จากงานเพลงใน 2 อัลบั้มก่อนดูเหมือนว่า LANY จะมีฉากหลังเป็นเมืองใหญ่อย่างแอล.เอ.และนิวยอร์ก อันเป็นที่มาของชื่อวง (LA+NY) ไปแล้ว คราวนี้ก็เลยได้เวลากลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดเสียที ในงานเพลงชุดใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Mama’s Boy’

‘Mama’s Boy’ งานเพลงชุดที่ 3 ของวงอัลเทอร์เนทีฟพอปขวัญใจมหาชน ‘LANY’ คือการพาเรากลับไปยังกลิ่นอายและบรรยากาศของถิ่นฐานบ้านเกิดของพอล ไคลน์ นักร้องนำของวงนั่นคือ ‘โอคลาโฮมา’ แดนดินถิ่นเมืองใต้ของอเมริกา บ้านเกิดเมืองนอนที่หล่อหลอมเขาให้กลายเป็นตัวเองในวันนี้ดังที่ ไคลน์ได้ร้องเอาไว้ในเพลง ‘cowboy in LA’ ว่า ‘Oklahoma, it made a man out of me’  ซึ่งสะท้อนรากฐานความเป็นชาวใต้ของพอล ไคลน์ออกมา บทเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้ม ‘Mama’s boy’ ให้บรรยากาศที่อบอุ่น อ่อนหวานและจริงใจ บทบาทของกีตาร์ในอัลบั้มนี้มีความโดดเด่นกว่าอัลบั้มที่ผ่าน ๆ มาโดยเฉพาะการเล่นในสไตล์คันทรี่ อเมริกาน่า หรือว่าโฟล์กที่คลุกเคล้าเข้าไปในท่วงทำนองพอปของหลายบทเพลงในอัลบั้มนี้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีที่สะท้อนอิทธิพลของดนตรีแนวนี้ไม่ว่าจะเป็น อะคูสติกกีตาร์ สไลด์กีตาร์ หรือว่าฟลูเกิลฮอร์น ถ่ายทอดความรู้สึกอันอบอุ่น อ่อนโยน และมีความเป็นกวีในคราวเดียวกัน

หากอัลบั้มแรก ‘LANY’ คือลำนำเพลงรัก ‘Malibu nights’ งานเพลงชุดที่ 2 คือท่วงทำนองแห่งความอกหัก ‘Mama’s Boy’ ก็คงเป็นการเดินทางกลับไปสู่บ้านหลังจากพวกเขาได้ท่องโลกมาเป็นเวลานาน กลับไปสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดอันเป็นรากฐานของท่วงทำนองอันไพเราะของพวกเขา ทุกท่วงทำนองจากอัลบั้มนี้จึงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจริงใจ อบอุ่น และบริสุทธิ์ ราวกับ LANY ได้พาเรากลับบ้านไปพร้อมกับพวกเขานั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน ฟังเขาเล่าเรื่องราวจากความทรงจำและประสบการณ์ในอดีต ก่อนจะพาเราหลับใหลอยู่ในห้องหับอันอบอุ่นของบ้านหลังนี้

3 หนุ่ม LANY พอล ไคลน์ ร้องนำ/กีตาร์/คีย์บอร์ด) , เลส พรีสต์ (กีตาร์/คีย์บอร์ด) และ เจค กลอส (กลอง)

ในด้านหนึ่งบทเพลงอันอ่อนโยนจาก Mama’s boy พร้อมที่จะพาเราล่องลอยไป แต่ในอีกด้านอัลบั้มชุดนี้ก็มีเพลงที่จะพาเราโดดไปอย่างสุดกำลังด้วยเหมือนกัน เป็นบทเพลงเพราะ ๆ ที่ยิ่งใหญ่เหมาะที่จะเล่นไลฟ์ในสเตเดียมใหญ่ ๆ สักทีกับท่วงทำนองอันเร้าใจและพลังอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้ปลดปล่อยออกมา อย่างเช่นเพลงแรกและซิงเกิลแรกเปิดอัลบั้ม ‘you!’

you!

เปิดมาด้วยอินโทรโหมโรงอารมณ์ก่อนส่งต่อมาที่บทเพลงรักเปิดอัลบั้มที่เป็นการสานต่อความหวานในสไตล์ของ LANY เพลงนี้พอล ไคลน์ได้พาตัวเองออกจากความเศร้าใน Malibu nights มาสู่ช่วงเวลาอันสดใสเมื่อใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิตของเราในช่วงเวลายากลำบากและได้เติมเต็มให้ชีวิตเรามีความสุขสมบูรณ์ในหลาย ๆ ทาง You’re the sun to the moon / You’re my ocean painted blue / You, I’m nothing without you’ และแน่นอนว่าท่วงทำนองของบทเพลงนี้ช่างไพเราะและยิ่งใหญ่ พร้อมพาเราโลดแล่นออกไปด้วยพลังแห่งความรักกับเสียงกลองและกีตาร์อันแน่นหนักในสไตล์เพลงพอประดับสเตเดียมกับเสียงร้องของพอล ไคลน์ที่ได้เสียงประสานของเด็ก ๆ มาเสริมในช่วงท้ายของเพลง

cowboy in LA

บทเพลงนี้มีอารมณ์แบบคันทรี่อินดี้สะท้อนภาพความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน และครอบครัวที่ส่งผลต่อการก่อร่างสร้างตนให้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ พอล ไคลน์ถ่ายทอดความคิดถึง ความรู้สึกขอบคุณและเชิดชูอย่างสุดใจที่เขามีต่อครอบครัวและบ้านเกิดเคล้าลงไปในท่วงทำนองกีตาร์อะคูสติกอันงดงาม ภาพของคาวบอยในบทเพลงนี้มาจากช่วงเวลาในวัยเด็กของไคลน์ที่เติบโตขึ้นมาในโอคลาโฮมา นอกจากนี้เขายังมีรอยสักรูปหมวกคาวบอยอยู่ที่ไหล่ของเขาด้วย

heart won’t let me

แต่บางความสัมพันธ์เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่เรารู้ว่าถึงทางตัน ทางออกที่ดีคือคงต้องมีใครสักคนจากไปแต่ในหลาย ๆ ครั้งมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น ถึงแม้มีกุญแจอยู่ในมือ เท้าก้าวออกไปข้างหนึ่งที่ประตูแล้วก็ตาม แต่ทุก ครั้งที่พยายามทำเช่นนั้นดูเหมือนหัวใจจะไม่อนุญาตให้เราทำแบบนั้นได้โดยง่าย บทเพลงนี้ได้ถ่ายทอดอารมณ์มันกระอักกระอ่วนนี้ออกมาด้วยท่องทำนองอันงดงามคลอเคล้าไปด้วยลูกเล่นกีตาร์อันน่าสนใจที่ไหลไปกับท่วงทำนองเสนาะหูและเสียงกลองหนักแน่นที่เติมเข้ามาเพิ่มอารมณ์ให้กับบทเพลง

if this is the last time

บทเพลงนี้คือจดหมายรักสำหรับคนในครอบครัวที่ได้บอกให้เรารู้ว่าทุกช่วงเวลาที่มีให้กันนั้นมีความสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นจงดูแลมันให้ดีที่สุดราวกับช่วงเวลาเหล่านี้คือวินาทีสุดท้าย ทำนองอันอบอุ่นของบทเพลงเริ่มต้นจากเสียงกีตาร์อะคูสติกอันไพเราะก่อนที่เสียงกลอง กีตาร์ไฟฟ้า และส่วนผสมทางดนตรีอันกลมกล่อมจะถูกเติมเต็มเข้ามาคลอเคล้าเข้าไปในเสียงร้องของพอล ไคลน์ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์

I still talk to jesus

‘I still talk to jesus’ คือบทเพลงที่ LANY พาเราดำดิ่งเข้าไปสู่ภายในจิตใจของพอล ไคลน์ ผ่านทำนองไพเราะจากเสียง church Organ และเสียงร้องประสานกอสเปล ให้ความรู้สึกในท่วงทำนองของบทเพลงศาสนาแต่ว่ามีความร่วมสมัยในแบบเพลงพอป  วัยรุ่นหลายคนน่าจะเข้าใจความรู้สึกในเพลงนี้ที่พอล ไคลน์ต้องการจะถ่ายทอดออกมาว่าถึงแม้ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเค้าจะทำเรื่องแย่ ๆ อะไรไว้บ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ดี เขาก็ยังคุยกับพระเยซูอยู่ตลอดเวลานั่นหมายความว่าคนเรามันก็ต้องมีลองผิดลองถูกกันบ้าง ชีวิตมีเพลี่ยงพล้ำกันได้แต่ถึงอย่างนั้นข้างในหัวใจก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปในเส้นทางอันถูกควร

paper

เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ไคลน์เขียนไว้สำหรับอัลบั้มนี้ บอกเล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่รักที่ในสายตาคนภายนอกนั้นพวกเขาอาจเป็นคู่รักตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบแต่หลังประตูบานนั้นที่มีเพียงคนทั้งคู่เท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะไม่ได้เป๊ะ อาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครเข้าใจ

good guys

ประโยค ‘Good Guys Never Win’ ในเพลงนี้อาจจะโดนใจคนที่ดีเกินไป บทเพลงอารมณ์ช้ำแบบตัดพ้อเล็ก ๆ เพลงนี้ได้ถ่ายทอดช่วงเวลาความสับสนในตนเองของใครคนหนึ่งที่พยายามเอาชนะใจของใครสักคนแต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าความดีที่มีนั้นไม่สามารถชนะใจใครได้เท่าไหร่ ไม่ว่าจะจริงใจแค่ไหนไม่ว่าจะดีเท่าไหร่  good guys ก็ never win นะจ๊ะ

sharing you

บทเพลงที่ถ่ายทอดความปวดใจในความสัมพันธ์ผ่านท่วงทำนองอะคูสติกที่ให้ความรู้สึกเศร้าลึก ๆ เหงา ๆ พองาม พูดถึงการที่จะให้ใครสักคนมารักเรานั้นก็คงบังคับใจใครไม่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่เห็นเธอต้องออกไปกับใครยิ่งเจ็บช้ำใจ มันคงยากนะกับช่วงเวลาที่ต้อง ‘แชร์เธอ’ ร่วมกับใคร

bad news

เปิดมาแบบเก๋ ๆ ด้วยเสียงร้องลอย ๆ ที่พอจะจับใจความได้ว่า ‘What are you waiting for?’ บทเพลงนี้ในแง่หนึ่งสะท้อนความรู้สึกของไคลน์ในช่วงเวลาที่วุ่นวายกับปัญหาในความสัมพันธ์ และภาระงานที่พัวพัน การที่จะต้องคบกับใครสักคนดูเหมือนว่าเขาคงจะไม่มีเวลาดูแลใครคนนั้นได้ดีแน่ ๆ ทำให้เขาอาจจะกลายเป็นข่าวร้ายสำหรับใครสักคน ในแง่หนึ่งเพลงนี้ก็พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่มันไม่เวิร์กจากสิ่งที่ควรจะดีก็ดูเหมือนกลายเป็นข่าวร้ายซะงั้น

when you’re drunk

ไม่รู้ว่าประโยค ‘คนเมาไม่เคยโกหก’ มันจะเชื่อได้แค่ไหน บทเพลงพอปร็อกเท่ ๆ ที่ซาวด์กีตาร์ให้ความรู้สึกของงานดนตรียุค 90s เพลงนี้พูดถึงช่วงเวลาที่ใครสักคนบอกความรู้สึกกับเรา เราจะเชื่อความรู้สึกนั้นได้ไหม หรือมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เธอพูดออกมาตอนเมาเท่านั้น

anything 4u

เพลงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพลงที่หวานที่สุดในอัลบั้มหรืออาจจะเป็นเพลงที่หวานที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพลงนี้พอล ไคลน์เล่าเรื่องราวของความรักในวัยเยาว์ที่ยังไม่สุกงอม เป็นความรักไร้เดียงสาในอารมณ์แบบ ‘เธอจะให้ฉันทำอะไรฉันก็ยอม ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ’ เป็นความรักอันบริสุทธิ์และร้อนแรงแบบนั้น

sad

น่าจะเป็นที่อกหักช้ำรักที่สุดในอัลบั้มแล้วกับความรู้สึกที่ว่าคนที่เราสนใจดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่ใจเราเลยเราเห็นเธอไปกับใครมันช่างบาดหัวใจเราเหลือเกินแต่พอเราอยากจะทำให้เธอเศร้าบ้าง แม้กระทั่งจะจูบใครต่อหน้าเธอ หวังให้เธอหึงหวง เธอก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่อาจเปลี่ยนใจเธอได้ เจ็บซ้ำเจ็บซากจริง ๆ เป็นความเศร้าที่เปี่ยมสีสันไปด้วยเสียงซินธ์ที่มีบทบาทอย่างเข้มข้นในเพลงนี้

(what i wish just one person would say to me)

การเดินทางบนเส้นทางแห่งความฝันเพียงลำพังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพลงนี้พอล ไคลน์ได้ถ่ายทอดความรู้สึกอันอ่อนไหวของการก้าวเดินไปสู่ฝัน ในช่วงเวลานั้นการได้ใครสักคนที่เข้าใจและได้มอบถ้อยคำดี ๆ เป็นกำลังใจให้กับเรานั้นคือสิ่งที่งดงามที่สุดแล้ว

nobody else

ประโยค ‘Life ain’t about what you do / It’s who you do it with’ คมคายมาก ใช่แล้วความหมายของชีวิตอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าเราทำอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราได้ทำมันกับใคร เพลงรักหวานเศร้าปิดอัลบั้มเพลงนี้ เหมือนเป็นถ้อยคำสำคัญที่เราบอกกับใครสักคน ว่าเราอยากให้เขามาร่วมเดินในชีวิตของเรา ใครสักคนคนนั้นที่เราต้องการและไม่ต้องการใครนอกจากเธอคนนี้เท่านั้น

เพลงนี้พอล ไคลน์เขียนร่วมกับแดน วิลสัน (ที่เคยเขียนเพลง ‘Someone Like You’ ร่วมกับ Adele) ถ่ายทอดลงไปในท่วงทำนองอะคูสติกสุดเหงาเคล้าไปกับเสียงเปียโนอ่อนหวานที่เติมลงมาและเสียงเครื่องเป่าที่ปลอมประโลมความเหงาในหัวใจให้มีความอบอุ่นซึ้งขึ้นมาในทันใด เป็นความหวานเศร้าที่ละมุนละไมไพเราะยิ่งนัก

ห้วงอารมณ์และเรื่องเล่าใน ‘Mama’s Boy’ ถึงแม้ว่าจะสกัดออกมาจากความทรงจำของ LANY แต่ทว่ามันก็ได้พาเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันงดงามของชีวิต และได้ทำให้เรารู้ว่าชีวิตที่เรามีในวันนี้ล้วนแล้วแต่เติบโตมาจากความทรงจำ ความรัก ความอบอุ่นงดงามจากชีวิตของเรา และจากประสบการณ์ที่ได้หล่อหลอมความเป็นเราจนทุกวันนี้ การได้สัมผัสกับบทเพลงจากอัลบั้มนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทำให้เราได้ดำดิ่งลงไปในจิตใจและห้วงทรงจำ กลับไปทบทวน กลั่นกรอง และสัมผัสกับเรื่องราวที่เคยประสบพบมาเหล่านั้น ก่อนที่จะพบกับคำตอบและทางเดินต่อไปในชีวิต ณ ปัจจุบันขณะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส