่ ทำให้มาถ่าย Kick-Ass ไม่ได้ ซึ่งกับเรื่องนั้น Pitt ก็รับบทเป็นตัวละครสุดแสบไม่แพ้กันซึ่งก็ทำให้เขาได้รับคำชมไปอย่างล้นหลาม ซึ่งผู้ที่มารับบทแทน Pitt ก็คือ Nicolas Cage ที่เล่นเรื่องนี้จนได้รับคำชม แต่หลังจากนั้นมาป๋าก็ไม่เลือกงานไม่ยากจน รับเล่นหนังทุกเกรดและไม่มีหนังที่เล่นจนได้รับคำชมอีกเลยนับแต่นั้น ส่วน Pitt ก็ได้มาเล่นบทรับเชิญในหนัง Deadpool 2 (2017) ที่ตอนแรกก็ได้รับการวางตัวให้มาเล่นเป็น Cable Guy แต่คิวไม่ว่างเลยตกเป็นของ Josh Brolin แทน

Nicolas Cage, Aaron Taylor-Johnson, and Chloë Grace Moretz in Kick-Ass (2010)
Kick-Ass (2010)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น Angels & Demons (2009)

Tom Hanks เกือบจะได้โคจรมาเจอกับ Leonardo DiCaprio อีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วใน Catch Me If You Can (2002) ในหนังภาค 2 ในไตรภาคของตัวละคร Robert Langdon ที่โด่งดังมากตอนภาคแรก The Da Vinci Code (2005) ซึ่งสร้างมาจากหนังสือสุดอื้อฉาว Hanks เป็นผู้ออกปากชวน DiCaprio มาเล่นบทสำคัญที่สุดของเรื่อง Patrick McKenna ที่นำมาซึ่งบทสรุปสุดหักมุมในตอนท้าย แต่สุดท้ายเขาปฏิเสธ ในรายงานไม่ได้บอกเหตุผลแต่เมื่อดูจาก Timeline ในเวลานั้น DiCaprio กำลังเตรียมเล่นหนัง 2 เรื่องที่ประสบความสำเร็จทั้งคู่อย่าง Inception (2010) และ Shutter Island (2010) อยู่

Leonardo DiCaprio and Tom Hanks in Catch Me If You Can (2002)
การพบกันแค่ครั้งเดียวในหนังของ Hanks และ DiCaprio จนถึงตอนนี้ ใน Catch Me If You Can (2002)

สุดท้ายผู้ที่มารับบทแทนคือนักแสดงมากฝีมืออีกคนอย่าง Ewan McGregor หนังเข้าฉายและไม่ได้ทำเงินถล่มทลายเท่าภาคแรก (หนังไม่ได้เชื่อมต่อกันและฉบับหนังสือนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน The Da Vinci Code ด้วย) แต่ก็ยังดีกว่าภาคปิดท้าย Inferno (2016) ที่ทำเงินไปน้อยนิดอย่างไม่น่าเชื่อว่านำแสดงโดย Tom Hanks ก็เป็นไปได้ว่าหนังเสื่อมความนิยมแล้วหลังทิ้งห่างภาคแรก 10 ปี

Armin Mueller-Stahl and Ewan McGregor in Angels & Demons (2009)
Ewan McGregor ในบทบทหลวงแห่งวาติกันที่ดีจนน่าสงสัยใน Angels & Demons (2009)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

Christian Bale เกือบเคยได้เล่น W. (2008)

เกือบ 10 ปีก่อน Bale ก็เกือบจะได้มาเล่นหนังที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร Dick Cheney ก่อน Vice (2018) มาก่อน นั่นคือหนังเรื่อง W. (2008) ที่เป็นหนังชีวประวัติ (ในแนวแสบ ๆ ตลกร้าย ไม่ดราม่ามากนัก) ของ George W. Bush ประธานาธิบดี 2 สมัยของสหรัฐฯ ที่มี Dick Cheney เป็นรองประธานาธิบดี หนังเป็นผลงานของผู้กำกับหนังเสียดสีการเมืองขึ้นชื่ออย่าง Oliver Stone ที่มีผลงานอย่าง Natural Born Killers
(1994) และ Born on the Fourth of July (1989)

Christian Bale and Sam Rockwell in Vice (2018)
นักแสดงออสการ์ทั้งคู่ Christian Bale และ Sam Rockwell ที่มารับบทเป็น George W. Bush ใน Vice (2018)

Stone ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในปี 2008 ว่า Bale นั้นได้ใช้เวลาหลายเดือนสำหรับการเตรียมตัวด้วยการศึกษาท่าทางและการพูดของ Bush ตัวจริง ถึงอย่างนั้นพอเข้าสู่ช่วงของการทดสอบหน้ากล้องพร้อมทรงผมและการแต่งหน้า ทั้ง Bale และทีมงานก็เห็นตรงกันว่าจะแต่งยังไงเขาก็ไม่เหมาะสมกับการเล่นเป็น ประธานาธิบดี Bush จน Bale ขอถอนตัวออกไป และ ได้ Josh Brolin มาสวมบทแทน อย่างไรก็ตามในตอนที่หนังออกฉายกลับกลายเป็นความล้มเหลวทางรายได้และคำวิจารณ์ เพราะหนังพยายามจะเล่าเรื่องแบบทั้งด้านบวกและลบแบบแฟร์ ๆ กับ Bush มากเกินไป ผิดกับหน้าหนังที่บอกว่า จะนำเสนอแบบจิกกัดเสียดสี ที่คอหนังอยากจะให้แฟนตาซีให้สุด ๆ ไปเลย

Richard Dreyfuss, Josh Brolin, Toby Jones, Thandie Newton, and Rob Corddry in W. (2008)
Richard Dreyfuss รับบทเป็น Dick Shaney ที่ Bale มาเล่นบทนี้ใน Vice และ Josh Brolin ใน W. (2008)

Christian Bale เกือบเคยได้เล่น 007 Casino Royale (2006)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 ตอนที่ Bale โด่งดังจากการรับบทเป็นฆาตกรต่อเนื่องใน American Psycho (2000) ในหนังสือชื่อ Christian Bale: The Inside Story of the Darkest Batman ได้เปิดเผยไว้ว่า การแสดงเป็นฆาตกร Patrick Bateman นั้นได้ไปถูกตาต้องใจ Barbara Brocoli  ผู้อำนวยการสร้างหนัง James Bond ในตอนนั้น Pierce Brosnan ยังรับบทเป็นพยัคฆ์ร้ายอยู่ ซึ่งถ่ายทำกันถึงตอนที่ 3 ของ Brosnan นั่นคือ The World is Not Enough (1999) แต่ Brocoli ก็ได้เริ่มขั้นตอนในการ Bond คนใหม่

Christian Bale in American Psycho (2000)
Bale ใน American Psycho (2000) บทที่ทำให้ถูกตาต้องใจผู้สร้างหนัง 007

Bale เป็นนักแสดงอันดับต้น ๆ ที่เธอต้องการ แต่เธอก็ได้เล่าว่า ความต้องการของเธอครั้งนี้ยังต้องเจรจราถามไถ่กับ Bale ก่อน  ต่อมาภายหลังเขาก็ได้บอกปฏิเสธเธอด้วยเหตุผลว่า ไม่อยากยึดติดกับแฟรนไชส์ที่ “โคตรอังกฤษ” เรื่องนี้ และบทนี้ยังเป็นอะไรที่ “อังกฤษมากไป” จนเขาคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วหลังภาค Die Another Day (2002) Brosnan ก็ถูกปลดระวางจากการเป็นพยัคฆ์ร้าย และ ได้ Daniel Craig จาก Layer Cake (2004) มาเล่นบทไอคอนของโลก เปิดฉากภาคต่อกึ่งรีบูตกลับไปเริ่มต้นภารกิจแรกของ Bond คนใหม่ใน Casino Royale

Daniel Craig in Casino Royale (2006)
Daniel Craig ใน 007 Casino Royale (2006)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น Sin City (2005)

DiCaprio นั้นเคยถูกเชิญให้มาร่วมเล่นหนังฟิล์มนัวร์ที่สร้างด้วยเทคนิคสุดแหวกแนวให้ออกมาเหมือนหนังสือการ์ตูนมากที่สุดอย่าง Sin City ผลงานของผู้กำกับ Robert Rodriguez แต่ถ้าคิดว่า เขาจะได้มาเล่นบท “The Big Fat Kill” ที่เป็นบทนำของ Clive Owen หรือบทนำอื่น ๆ ที่มีนักแสดงชั้นนำมากมายเล่นไว้ ทั้ง Bruce Willis และ Benicio Del Toro แต่รับรองว่าเดาผิด เพราะบทที่ทีมสร้างหนังอยากให้ DiCaprio มาเล่น ก็คือบทไอ้ตัวหัวงูตัวเหลือง (เป็นตัวละครที่มีสีเหลืองตัวเดียวในเรื่อง) ที่จะเป็นตัวละครที่ผ่นการศัลยกรรมและการทดลองในห้องทดลองมาจนหน้าเป็นอย่างที่เห็น สุดท้ายเขาปฏิเสธบทนี้และหนังก็ได้ Nick Stahl จาก Terminator 3: Rise of the Machines (2003) มารับบทนี้ ส่วน DiCaprio นั้นยังไม่เคยเล่นหนังฟิล์มนัวร์เลย (ใกล้เคียงสุดก็ Shutter Island (2010) ของ Scoresese)

Nick Stahl and Jessica Alba in Sin City (2005)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น The Departed (2006)

The Departed หนังที่ทำให้ผู้กำกับ Martin Scorsese คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ทั้งที่ควรจะได้จากเรื่องอื่นมากกว่าและควรได้มา 30 ปีแล้วจากหนังแก๊งสเตอร์หรือหนังนัวร์เรื่องอื่นแถมยังเป็นหนังที่เขาถูกโจมตีว่า ดัดแปลงจาก Infernal Affairs (2002) หนังฮ่องกงแบบไม่ให้เครดิตด้วย (หนังซื้อลิขสิทธิ์มาสร้าง แต่ Scorsese ไม่เคยพูดถึงว่าหนังฉบับฮ่องกงเคยมีตัวตนอยู่เลย) หนังรวมนักแสดงมากฝีมือทั้งรุ่นใหญ่รุ่นกลาง ทั้ง Jack Nicholson, Leonardo DiCaprio, Matt Damon, Mark Wahlberg และ Martin Sheen

Brad Pitt and Leonardo DiCaprio friendship timeline and best ...
สองเพื่อนซี้เคยเกือบจะได้เจอกันในหนัง มาตั้งแต่ 10 ปีก่อน Once Upon a Time… In Hollywood (2019)
Brad Pitt, George Clooney, and Matt Damon in Ocean's Thirteen (2007)
Matt Damon และ Brad Pitt ก็เคยร่วมงานกันมาแล้ว 3 เรื่องในไตรภาคของ Ocean’s Eleven (2001-2007)

ถ้าไม่นับการร่วมแสดงในหนังไตรภาค Ocean’s Eleven (2001-2007) ของ Pitt และ Damon คนหลังก็มารับเล่นบทแทนคนแรกอยู่หลายครั้ง เช่นเดียวกันใน The Departed Brad Pitt คือผู้อำนวยการสร้างของหนังร่วมกับ Brad Grey ที่เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์มากรีเมก และตั้งใจจะนำแสดงเองในบท Colin Sullivan ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตัวละครของ Leo จนกระทั่ง Martin Scorsese ก้าวเข้ามากำกับ และได้พูดคุยกับ Pitt ว่า บทนี้ควรจะเด็กกว่าที่ Pitt จะมารับบท เพราะต้องแสดงเป็นตำรวจที่เพิ่งเรียนจบและกระหายจะเข้าสู่วงการมาเฟีย Pitt ที่เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2007 ว่า เขาก็เห็นด้วยกับแนวคิดนั้น สุดท้ายผู้ที่มารับบทนี้ไปก็คือ Matt Damon

Image gallery for The Departed - FilmAffinity
Matt Damon และ Leonardo DiCaprio ใน The Departed (2006)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น About a Boy (2002)

ในสามคนนี้ DiCaprio และ Bale นั้นไม่เล่นหนังรักโรแมนติกหรือหนังรอมคอมเลย จะมีก็ Brad Pitt ที่ในยุค 90s ก็เล่นหนังแนวนี้ไว้หลายเรื่อง (ด้วยเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาและเป็นพระเอกชวนฝันของสาว ๆ ในยุคนั้น) หนังรอมคอมอารมณ์ดีของสองพี่น้องผู้กำกับ Chris และ Paul Weitz ที่ดัดแปลงหนัง About a Boy จากหนังสือฮิต เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีงานทำและอยากจะอุปโลกตัวเองเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากรัฐ เช่นเดียวกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยจะต้องรับมือกับตัวละครเด็กชายแสนกวน (รับบทโดย Nicholas Hoult ตอนเด็กที่มาดังจาก X-Men (2011-2019)) Pitt ถูกเสนอบทนี้แต่เขาปฏิเสธไป หนังเลยได้เจ้าพ่อหนังโรแมนติกของอังกฤษ Hugh Grant จาก Notting Hill (1999) มาเล่นแทน (Pitt มารับเชิญ (ถ้านับได้ว่าเขาแสดงนะ) ในฉากบนหน้าปกนิตยสาร Esquire)

Hugh Grant, Toni Collette, and Nicholas Hoult in About a Boy (2002)
Nicholas Hoult และ Hugh Grant ใน About a Boy (
Brad Pitt and Julia Roberts in The Mexican (2001)
Brad Pitt ก็เคยเล่นหนังโรแมนติก อย่างในเรื่อง The Mexican (2001) ประกบ Julia Roberts

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น The Bourne Identity (2002)

หนังสายลับเรื่องฮิตของทศวรรษ 2000s ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของหนังสายลับเรื่องอื่น ๆ ทั้ง James Bond และ Mission Impossible ให้เน้นความสมจริงไปด้วย (ส่วนหนึ่งก็เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนด้วย) ก็คือ The Bourne Identity ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าหนังจะฮิต เพราะผู้กำกับ Doug Liman ยังไม่เคยกำกับหนังดัง ๆ เลย และหนังสายลับเรื่องนี้ก็ไม่มีนักแสดงดัง ลงทุนด้วยงบ 60 ล้าน ที่ดังอย่างเดียวคือการสร้างจากนิยายขายดีของ Robert Ludlum

The Bourne Identity (2002) เป็นอีกเรื่องที่ Matt Damon ได้เล่นแทน Brad Pitt

การตัดสินใจที่แทงหวยผิดที่สุดเรื่องหนึ่งของ Pitt ก็คือ การปฏิเสธจะรับเล่นหนังเรื่องนี้แล้วไปเล่นหนังสายลับแนวเก่าเหมือนยุค 9Os อย่าง Spy Game (2001) ซึ่งจะว่า Pitt ก็ไม่ถูกนัก เนื่องจากหนังก็มีภาษีดีกว่าในทุกทางไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ Tony Scott จาก Top Gun (1986) และ Days of Thunder (1990) รวมถึงนักแสดงนำอีกคนก็คือ Robert Redford แต่สุดท้ายหนังกลับล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ส่วน Pitt นั้นก็ได้กลับมาร่วมงานกับ Liman อีกครั้งในหนังคู่รักสายลับ Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่นักแสดงกลายเป็นคู่ร้างไปแล้วในวันนี้

Brad Pitt and Robert Redford in Spy Game (2001)
Brad Pitt และ Robert Redford ใน Spy Game (2001)
Brad Pitt and Angelina Jolie in Mr. & Mrs. Smith (2005)
Angelina Jolie กับ Brad Pitt ตอนปลูกต้นรักกันใหม่ ๆ ใน Mr. & Mrs. Smith (2005)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น Spider-Man (2002)

Spider-Man ฉบับแรกของ Sam Raimi ถือเป็นภาพยนตร์แอ็กชันฮีโรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนเป็นใบเบิกทางให้หนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องอื่น ๆ ในทศวรรษ 00s-10s ซึ่งบทบาทไอ้แมงมุมก็แจ้งเกิด Tobey Maguire ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บทบาทนี้เคยถูกเสนอให้ Leonardo DiCaprio มาก่อน เขาเคยให้สัมภาษณ์กับรายการ The ShortList ว่า ถูกติดต่อให้มารับบทนี้และเขาได้ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลเหมือนตอนที่ปฏิเสธบท Robin ใน Batman Forever (1995) นั่นคือ เขาไม่ชอบใส่สูทรัด ๆ ของซูเปอร์ฮีโร เราก็คงไม่ได้เห็นเขาในหนังซูเปอร์ฮีโร เพราะไม่ใช่หนังแนวถนัดของเขานั่นเอง ส่วน Maguire และ DiCaprio ที่เป็นเพื่อนกันในชีวิตจริงก็ได้โคจรมาเล่น The Great Gatsby (2013) ในที่สุด

Tobey Maguire ใน Spider-Man (2002)
Leonardo DiCaprio, Tobey Maguire, and Elizabeth Debicki in The Great Gatsby (2013)
The Great Gatsby (2013)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น Star Wars: Attack Of The Clones (2002)

บท Anakin Skywalker ที่เป็นตัวละครจุดศูนย์กลางของ 2 ไตรภาคแรกของ Star Wars นำแสดงไว้โดย Hayden Christensen ซึ่งเป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และหลังจากเล่นหนังเรื่องอื่นหลังจาก Star Wars อีกไม่กี่เรื่องก็หายไปจากวงการหนัง เขาถูกวิจารณ์อย่างมากว่าไม่เหมาะสมกับบทสำคัญนี้และแสดงอย่างไม่มีมิติ (มีข่าวว่าเขาอาจจะกลับมารับบทเดิมในซีรีส์ Obi-Wan ทาง Disney+) แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าได้ Leonardo มาเล่นบทนี้แทน

Natalie Portman and Hayden Christensen in Star Wars: Episode II - Attack of the Clones (2002)
Hayden Christensen และ Natalie Portman ใน Star Wars: Attack Of The Clones (2002)

ในการให้สัมภาษณ์ช่วงปี 2015 Leo ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเคยมีการพูดคุยกันระหว่างเขาและ George Lucas ผู้สร้างและผู้กำกับของ Star Wars และสุดท้ายเขาก็ได้ตอบปฏิเสธไปว่า เขายังไม่พร้อมที่จะมารับบทสำคัญของแฟรนไชส์นี้ ณ เวลานั้น ทำให้ Christensen ที่เล่นหนังมาบ้างอย่าง Life as a House (1999) คว้าบทนี้ไปเแทน ส่วน DiCaprio ในปีที่ Star Wars ภาค 2 เข้าฉาย เขาก็ไปได้ดีกับหนังสองเรื่อง นั่นคือ Gangs of the New York ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ Martin Scorsese (และกลายเป็นคู่บุญกันตั้งแต่นั้น) และ Catch Me If You Can ของผู้กำกับ Steven Spielberg

Leonardo DiCaprio, Daniel Day-Lewis, and Gary McCormack in Gangs of New York (2002)
DiCaprio และ Daniel Day-Lewis ใน Gangs of the New York (2002)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น American Psycho (2000)

บทนี้อาจจะวนเวียนอยู่ในลิสต์รายชื่อของนักแสดงในบทความนี้ เพราะครั้งหนึ่ง DiCaprio ก็เคยเกือบจะได้สวมบทฆาตกรโรคจิต Patrick Bateman ที่ Christian Bale มารับบทเอาไว้ในท้ายที่สุด บทนี้เป็นบทจิตหลุดที่ต้องใช้พลังในการแสดงมาก แน่นอนว่าต้องใช้นักฝีมือมากความสามารถมาเล่น บทบาทนี้ได้เคยถูกเสนอให้ DiCaprio เล่นมาก่อน แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธบทนี้

Christian Bale in American Psycho (2000)
Christian Bale ใน American Psycho (2000)

อย่างในอดีตนั้น Marry Harron ผู้กำกับที่มาแทนที่ Oliver Stone ผู้กำกับสายเครียดคนก่อนที่ถอนตัวไป ก็บอกว่า DiCaprio นั้นถอนตัวไปตั้งแต่มีแนวคิดสร้างสรรค์ต่อหนังและตัวละครนี้ไม่ตรงกับผู้กำกับ Stone ก่อนที่เธอจะเข้ามาทำหนัง ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว Guinevere Turner หนึ่งในมือเขียนบทก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในโอกาสที่หนังจะครบรอบ 20 ปีว่า จริง ๆ แล้วเหตุผลที่ DiCaprio ไม่ยอมรับเล่นเป็นเพราะมีคนเตือนเขาว่า บท Bateman นั้นจะเต็มไปด้วยความรุนแรงโดยเฉพาะกับผู้หญิงด้วย เลยทำให้เขา ไม่เสี่ยงจะเสียภาพลักษณ์และความนิยมจากการมารับบทฆาตกรโรคจิตสุดโหดคนนี้

Leonardo DiCaprio and Danièle Watts in Django Unchained (2012)
DiCaprio ก็มารับบทนายจ้างสุดโหดในหนัง Django Unchained (2012)

Brad Pitt และ Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น The Matrix (1999)

หนังไซไฟสุดล้ำที่มาก่อนกาลตั้งแต่ปี 1999 ด้วยเนื้อหาเข้าใจยากและไม่ง่ายที่จะทำรายได้และโ่ด่งดังจึงไม่แปลกที่ดาราระดับแนวหน้าหลายคนจะอ่านบทแล้วขอปฏิเสธไม่เล่นดีกว่า ซึ่งกับ Pitt และ DiCaprio นั้นต่างก็เคยเข้าชื่อได้รับการเสนอบทบาท Neo ที่สุดท้ายตกเป็นของ Keanu Reeves และกลายเป็นบทบาทที่ดังที่สุดของเขาไป Pitt นั้นเพิ่งออกมาบอกช่วงต้นปีนี้เองว่า ทีมงานเคยเสนอบทนี้ให้เข้า “ผมเลือกยาเม็ดสีแดง” ซึ่งหมายถึงการกลับเข้าไปในโลกเสมือนต่อไป (ไม่เหมือน Neo เลือกในหนัง) Pitt บอกว่า เขามองไม่เห็นว่าตัวเองจะเหมาะสมได้กับบทนี้ และเลือกจะไปเรีบเล่นหนัง Fight Club ของ David Fincher ในเข้าฉายในปีเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดมากนัก

Brad Pitt, Paul Dillon, and Holt McCallany in Fight Club (1999)
Brad Pitt ใน Fight Club (1999)

“ชวนอ่าน “รู้หรือไม่? นักแสดงคนไหน เคยปฏิเสธบท Neo ใน The Matrix ก่อน Keanu Reeves

Keanu Reeves in The Matrix (1999)

ส่วน DiCaprio นั้นก็เคยถูกเสนอชื่อจากผู้อำนวยการสร้างชื่อดัง Lorenzo di Bonaventura โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่า Leo ได้มาพบและพูดคุยกับสองพี่น้อง Wachowski ผู้กำกับแล้ว และเมื่อได้รู้ว่าหนังอุดมไปด้วยฉากคอมพิวเตอร์กราฟิกและเทคนิคพิเศษมากมาย เขาจึงขอปฏิเสธบทนี้เพราะยังเบื่อกับการต้องแสดงในฉากเทคนิคพิเศษเยอะ ๆ อย่างที่เพิ่งผ่าน Titanic (1997) มา ถ้า The Matrix สร้างในอีก 13 ปีให้หลัง DiCaprio ก็อาจจะรับเล่นก็ได้ เพราะ Inception (2010) ก็เทคนิคพิเศษจากคอมพิวเตอร์ไม่น้อยเลย ส่วนในช่วงเวลานั้น DiCaprio ก็ไปเล่นหนัง The Beach (2000)

Leonardo DiCaprio in The Beach (2000)
The Beach (2000)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น The Talented Mr. Ripley (1999)

ก่อนที่จะมาเล่นเป็นบทตัวร้ายของเรื่องใน Django Unchained (2012) หรือตัวเอกที่มีภาพลักษณ์ร้าย ๆ ใน The Wolf of Wall Street (2013) DiCaprio ก็เคยเกือบได้เล่นบทตัวร้ายตาใสในหนัง The Talented Mr. Ripley ของผู้กำกับ Anthony Minghella ที่เล่าเรื่องความลึกลับของ Tom Ripley มหาเศรษฐีที่เป็นตัวละครศูนย์กลางของเรื่อง ประกบกับนักแสดงหลายคน Gwyneth Paltrow, Jude Law, Cate Blanchett และ Philip Seymour Hoffman สำนักข่าว The Guardian ได้เคยรายงานว่า บทนี้เคยถูกเสนอใหกับ DiCaprio มาก่อน แต่เขาได้บอกผ่านเพื่อจะไปแสดงหนังอีกเรื่องอย่าง The Beach (2000) ของผู้กำกับ Danny Boyle ทำให้บทนี้ตกเป็นของ Matt Damon เพื่อร่วมจอของเขาจาก The Departed (2006)

The Talented Mr. Ripley (1999)
The Beach (2000)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น Apollo 13 (1995)

Apollo 13 คือหนังที่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ออสการ์ยอดเยี่ยมและอีก 8 สาขา และคว้ามาได้ 2 สาขาคือ ผสมเสียงยอดเยี่ยมและตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม สามนักแสดงนำ Tom Hanks, Kevin Bacon และ Bill Paxton รับบทเป็นนักบินอวกาศที่ต้องหาทางเอาตัวรอดระหว่างติดอยู่ในยานอวกาศ ระหว่างที่เดินทางกลับโลกแล้วเกิดปัญหายานไปต่อไม่ได้

Kevin Bacon, Tom Hanks, and Bill Paxton in Apollo 13 (1995)
Bill Paxton, Tom Hanks และ Kevin Bacon ใน Apollo 13 (1995)

ในตอนให้สัมภาษณ์กับรายการ The Morning Call นั้น Pitt ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเกือบจะได้เล่นบทของหนึ่งในนักบินอวกาศที่ Kevin Bacon แสดงเอาไว้ แต่สุดท้ายปฏิเสธไปเพราะอยากจะไปเล่นหนังฟิล์มนัวร์ Se7en (1995) ของ David Fincher มากกว่า ซึ่งสุดท้ายเรื่องนั้นก็เป็นหนังดังอีกเรื่องของ Pitt เอาเป็นว่าจะไปเล่นเรื่องไหนก็ดังทั้งคู่ และอีก 24 ปีให้หลัง Pitt ก็ได้สวมบทเป็นนักบินอวกาศเสียทีในหนังที่อำนวยการสร้างอย่าง Ad Astra (2019)

Brad Pitt and Kevin Spacey in Se7en (1995)
หนังอาชญกรรมฟิล์มนัวร์ที่มีตอนจบสุดช็อค Se7en (1995) หนึ่งในหนังฮิตของ Brad Pitt
Brad Pitt in Ad Astra (2019)
Ad Astra (2019)

Leonardo DiCaprio เกือบเคยได้เล่น Batman Forever (1995)

Batman 2 ตอนที่ดูครหาว่าแย่ที่สุดอย่าง Batman Forever (1995) และ Batman & Robin (1997) เพราะถูกสร้างมาอย่างแฟนตาซีหลุดโลกโดยผู้กำกับ Joel Schumacher ผู้ล่วงลับ เวอร์ชันนี้คือเวอร์ชันที่แบตสูทมีหัวนมให้โดนล้อกันไปอีกนาน ในตอน Batman Forever เป็นการเปิดตัวผู้ช่วยคนสำคัญของ Batman นั่นก็คือ Robin ซึ่งได้นักแสดงวัยรุ่นสุดฮอต ณ เวลานั้นอย่าง Chris O’Donnell มารับบทนี้ทั้งสองภาค หากย้อนไปภาคก่อนหน้าของผู้กำกับ Tim Burton เคยมีการวางเอาไว้ให้นักแสดงผิวดำ Marlon Wayans

Chris O'Donnell in Batman Forever (1995)

Schumacher ได้เคยพูดคุยกับ DiCaprio ในการทาบทามให้มาเล่นบท Robin นั่นเป็นตอนก่อนที่เขาจะโด่งดังเป็นพลุแตกจาก Titanic (1997) จากการสัมภาษณ์ในรายการ The ShortList DiCaprio เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมได้พูดคุยกับ Schumacher เขาเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ แต่ผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมสำหรับบทนั้น” มีข่าวว่าที่ Leo ไมอยากรับบทนี้ จริง ๆ แล้วเพราะเขาไม่อยากเล่นหนังซูเปอร์ฮีโรมากกว่า ค่าย Warner เคยมีแผนจะสร้างหนัง Robin แยกเดี่ยวด้วย แต่พอหนังล้มเหลวทางรายได้ในภาค Batman & Robin โครงการก็ล้มพับไป

ปี 1995 Leonardo DiCaprio เล่น The Basketball Diaries กับ Mark Wahlberg เพื่อนร่วมจอ The Departed (2006)

Brad Pitt เกือบเคยได้เล่น The Shawshank Redemption (1994)

หนังคลาสสิกในตำนานอีกเรื่องที่ตอนเข้าฉายไม่ทำเงิน แต่ก็เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา กลายเป็นหนังที่ผู้คนยกย่องในภายหลัง สำหรับหนังต้นทางของประเภทหนังแหกคุก ผลงานของผู้กำกับ Frank Darabont และยังได้ชื่อว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการดัดแปลงนิยายของนักเขียนดัง Stephen King มาทำเป็นหนังด้วย

Morgan Freeman, Gil Bellows, and Brian Libby in The Shawshank Redemption (1994)
Gil Bellows ผู้มารับบทเป็น Tommy บนจอใหญ่ของ The Shawshank Redemption (1994)

Brad Pitt นั้นเคยมีชื่อว่าจะมาแสดงเป็นตัวละคร Tommy เด็กวัยรุ่นที่เข้ามาอยู่ในคุกและพระเอก Andy Dufresne ที่รับบทโดย Tim Robbins พยายามสอนวิชาความรู้ให้กับเขาเพราะหวังว่าจะกลับตัวเป็นคนดีได้ แต่ความหดหู่ก็อย่างที่ใครเคยดูคงจำได้ว่า จุดจบของ Tommy นั้นกลายโศกนาฏกรรม Pitt ปฏิเสธบทนี้เพื่อไปเล่นเข้าคู่กับ Tom Cruise ในหนัง Interview with the Vampire (1994) ซึ่งหนังก็ไม่ถึงกับขาดทุนแต่ไม่ค่อยถูกใจนักวิจารณ์มากเท่าไร Pitt เคยให้สัมภาษณ์หลังถูกถามว่าเสียดายกับบทในหนังเรื่องนี้หรือไม่ เขาตอบว่า “ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุผลของมันเสมอ”

Brad Pitt, Tom Cruise, and Kirsten Dunst in Interview with the Vampire: The Vampire Chronicles (1994)
Kirsten Dunst, Brad Pitt และ Tom Cruise ใน Interview with the Vampire (1994)

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส