Release Date

12/01/2021

จำนวนตอน

23 ตอน

[รีวิว] Minning Town : ซีรีส์ชวนอบอุ่นหัวใจ หรือนี่คือ ‘Always’ เวอร์ชั่นจีน!?
Our score
9.0

[รีวิว] Minning Town : ซีรีส์ชวนอบอุ่นหัวใจ หรือนี่คือ ‘Always’ เวอร์ชั่นจีน!?

จุดเด่น

  1. ภาพสวยคม ฉากชวนตะลึงตรึงใจเยอะไปหมด
  2. จังหวะการเล่าเรื่องไม่ยืดยาด เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี
  3. การแสดงดี ตัวละครมีเสน่ห์

จุดสังเกต

  1. ยังไม่มีซับไทยและพากษ์ไทย ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมภาพงาม ๆ ไป
  2. ลงรายละเอียดค่อนข้างมาก ทำให้ช่วงแรกบทสนทนาแน่นไปหน่อย
  • ประเด็นและความน่าสนใจของเนื้อหา

    9.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    9.5

  • ตัวละครและการแสดง

    9.0

  • การเล่าและดำเนินเรื่อง

    8.8

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    8.5

หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์แนวอบอุ่น มอบความหวัง ที่มีฉากความทุกข์ยากให้ตัวละครต้องฝ่าฟันแนวเดียวกับ ‘Always : ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม’ ขอให้มากันทางนี้ เพราะเหมือนว่านี่จะเป็น ‘Always เวอร์ชันจีน’ ที่ไม่ได้เป็นภาพยนตร์ แต่เป็นซีรีส์ขนาดยาวที่ขยายความยากลำบาก และแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของตัวละครและเมืองไปพร้อม ๆ กันได้อย่างน่าติดตามมาก ๆ 

ซีรีส์ที่ว่า คือ ‘ไมนิ่งทาวน์ (Minning Town)’ หรือ ‘ซานไห่ฉิง’ (山海情 / Shan Hai Qing) ละครโทรทัศน์จีนเรื่องใหม่ ผลงานของผู้กำกับกงเส็ง (Kong Sheng) และ ซางโม่หลง (Sun Mo Long) เขียนบทโดย เกาม่านถัง (Gao Man Tang) เพิ่งออกอากาศไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา

ด้วยความถี่ในการออกอากาศที่ฉายทุกวันวันละตอน ทำให้ตอนนี้มีจำนวนตอนออกมาใกล้ครบ 23 ตอนแล้ว โดยในแต่ละตอนมีความยาว 45 นาที ค่อย ๆ เล่าถึงความยากจนข้นแค้นของชาวบ้านในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ที่สร้างบ้านใหม่ของตนขึ้นอย่างยากลำบาก ทำให้เห็นพัฒนาการของเรื่องทีละนิด ค่อย ๆ ซึมซับความอินเข้าไปเรื่อย ๆ

เนื้อหาดราม่าหนัก แต่ชวนติดตาม

ละครเรื่องนี้เปิดฉากมาด้วยภาพของความแร้นแค้นทุรกันดารในชนบทในช่วงต้นยุค 90 รัฐบาลจึงต้องการสร้างที่อยู่อาศัยและชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ชาวชนบท และสนับสนุนให้เกษตรกรอพยพย้ายถิ่นฐานออกจากเขตซีไห่กู้ หนึ่งในพื้นที่ที่ยากต่อการดำรงชีพมากที่สุดของประเทศ ที่ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย (Ningxia Hui Autonomous Region)

หม่าเดฟู (Ma Defu) (รับบทโดยหวงซวน Huang Xuan) นักศึกษาด้านการเกษตรจบใหม่ และเพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ชาวบ้านที่ยังคงหัวรั้นยืนหยัดจะอยู่ในที่ทำกินเดิม ย้ายไปยังที่ทำกินใหม่ที่รัฐบาลจัดหาให้ที่เรียกว่า ‘Yuquanying’ ในทะเลทรายโกบี แต่ด้วยสภาพของพื้นที่ที่อยู่กลางทะเลทรายนั้นมีความโหดร้าย ใครก็ตามที่ย้ายไปเข้าไปอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่ไม่อาจทนอยู่ได้ ต้องหนีออกจากพื้นที่กลับมายังแหล่งที่อยู่เดิมภายในไม่กี่วัน 

หม่าเดฟูจึงต้องพยายามให้พวกเขากลับไปอีกครั้งและอยู่ที่นั่นต่อ และเพราะความร่วมมือจากทั้งนโยบายของรัฐ ภาคประชาชนทั้งคนต่างเมือง คนในเมืองใกล้เคียง และความพยายามต่อสู้ชีวิต เอาชนะความยากลำบากของคนในเมืองเอง ก็ค่อย ๆ ทำให้เมืองกันดารแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป

ความร่วมมือที่ว่ามีทั้งการที่คณะกรรมการกลางพรรคได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างตะวันออกและตะวันตก ระบุให้มณฑลฝูเจี้ยนเข้าไปส่งเสริมงาน และบรรเทาความยากจนในหนิงเซี่ย ผู้เชี่ยวชาญจากฝูเจี้ยน จึงเดินทางมาที่หมู่บ้าน เพื่อสอนชาวบ้านให้ปลูกเห็ด และหารายได้จากเห็ด จากนั้น เรื่องก็ดำเนินให้เห็นภาพความพยายามของชาวบ้าน ในการเพาะปลูกและหาตลาดสำหรับเห็ด มีการสร้างความร่วมมือสร้างเงื่อนไขให้ชาวบ้านไปทำงานที่ฝูเจี้ยน นโยบายการบรรเทาความยากจนต่าง ๆ เริ่มเห็นผลมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ไมนิ่งทาวน์ เริ่มเติบโต ระบบสาธารนูปโภคต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาตามมา และผู้คนก็เริ่มย้ายถิ่นฐานเข้ามา พลิกโฉมเมืองข้นแค้นไปสู่เมืองที่มีชีวิตชีวาในที่สุด

(อ่านต่อหน้า 2 คลิกด้านล่างเลย)

คมจัดชัดสมจริง แต่ไม่น่าอดสู

ด้วยเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและต้องการสื่อสารในเห็นการตัดสินใจและต้นสายปลายเหตุในหลากแง่มุม จึงไม่แปลกที่เรื่องราวดังกล่าวจะถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบซีรีส์ขนาดยาว และแม้จะเปิดมาแบบรู้ทันทีว่านี่คือซีรีส์ที่อวยและเชียร์รัฐบาลจีนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อลองเปิดใจดู ๆ ไป ก็จะพบกับรายละเอียดที่ผู้กำกับใส่ใจชวนให้รู้สึกสมจริง สะท้อนสิ่งที่เป็นอยู่มากกว่า ไม่ใช่หลับหูหลับตาอวย หรือพยายามมุ่งให้เกิดความคลั่งรักชาติแต่อย่างใด 

ความสมจริงที่ว่าคือการเล่าถึงปัญหา ความยากลำบากและวิกฤตต่าง ๆ ที่คนในชนบทต้องเผชิญได้อย่างแจ่มชัด ช่วยให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดคนที่ลำบากอยู่แล้ว จึงไม่อยากจะก้าวออกจากถิ่นฐานเดิม และสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตอย่างแท้จริงมันคือการฮึดสู้ การกล้าลองเสี่ยง การทำเพื่อผู้อื่น หรือเพราะอะไรกันแน่?  รวมถึงยังทำให้เรามองเห็นหนทางแก้ไขปัญหาที่มีแนวคิดคล้ายคลึง ‘เกษตรทฤษฎีใหม่’ หรือ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ อันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว ใกล้เคียงสภาพความเป็นอยู่และการทำมาหาเลี้ยงชีพในบ้านเราเองด้วย

เพื่อให้เรามีอารมณ์ร่วมและคิดตามไปด้วย การเล่าเรื่องของซีรีส์ในช่วงแรกจึงจัดหนักจัดเต็มบทสนทนายาวเยอะ อัดแน่นแบบจีนสไตล์มาก ๆ สำหรับเราผู้ต้องอ่านซับ จึงเท่ากับแย่งความสนใจจากงานด้านภาพไปไม่ใช่น้อย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ๆ เพราะแค่ภาพเปิดมาก็ชวนให้เราทึ่งและอยากจะซึมซับความงามไปหมดทุกภาพ แต่เมื่อเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ ปูเรื่องได้มากพอ บทสนทนาก็ลดลงโดยอัตโนมัติ มีการใช้ภาพและเสียงประกอบเข้ามาเล่าเรื่องแทนทำให้สมดุลในการเล่าเรื่องของซีรีส์เริ่มดีขึ้น เปิดโอกาสให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของเรื่องมากขึ้น 

ความสวยของงานภาพน่าประทับใจตั้งแต่อินโทรชอตเลยทีเดียว เพราะคุมโทนสีได้นัวและใช้ฉากการทำงานของชนชั้นแรงงานในทุ่งกว้างมานำเสนอผ่านฟิลเตอร์เอฟเฟกต์รอยปัดแปรงในแบบเดียวกับศิลปินระดับโลกอย่างวินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh) ภาพการทำงานอันยากลำบากจึงเจือความรู้สึกอบอุ่นดูตรึงใจมีเสน่ห์ชวนติดตามในทันที แถมนี่ยังเป็นการใบ้กลาย ๆ ด้วยว่า ซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าในมุมมองใด 

และไม่ใช้แค่ภาพเปิด เพลงตอนจบในแต่ละตอนก็ยังเลือกใช้ภาพและโทนสีที่แสดงถึงชีวิตที่ดูสมบูรณ์พูนสุข นำเสนอผ่านฟิลเตอร์เอฟเฟกต์ที่มีรอยฝีแปรง เป็นการใบ้ไปถึงปลายทางของซีรีส์ด้วยเช่นกัน

สำหรับงานภาพในซีรีส์ก็เรียกได้ว่าไม่เสียทีที่เปิดมาอย่างสวย เพราะในเรื่องนอกจากจะไปถ่ายทำที่สถานที่จริง ยังเลือกใช้มุมงาม ๆ ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฉากที่แสดงทัศนียภาพหรือภูมิทัศน์ ยิ่งงดงามดูทรงพลังเป็นพิเศษ  และเพราะเป็นซีรีส์ยาว จึงสามารถทำให้เรารู้สึกเสมือนได้เข้าไปอยู่ที่นั่น และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวเมืองจริง ๆ ทำให้อยากจะลุ้นเอาใจช่วยตลอดเรื่อง และอินไปกับตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

(อ่านต่อหน้า 3 คลิกด้านล่างเลย)

โดดเด่นด้วยตัวละครชวนเรียกน้ำตา

สำหรับตัวละครต่าง ๆ นั้น หม่าเดฟูนับเป็นตัวละครหลักอย่างแท้จริง เขาคือคนที่แจกบทและเชื่อมตัวละครอื่น ๆ ให้เราให้เห็นความเชื่อมโยงต่าง ๆ ประหนึ่งเหมือนเราได้ดูชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นในมุมสูง การแสดงของแต่ละคนคือจุดหลักของเรื่องที่ทำให้ภาพของ Always ผุดซ้อนขึ้นมาเลย เพราะมีตัวละครครบทุกช่วงวัย และแต่ละคนล้วนมีเสน่ห์ มีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาที่ผันผ่านไป ภาพของเมืองที่เปลี่ยนไปจึงเชื่อมกับการพัฒนาของตัวละครอย่างกลมกลืน

องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือน Always คือ โทนโดยรวมและจังหวะการเล่าเรื่อง สำหรับโทนโดยรวมนั้น แม้ภาพความรันทดอันเกิดจากความยากแค้นจะอัดแน่นอยู่เต็มเรื่อง แต่โทนสีและแสงที่ใช้ก็ชวนให้รู้สึกได้ถึง ‘ความหวัง’ ที่ซ่อนอยู่ได้โดยตลอด ไม่ใช่ความยากลำบากประเภทที่ทำให้เราอยากกดปิดเลิกดู ส่วนจังหวะการเล่าเรื่องนั้นก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ ลำดับได้ไหลลื่นมาก ๆ บางครั้งมีเหตุการณ์ที่เกิดซ้อน ๆ กัน แต่เพราะเลือกจะเล่าไล่ไทม์ไลน์ไปทีละจุด แล้วค่อย ๆ คลายไปทีละปมแบบไม่รีบ ทำให้เราได้เห็น ‘การร่วมมือร่วมใจ’ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเอาชนะใจ ‘ตัวเอง’ อันเป็นคำตอบให้ ‘เอาชนะความยากลำบาก’ ในที่สุด

ชื่อเรื่องในภาษาจีน ‘ซานไห่ฉิง’ นั้น มีความหมายตรงตัวว่า ‘ความรักของภูเขาและทะเล’ ในที่นี้ จึงเปรียบเสมือนความร่วมมือระหว่างมณฑลหนิงเซี่ยและฝูเจี้ยน ซึ่งเป็นมณฑลที่ต่างกัน แต่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่กันดารแห่งนี้ร่วมกันนั่นเอง

หากลูกคนจีนคนใดได้ชมเรื่องนี้ ก็จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ทำไมอากงอาม่าจึงอพยพมาประเทศไทย และทำไมคนจีนจึงสมัครสมานกลมเกลียวมาก ไม่ว่าจะไปอยู่อาศัยที่ใดในโลกนี้ เพราะนำเสนอสภาพความเป็นอยู่ได้ลึกซึ้ง สะท้อนถึงแนวคิด วิถีชีวิตและวัฒนธรรมเดิมที่ฝังรากลึกในใจคนในชนชาตินี้ได้เป็นอย่างดี

และด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราจึงรู้สึกได้ว่านี่คือ Always เวอร์ชันจีน และเป็นอีกหนึ่งซีรีส์คุณภาพ ที่ไม่ว่าชาติใดก็ดูได้ และควรค่าแก่การติดตามอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

สำหรับใครที่อยากตามชม สามารถตามไปดูกันได้ที่ช่องทาง  NewTV热播剧场 Hit Drama และ Chinese Drama HQ ปัจจุบันมีเพียงซับภาษาจีนและภาษาอังกฤษ แต่คาดว่าหลังออกอากาศจบและด้วยกระแสที่ฮิตปังอย่างมาก (อ่านรายละเอียดความฮิตของซีรีส์เรื่องนี้ได้ในข่าวนี้) จนเริ่มมีชาวต่างชาติเข้าไปเรียกร้องของซับภาษาอังกฤษต่อเนื่อง (เพราะปัจจุบันเพิ่งแปลมาเพียง 2 ตอนเท่านั้น) และไม่แน่ก็อาจจะมีการแปลเป็นภาษาไทยในอนาคตก็ได้

และอันที่จริงสถานีโทรทัศน์บ้านเราก็น่าจะซื้อมาฉายบ้างนะ ฟอร์มยักษ์เนื้อหาดราม่าอัดแน่นขนาดนี้ น่าจะปังในไทยได้เหมือนกันนะ

อ้างอิง

cdramalove.com

mydramalist.com

xinhuathai.com

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส