Spider-Man ซูเปอร์ฮีโรผู้มีใยแมงมุมเป็นอาวุธหลัก และเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ผู้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโรที่ได้รับความนิยมที่สุดของทางฝั่งมาร์เวล นับถึงวันนี้ Spider-Man ก็มีอายุ 59 ปีแล้ว นับตั้งแต่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1962 จักรวาลการ์ตูนของมาร์เวล ก็มี Spider-Man ออกมาแล้ว 14 เวอร์ชัน รวมแล้วมีหนังสือการ์ตูน Spider-Man มากกว่า 500 เล่ม กลายเป็นตัวการ์ตูนที่มีค่ามากที่สุดของมาร์เวล โดยที่เป็นเอกลักษณ์ของทางฝั่งมาร์เวลแบบเพียว ๆ เพราะไม่มีซูเปอร์ฮีโรที่มีพลังคล้ายคลึงกันกับทางฝั่งดีซี แน่นอนว่าระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ ย่อมมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นกับ Spider-Man มากมาย หลาย ๆ เรื่องก็ไม่ได้ถูกนำมาขยายต่อในเวอร์ชันภาพยนตร์ ถึงตรงนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยก 15 เรื่อง สุดประหลาดที่เชื่อว่าแฟน ๆ Spider-Man น่าจะยังไม่เคยรับรู้กันมาก่อน

1.สแตน ลี ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ Spider-Man มาจากแมลงวัน

หลังจากที่สแตน ลี สร้างสรรค์ ‘Fantastic Four’ ออกมาในปี 1961 แล้วเป็นซูเปอร์ฮีโรที่ได้รับความนิยม ปีถัดมา ลีจึงพยายามขบคิดหัวแทบแตกว่าเขาจะสร้างสรรค์ซูเปอร์ฮีโรตัวใหม่ออกมาอย่างไร ให้น่าสนใจ และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ยังคิดไม่ออก จนมีแมลงวันบินเข้ามาในห้องทำงานของเขาที่มาร์เวล แล้วเจ้าแมลงวันตัวนั้นก็บินไปเกาะที่กำแพง ลีจ้องไปที่แมลงวันแล้วก็ “ปิ๊ง” ไอเดียขึ้นมา ใช่สิ ฉันจะต้องสร้างซูเปอร์ฮีโรที่มีพลังพิเศษในการเกาะและไต่กำแพงได้ แต่ในตอนนั้นยังไม่มีชื่อและรายละเอียดที่ลงลึกแต่อย่างใด ในหัวของลีมีเพียงแค่ ‘ชายที่เกาะกำแพงได้’ แต่ลีรู้แล้วละว่าไอเดียนี้ของเขา จะต้องกลายเป็นของล้ำค่า เขาก็เลยพยายามสานต่อไอเดียด้วยการตั้งชื่อหลากหลายว่า Insect-Man, Fly-Man, และ Mosquito-Man ลีคิดชื่อซูเปอร์ฮีโรเป็นแมลงออกมาเต็มไปหมด จนมาเจอตัวสุดท้ายที่ลีคิดว่า ชื่อนี้ละเข้าท่าที่สุดแล้ว และนั่นคือจุดกำเนิดของ “Spider-Man”

ลีรีบตรงไปหา สตีฟ ดิตโก (Steve Ditko) ศิลปินนักเขียนการ์ตูนของมาร์เวล เล่าไอเดียของเขาให้ฟังว่า สไปเดอร์-แมน คือเด็กหนุ่มที่ได้รับพลังพิเศษจากแมงมุม โดยที่ตัวเขาไม่เต็มใจนัก ดิตโกได้ฟังแล้วก็นำไปสร้างสรรค์ต่อให้ออกมาเป็นภาพ ขั้นตอนสุดท้าย สแตน ลี ก็นำภาพต้นแบบของดิตโก ไปเสนอกับ มาร์ติน กู๊ดแมน (Martin Goodman) ประธานมาร์เวลในขณะนั้น ซึ่งก็ได้รับคำตอบมาทันทีว่า “นี่มันเป็นไอเดียซูเปอร์ฮีโรที่เลวร้ายที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลยนะ”

ที่กู๊ดแมนกล่าวเช่นนั้นก็เพราะเขามองว่า แมงมุม เป็นแมลงที่น่ากลัว แล้วคนส่วนใหญ่ก็เกลียดกลัวแมงมุม บวกกับการเขียนให้ตัวตนจริงของซูเปอร์ฮีโรผู้นี้เป็นเด็กวัยรุ่น ซึ่งรูปแบบนิยมของวงการซูเปอร์ฮีโรในยุคนั้น วัยรุ่นชายมักจะมีสถานะเป็นผู้ช่วยของซูเปอร์ฮีโรตัวจริง แบบ โรบิน กับ แบทแมน อะไรแบบนั้น มาร์ติน กู๊ดแมน จึงมองว่าไอเดียของสแตน ลี ที่มีทั้งแมงมุมและวัยรุ่นชายจึงเป็นไอเดียที่ไม่น่าประสบความสำเร็จ

The Amazing Spider-Man #1

แต่สแตน ลี และ สตีฟ ดิตโก ก็ยังอาลัยอาวรณ์กับไอเดียนี้ของเขา จึงไม่โอนอ่อนต่อคำปฏิเสธของกู๊ดแมนแต่โดยดี แต่หาทางแจ้งเกิด สไปเดอร์-แมน ให้จงได้ จนโอกาสมาถึงเมื่อ มาร์เวลสั่งยกเลิกหนังสือการ์ตูนซีรีส์ ‘Amazing Fantasy’ สแตน ลี มองว่าไหน ๆ การ์ตูนก็มาถึงเล่มสุดท้ายแล้ว เลยรวมหัวกับดิตโกแอบใส่ สไปเดอร์-แมน ลงไปในเรื่องราวเล่มสุดท้ายนี้เป็นการชิมลาง ผลคือประสบความสำเร็จตามคาด แฟน ๆ ชอบสไปเดอร์-แมน และส่งเสียงเรียกร้องว่าอยากเห็นซูเปอร์ฮีโรรายนี้อีก มาร์ติน กู๊ดแมน จึงต้องยอมอ่อนให้ตามกระแสเรียกร้อง ปี 1963 จึงได้ฤกษ์คลอดหนังสือการ์ตูน The Amazing Spider-Man #1

2.เคยมี Spider-Man คนก่อนหน้า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ มาแล้ว

Journey Into Mystery #73

มาร์เวลเคยมีคาแรกเตอร์ที่คล้าย ๆ กับ สไปเดอร์-แมน มาก่อนหน้า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ต้องย้อนไปในยุค 50s ช่วงนั้นกระแสนิยมหนังสือการ์ตูนแนวสัตว์ประหลาดได้รับความนิยมอย่างมาก มาร์เวลก็เลยต้องยอมตามกระแสกับเขาบ้าง เลยคิดเรื่องราวให้มี แมงมุมตัวหนึ่งบังเอิญไปโดนกัมมันตภาพรังสี ทำให้แมงมุมตัวนี้ลุกขึ้นมาเดิน 2 ขาได้ พูดได้ แล้วมีชื่อว่า Man-Spider ตัวประหลาดนี้ได้ปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูน Journey Into Mystery #73 ออกวางแผงเมื่อปี 1961 แต่ Man-Spider นั้น ไม่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร แล้วมันก็ตายในตอนจบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่อง แมงมุมที่โดนกัมมันตภาพรังสีนั้น เป็นไอเดียพื้นฐานที่ถูกนำมาต่อยอดในเรื่องราวของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ในภายหลัง

3.สแตนลี เขียนให้ Spider-Man เป็นยิวเหมือนกับตัวเขา

ในวงการการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรนั้น พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงหรือคาบเกี่ยวกับเรื่องศาสนากันอย่างมาก จึงไม่ค่อยเห็นได้ชัดนักว่าซูเปอร์ฮีโรรายไหนนับถือศาสนาอะไร จะมีเห็นชัด ๆ ก็แค่เพียง Daredevil ที่นับถือ ‘คาธอลิก’ แต่สำหรับ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ หรือ สไปเดอร์-แมน นั้น สแตน ลี ยอมรับว่านี่คือตัวละครที่ใกล้เคียงกับว่า “Alter-Ego” (การสร้างตัวตนอีกคนขึ้นมา) ของเขามากที่สุดแล้ว โดยพื้นเพแล้ว สแตน ลี นั้น เติบโตขึ้นมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เป็นชาวยิว-โรมัน ที่อพยพมาตั้งรกรากในนิวยอร์ก เขามีชื่อจริงว่า สแตนลีย์ ลีเบอร์ (Stanley Leiber) ลีแอบแฝงตัวตนของเขาเข้าไปในตัวปีเตอร์ พาร์คเกอร์ หลาย ๆ จุดอย่างเช่น เขียนให้ปีเตอร์อาศัยอยู่ในย่าน ฟอเรสต์ ฮิลล์ ในเขตควีนส์ ที่เป็นชุมชนชาวยิว อีกจุดหนึ่งก็คือ สแตน ลี มักเปรียบเทียบตัวตนของ สไปเดอร์-แมน กับ เดวิด จากคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรู ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันในฐานะบุคคลผู้ปราบโกไลแอธ และเขายังรอดตายมาได้ก็เพราะใยแมงมุม

4.Spider-Man ชอบการทำงานเป็นทีม

New Fantastic Four

เรื่องนี้ต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนหนังสือการ์ตูนก็พอจะดูออกนะครับ จากการเปิดตัว Spider-Man เวอร์ชัน ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ในหนัง Captain America: Civil War ที่เริ่มมาปั๊บเขาก็ต้องเลือกข้างเสียแล้ว ถ้าย้อนไปดูเรื่องราวของ Spider-Man ในเวอร์ชันหนังสือการ์ตูนด้วย ก็จะพบว่าเขาชอบที่จะร่วมงานกับซูเปอร์ฮีโรรายอื่น ๆ อีกมากมายหลายปฏิบัติการ

ย้อนไปถึงหนังสือการ์ตูน Spider-Man เวอร์ชันแรกเลย เนื้อหาในตอนนั้นก็พูดถึงเรื่อง Spider-Man ถูกชักชวนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก Fantastic Four หลังอยู่ไปสักพักเขาก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่ ก็เลยขอแยกตัวออกมา จนกระทั่ง 50 ปีต่อมา Human Torch ถูกฆ่าตาย Spider-Man จึงกลับเข้าไปเป็นสมาชิกชั่วคราวของ Fantastic Four อีกครั้ง

ปี 1990 เดไลลาห์ หญิงชาวสครัลล์ปลอมตัวเป็น ซูซาน ริชาร์ด มาชักชวน Spider-man, Wolverine, Hulk และ Ghost Rider ให้รวมทีมกันในนาม new Fantastic Four นอกเหนือจากนี้แล้ว Spider-Man ยังเคยร่วมงานกับ X-Men อยู่บางครั้ง และเคยร่วมงานกับกลุ่ม The Outlaws และในช่วงยุค 60s เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ กับการเป็นสมาชิก Avengers อยู่หลายครั้ง

กับ Daredevil นั้นเขาเองก็เคยร่วมงานด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Spider-Man ตาบอด เขาก็เลยไปขอคำปรึกษาจากซูเปอร์ฮีโรตาบอดอย่าง Daredevil อารมณ์ดี ๆ ไปนั่งชิลล์ ๆ กินฮอตดอกกับ Loki ก็เคยมาแล้ว

5.มีสาวเยอะกว่าที่คิด

ถึงแม้ภาพลักษณ์ของ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ จะดูเหมือนหนุ่มเนิร์ดที่ไม่ประสีประสาเรื่องการจีบหญิง แต่หลังจากที่เขาได้รับพลังจากการเป็น Spider-Man เขาก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาก ในหนังสือการ์ตูนหลังจากเล่ม 10 เป็นต้นไป ปีเตอร์ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น จัดการเด็กเกเรในโรงเรียน แล้วก็เริ่มกลายเป็นพ่อหนุ่มคาสโนวา สำหรับแฟน ๆ ที่ติดตามแค่ในภาพยนตร์ Spider-Man ก็จะรู้จักสาว ๆ ของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แค่ เกว็น สเตซี และ MJ เท่านั้น แต่ในเวอร์ชันหนังสือการ์ตูนนั้น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เป็นพ่อหนุ่มเจ้าสำราญไปเกี่ยวพันกับหญิงมากมายนับสิบ

แน่นอนว่าคนแรกที่ต้องเอ่ยถึงก็คือสาวที่เขารักและผูกพันยาวนานที่สุด นั่นก็คือ แมรี่ เจน วัตสัน (Mary Jane Watson)แล้วก็เป็นคนเดียวที่เขาได้แต่งงานด้วย แต่ก่อนหน้าที่ปีเตอร์จะมาคบหากับ MJ นั้น เขาก็เคยมีหวานใจที่คบหาตอนเรียนมัธยมมาก่อนนามว่า ลิซ อัลเล็น (Liz Allen) พอปีเตอร์ไปเข้าทำงานที่หนังสือพิมพ์ เดลี บูเกิล ก็ไปคบหากับ เบ็ตตี้ แบรนต์ (Betty Brant) เลขาสาวของที่นั่น นี่แค่ในคราบตัวตนจริงของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ นะ ในชีวิตด้านที่เป็นซูเปอร์ฮีโรก็ยังไปคบหากับเหล่าซูเปอร์ฮีโรด้วยกันอีกเช่น เฟลิเซีย ฮาร์ดี้ (Felicia Hardy) ฉายา Black Cat, คาร์ลี คูเปอร์ (Carlie Cooper), Kitty Pryde หรือแม้กระทั่ง Captain Marvel ก็เคยมีช่วงที่ Spider-Man ไปข้องแวะด้วยเช่นกัน

ในการ์ตูนซีรีส์ Essential Series: Peter Parker the Spectacular Spider-Man Vol 1 วางแผงเมื่อปี 2007 นั้น ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ก็ไปสุงสิงกับเพื่อนสาวร่วมชั้นคู่หนึ่ง นามว่า เดบรา วิธแมน (Debra Whitman) และ มาร์ซี เคน (Marcy Kane) แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นเอเลียนปลอมตัวมาซะงั้น ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีสาวนามว่า ซิสซี ไอออนวูด (Cissy Ironwood) อีกด้วย คนนี้เป็นน้องสาวของเพื่อนร่วมห้อง

(อ่านต่อหน้า 2)

6.อสุจิของเขามีกัมมันตภาพรังสีรุนแรง

ข้อนี้ออกจะเรต R สักหน่อยนะครับ สืบเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว แม้ว่าปีเตอร์ พาร์คเกอร์ จะมีสาวเข้ามาในชีวิตเยอะแยะมากมาย แต่คนที่เขารักและร่วมชีวิตด้วยก็คือ แมรี่ เจน วัตสัน ต่อเนื่องมาในหนังสือการ์ตูนซีรีส์ Spider-Man: Reign วางแผงเมื่อปี 2006 เล่าเรื่องราวของ Spider-Man ในอีก 30 ปีต่อมา ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ แก่ตัวลงมาก และเกษียณตัวเองจากหน้าที่ซูเปอร์ฮีโร แล้วมาเปิดร้านดอกไม้ ใช้ชีวิตเช่นคนปรกติ แต่แล้วกลุ่ม Sinister-Six ก็ออกอาละวาดอีกครั้ง ทำให้ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ต้องกลับมาสวมชุด Spider-Man อีกครั้ง ขณะเดียวกันนั้น แมรี่ เจน คู่ชีวิตของเขาก็ป่วยเป็นมะเร็งตาย เรื่องมันน่าอัศจรรย์ตรงนี้แหละ แทนที่ผู้เขียนจะพาเรื่องราวตรงนี้ไปในโทนดราม่าให้คนอ่านซาบซึ้งน้ำตาแตก แต่ผู้เขียนกลับเลือกที่จะลงลึกถึงสาเหตุที่แมรี่ เจน ตาย ด้วยการอธิบายว่าเธอป่วยมายาวนาน เพราะได้รับพิษกัมมันตภาพรังสีสะสมในร่างกายมาอย่างยาวนาน ผ่านทางอสุจิของปีเตอร์ พาร์คเกอร์

7.พ่อและแม่ของปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เคยเป็นสมาชิกหน่วย S.H.I.E.L.D.

ริชาร์ด และแมรี่ พาร์คเกอร์

แฟน ๆ Spider-Man ต่างรู้กันดีว่า ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เป็นเด็กกำพร้า เขาเติบโตมากับลุงเบ็นและป้าเมย์ ส่วนพ่อกับแม่ของเขาไม่มีการเอ่ยถึง จนกระทั่งมาถึง The Amazing Spider-Man 2 ที่ได้ย้อนเล่าถึงพ่อและแม่ของปีเตอร์ว่า ทั้งคู่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วเสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก แต่ในเวอร์ชันหนังสือการ์ตูน มีการลงรายละเอียดลึกกว่าในหนัง

ในหนังสือการ์ตูน Spider-Man ยุค 60s นั้น มีการย้อนเล่าถึง ริชาร์ด และ แมรี่ พาร์คเกอร์ ว่าทั้งคู่นั้นทำงานให้กับ S.H.I.E.L.D. เคยได้ร่วมปฏิติการสำคัญและช่วยให้โลกเรารอดพ้นจากหายนะมาได้หลายครั้ง ครั้งหนึ่งทั้งคู่ได้เคยช่วยชีวิต Wolverine มาแล้วด้วย แต่หลังจากทั้งคู่ได้ให้กำเนิด ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก ซึ่งเป็นแผนลอบสังหารจากฝีมือของ Red Skull ในเวอร์ชันการ์ตูนยังเคยเขียนให้ ริชาร์ด และ แมรี่ กลับมาปรากฏตัวอีกด้วยแต่ทั้งคู่ได้กลายเป็น ไซบอร์ก ไปเรียบร้อยแล้ว

8.Spider-Man ตายมาแล้ว 3 ครั้ง

ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ในคราบ Spider-Man เคยถูกเขียนให้ตายมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ตายเพียงชั่วระยะสั้น ๆ แล้วก็ฟื้นคืนชีพกลับมาทุกครั้ง

  • ครั้งที่ 1 : ปี 2005 ในซีรีส์ The Other Spider-Man ต่อสู้กับวายร้าย Morlun ซึ่งเขาก็เสียท่าให้กับวายร้ายจอมโหดรายนี้ โดน Morlun สาดหมัดเข้าใส่ไม่ยั้งจนอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ แค่นั้นยังไม่พอ Morlun ยังควักลูกตา Spider-Man แล้วเอาเคี้ยวกินอย่างอเร็ดอร่อย สุดท้าย Spider-Man งัดพลังทั้งหมดออกมาเฮือกสุดท้าย แล้วพลิกเป็นฝ่ายเอาชนะได้สำเร็จ แต่เขาก็ชอกช้ำภายในอย่างหนัก และเสียชีวิตในที่สุด พระเอกลาจากไปนานไม่ได้ หนังสือการ์ตูนผ่านไปอีก 2 เล่ม Spider-Man ก็ฟักตัวออกมาจากดักแด้ในสภาพสมบูรณ์พร้อม
  • ครั้งที่ 2 : ปี 2011 หนังสือการ์ตูน Ultimate Spider-Man #160 โดนสังหารโดย Green Goblin แล้ว ไมล์ โมราเลส (Miles Morales)ก็มาสืบทอดบทบาทหน้าที่ Spider-Man ต่อไป แต่ผ่านไปไม่กี่ปี ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในห้องแล็บแห่งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้มาทวงคืนสถานะ Spider-Man แต่มาบอกลา แล้วก็จากไปใช้ชีวิตสงบสุขกับ แมรี่ เจน
  • ครั้งที่ 3 : ปี 2012 ในหนังสือการ์ตูน Amazing Spider-Man #700 เรื่องราวการตายของ Spider-Man ดูจะประหลาดเกินไปหน่อย เมื่อผู้เขียนเลือกให้ Spider-Man ตายในระหว่างการต่อสู้กับ Doc Ock แล้วไม่เพียงแค่นั้น Doc Ock ยังเข้าถือครองตำแหน่ง Spider-Man แทนปีเตอร์ พาร์คเกอร์ อีกด้วย ในนามว่า superior Spider-Man แต่เนื้อหาช่วงนี้ไม่ถูกใจแฟน ๆ มาร์เวลก็เลยตัดสินใจตัดจบ แล้วออกหนังสือการ์ตูนซีรีส์ใหม่ให้ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ กลับมาเป็น Spider-Man เหมือนว่าเรื่องราวก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

9.เคยรับหน้าที่เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร

The Amazing Spider-Man vs the Prodigy

ในปี 1976 องค์กรไม่แสวงผลกำไร Planned Parenthood ได้ขอความร่วมมือกับมาร์เวลให้ร่วมทำสื่อรณรงค์เพื่อสังคม ในการให้ความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวัยรุ่น เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยเรียน โดยสอดแทรกเนื้อหาเหล่านี้ลงไปในการ์ตูน Spider-Man

แล้วเนื้อหาเหล่านี้ก็ออกมาในหนังสือการ์ตูนตอน The Amazing Spider-Man vs the Prodigy เมื่อเหล่ามนุษย์ต่างดาวจอมชั่วร้าย ออกมายั่วยุเหล่าวัยรุ่นให้มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ต้องป้องกัน ด้วยการล่อหลอกว่าถ้าสาว ๆ ตั้งท้องแล้วใบหน้าจะสดใสไม่เกิดสิว หรือถ้าพวกเธอจะไม่สามารถตั้งท้องจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก โดยจุดประสงค์ของเหล่าเอเลียนพวกนี้ คือต้องการขโมยทารกแรกเกิดจากวัยรุ่นเหล่านี้ แต่แล้ว Spider-Man ก็ออกมาเปิดโปงแผนการร้ายของเหล่าเอเลียนพวกนี้ แล้วทิ้งท้ายด้วยการให้ความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้องต่อเหล่าวัยรุ่น นึกภาพตามแล้วกัน Spider-Man มาสอนวัยรุ่นเรื่องเทคนิคการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง, สาเหตุของการฝันเปียก และ ความหมายของรักร่วมเพศ

10.Spider-Man ทำให้มาร์เวลล้มละลาย

Spider-Man : The Clone Saga

ในช่วงกลาง 90s ทางดีซีออกหนังสือการ์ตูน Knightfall story เป็นเรื่องราวตอนที่ Superman และ Batman ต่างก็ตายตามกันไป การ์ตูนประสบความสำเร็จ เป็นเล่มที่โด่งดังมาก มาร์เวลเห็นเช่นนั้น เลยขอทำตามบ้าง ด้วยการออกหนังสือการ์ตูนชุด Spider-Man : The Clone Saga แต่ผลตอบรับกลับตรงกันข้าม เพราะทำให้มาร์เวลถึงกาลล้มละลาย

The Clone Saga ออกมาในปี 1994 – 1996 เล่าเรื่องราวของ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ที่คิดว่าตัวเขาคือร่างโคลน ไม่ใช่ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ตัวจริง เขาสับสนในตัวเอง ถึงขั้นขอยุติบทบาทในการเป็น Spider-Man ดูพล็อตก็น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่เนื้อหาของการ์ตูนชุดนี้ ผู้เขียนดันใส่ตัวละครเข้ามาเยอะแยะมากมาย และตีกันจนสับสนไปหมด เพราะมีทั้งเหล่าร่างโคลนของ Spider-Man แล้วเขียนให้ แมรี เจน ตั้งครรภ์ด้วย มีตัวร้ายคือ Judas Traveller และ Lady Octopus ผลก็คือ The Clone Saga กลายเป็นการ์ตูนซีรีส์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ลบจากแฟน ๆ หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์มาร์เวล

สุดท้ายมาร์เวลก็ตกอยู่ในสถานะล้มละลายในปี 1996 ที่จริงแล้วก็มีด้วยกันหลายสาเหตุที่ทำให้มาร์เวลตกอยู่ในสถานะนี้ แต่สาเหตุสำคัญสุดก็คือ Spider-Man : The Clone Saga นี่แหละ ที่เล่าเรื่องราวภารกิจที่ยาวนานเกินไป เนื้อหาซับซ้อนเกินไป และมาร์เวลก็ใช้งบลงทุนประชาสัมพันธ์ไปอย่างหนัก ทำให้ขาดทุนซ้ำเข้าไปอีก ผลก็คือ มาร์เวลต้องปลดพนักงานออกถึง 1 ใน 3 ทีมงานผู้บริหารต้องคร่ำเคร่งอย่างหนักในการหารายได้จากทิศทางอื่น ซึ่งก็ลงเอยด้วยการขายลิขสิทธิ์ตัวละครให้กับสตูดิโอผู้สร้างหนังฮอลลีวูดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และทำให้ Spider-Man ตกไปอยู่ในมือของโซนี่นับแต่นั้นเป็นต้นมา

(อ่านต่อหน้า 3)

11.เคยร่วมทีมกับ Superman, Batman,Transformers และประธานาธิบดีบารัก โอบามา

The Amazing Spider-Man #583

อย่างที่เล่าไปในข้อก่อนหน้านี้ว่า Spider-Man ถนัดในการทำงานร่วมทีมกับซูเปอร์ฮีโรรายอื่น ๆ ถ้าไล่รายชื่อมาก็แทบจะครบทั้งมาร์เวลแล้ว แต่ไม่แค่นั้นเขายังข้ามไปร่วมทีมกับซูเปอร์ฮีโรฝังดีซีและฮาสโบรอีกด้วย ในหนังสือการ์ตูน Transformers #3 โจนาห์ เจมีสัน (Jonah Jameson) บรรณาธิการใหญ่ของหนังสือพิมพ์เดลีบูเกิลได้ส่ง ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ไปโอเรกอน เพื่อเก็บภาพการทำสงครามระหว่างเหล่า ดีเซปติคอน และ ออโตบอต แต่เมื่อไปถึงสัญชาตญาณของฮีโรเลยอดทนดูเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปร่วมวงในฐานะ Spider-Man เขาเข้าช่วยเหล่าออโตบอตจัดการกับเมกาทรอน

ในหนังสือการ์ตูน Superman vs. the Amazing Spider-Man เป็นการร่วมงานเฉพาะกิจระหว่างดีซีและมาร์เวล ในตอนนี้ Doctor Octopus สมรู้ร่วมคิดกับ เล็กซ์ ลูเธอร์ วางแผนการร้าย ร้อนถึง Superman และ Spider-Man ต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายล้างแผนการร้าย พอเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็เลยสานต่อไปยังปฏิบัติการต่อไป แต่รอบนี้ Spider-Man ต้องร่วมมือกับ Batman เมือ 2 วายร้าย Carnage มาร่วมแผนการร้ายกับ Joker

หนึ่งในรายการทีวีที่ฮิตที่สุดของสหรัฐฯ ก็คือรายการ Saturday Night Live ที่ได้รับความนิยมยืนยาวมากว่า 40 ปี แพร่ภาพมาแล้ว 46 ซีซัน มากกว่า 900 ตอน ในปี 1978 รายการได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายมาเป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูน Marvel Team-Up #74 ในตอนนี้ Spider-Man ต้องร่วมมือกับเหล่าพิธีกรรายการ ซึ่งรวมไปถึง บิล เมอร์เรย์ ด้วย มาร่วมกันจัดการวายร้ายที่มีนามว่า Silver Samurai

ในหนังสือการ์ตูน The Amazing Spider-Man #583 วางแผงเมื่อปี 2009 เป็นตอนที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา (Barak Obama) มาเป็นแขกรับเชิญในหนังสือการ์ตูน เล่าเหตุการณ์ในวันที่โอบามากำลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีบารัก โอบามา โผล่มาพร้อมกัน 2 คน แน่ละว่าคนหนึ่งต้องเป็นตัวปลอม ผู้ที่มาเปิดเผยตัวปลอมก็คือ Spider-Man นี่แหละ ด้วยการถามคำถามทั้งสองโอบามาว่า โรงเรียนมัธยมปลายที่บารัก โอบามาเรียนจบมาชื่อว่าโรงเรียนอะไร ทำให้โอบามาตัวปลอมที่ทำการบ้านมาไม่ดี ตอบไม่ได้ และเปิดเผยตัวตนในที่สุดว่าแท้จริงแล้วมันคือ วายร้ายนามว่า Chameleon ซึ่งก็โดน Spider-Man จัดการได้ในที่สุด และทำให้พิธีสาบานตนดำเนินได้อย่างเรียบร้อยต่อไป หนังสือการ์ตูนเล่มนี้ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนมาร์เวลที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 4 หลังปี 2000

12.เคยเป็นการ์ตูนทีวีมาแล้ว 8 ครั้ง, หนังฉายทางทีวี 2 ครั้ง และเคยเป็นละครเวทีมาแล้วด้วย

Spider-Man: Turn Off the Dark

หลังประสบความสำเร็จในตลาดหนังสือการ์ตูนSpider-Man ก็ยกระดับมาเป็นการ์ตูนฉายทางทีวี แพร่ภาพในช่วงปี 1967 – 1970 ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี และเพลงไตเติลก็ติดหูเด็ก ๆ อย่างมาก เว้นช่วงมาไม่กี่ปี การ์ตูน Spider-Man ก็กลับมาแพร่ภาพอีกครั้งในปี 1981 รอบนี้มาเป็นซีรีส์สั้น ๆ 2 ซีรีส์ต่อเนื่องกันในปีเดียว ปี 1994 กลับมาอีกครั้งในชื่อ Spider-Man: The Animated Series รอบนี้ได้รับความนิยมยาวนาน แพร่ภาพต่อเนื่อง 5 ซีซัน รวมแล้ว 65 ตอน ในปีเดียวกันนี้มาร์เวลร่วมงานกับ MTV ทำการ์ตูนทีวีในชื่อ Spider-Man: The New Animated Series ให้ ฌอน แพททริค แฮร์ริส และ ลิซา โลบ มาพากย์เสียง แพร่ภาพไปซีซันเดียว ความยาว 13 ตอน, ปี 2008 มีการ์ตูนทีวีในชื่อ Spectacular Spider-Man รอบนี้มาสั้น ๆ แค่ 2 ซีซัน รวมแล้ว 26 ตอน กลับมาครั้งที่ 8 ในชื่อ Ultimate Spider-Man แพร่ภาพเมื่อปี 2012 ลากยาวไป 4 ซีซัน รวมแล้ว 104 ตอน

มาดูภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงทางทีวีกันบ้าง ปี 1977 CBS ดำเนินการสร้างในชื่อ Amazing Spider-Man แพร่ภาพไปได้ 2 ซีซัน ก็ยกเลิก ด้วยเหตุผลที่ว่า กลัวจะได้รับฉายว่าเป็น “สถานีโทรทัศน์ซูเปอร์ฮีโร” แต่คนดูบอกว่า เพราะชุด Spider-Man ดูน่าเกลียดมากกว่า ถัดมาในปี 1978 ทางญี่ปุ่นขอลิขสิทธิ์ Spider-Man ไปสร้างดูบ้างแข่งกับเหล่าไอ้มดแดง และอุลตร้าแมน ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้น

ปี 1974 The Electric Company บริษัทผู้ผลิตรายการทีวีสำหรับเด็ก ได้สร้าง Spidey Super Stories เป็นภาพยนตร์คนแสดงตอนสั้น ๆ แค่ 5 นาที แพร่ภาพไปจนถึงปี 1977 รวมแล้ว 29 ตอน มีตอนที่น่าจดจำชื่อว่า “A Night at the Movies” เพราะได้ มอร์แกน ฟรีแมน มารับบทเป็นท่านเคานต์แดรกคูล่า

ยังไม่หมดแค่นั้น Spider-Man เคยถูกสร้างเป็นละครเพลงบนเวทีมาแล้วด้วยในชื่อ Spider-Man: Turn Off the Dark จัดแสดงที่โรงละครบรอดเวย์ใน นิวยอร์ก เปิดแสดงเมื่อปี 2011 ได้ศิลปินระดับโลกอย่าง Bono และ The Edge จากวง U2 มารับผิดชอบด้านเพลง สร้างสถิติละครเวทีที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในโลกที่ตัวเลข 75 ล้านเหรียญ สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการทำยอดขายตั๋วล่วงหน้าสูงที่สุดในสัปดาห์แรก แต่ก็ปิดตัวไปในปี 2014 ด้วยสาเหตุขาดทุนย่อยยับ

13.เจมส์ คาเมรอน เคยสนใจจะกำกับแล้วให้ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ รับบทนำ

หลังประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร และสานต่อด้วยการเป็นภาพยนตร์การ์ตูนทางทีวี และภาพยนตร์คนแสดงทางทีวี ก้าวต่อไปของ Spider-Man ก็คือภาพยนตร์เรื่องยาวที่จะฉายทางโรงภาพยนตร์ โปรเจกต์ได้รับการพูดถึงมาตั้งแต่ยุค 80s ผ่านมือผู้กำกับหลายคนที่ให้ความสนใจอย่างมาก

คนแรกก็คือ โรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) ผู้กำกับผู้ได้รับฉายาว่า” ราชาหนังเกรดบี” เขามีผลงานกำกับภาพยนตร์มากว่า 50 เรื่องในยุค 50s – 60s คอร์แมนอยากสร้างหนัง Spider-Man ถึงขั้นเขียนพล็อตเรื่องไปนำเสนอ สแตน ลี แล้วเป็นเรื่องราวของ Spider-Man ทำภารกิจยับยั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่ยิงมาจากรัสเซีย แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลประการใด โปรเจกต์นี้จึงไม่ได้รับไฟเขียว

ยังคงอยู่ในยุค 80s ในยุคนี้ถ้าพูดถึงค่ายหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็เห็นจะเป็นค่าย Canon Films เป็นค่ายหนังเกรด B ที่เน้นสร้างหนังเพื่อหวังผลทางด้านการตลาดล้วน ๆ แต่ก็มีหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเช่น Missing in Action และ Delta Force สร้างชื่อให้กับพระเอกนักบู๊ ชัค นอร์ริส (Chuck Norris) Spider-Man ในมือ Canon แม้ว่าจะยังไม่วางตัวผู้กำกับ แต่ดูรายชื่อนักแสดงแล้วก็น่าจะฮิตเป็นแน่ เพราะมี ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในบท ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ส่วน บ็อบ ฮอสกินส์ (Bob Hoskins) จะมารับเป็น Doc Ock, สแตน ลี เองก็โดดมาเล่นกับเขาด้วยในบท เจ.โจนาห์ เจมีสัน ส่วนนางเอกรุ่นใหญ่ในยุคนั้นอย่าง ลอเรน เบคอลล์ (Lauren Bacall) หรือไม่ก็เป็น แคเธอรีน เฮปเบิร์น (Katherine Hepburn) จะมารับบทเป็น ป้าเมย์ ส่วนวายร้ายรายสำคัญในเรื่องนี้ ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ ไม่อ้างอิงจากหนังสือการ์ตูน ให้เห็นนักวิทยาศาสตร์ที่กลายร่างเป็นแวมไพร์ ก็ไม่รู้เหตุผลอีกเช่นกันว่าทำไมโปรเจกต์ถึงไม่ได้เดินหน้าเป็นรูปเป็นร่าง

ผ่านมาถึงยุค 90s เป็นช่วงที่ เจมส์ คาเมรอน ประสบความสำเร็จอย่างมากจาก Terminator 2: Judgment Day (1991) คาเมรอนกำลังมองหาโปรเจกต์ต่อไป ก็พอดีที่บทภาพยนตร์ Spider-Man จาก Canon มาจบที่โต๊ะทำงานของคาเมรอน ซึ่งเขาก็ให้ความสนใจ ถึงขั้นลงมือแก้ไขบทด้วยตัวเองแล้ว ผลออกมากลายเป็น Spider-Man เรต R เพราะคาเมรอนบรรจงใส่ฉาก Spider-Man บรรเลงเพลงรักกับ แมรี่ เจน วัตสัน บนสะพานบรูคลิน แล้วให้ฉากจบของเรื่องไปพะบู๊กันบนยอดตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ฟังดูพล็อตก็น่าสนใจอีกแล้ว

คาเมรอน ถึงขั้นวางตัวให้ เอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลอง (Edward Furlong) หนุ่มน้อยจาก Judgment Day มาเป็น Spider-Man แล้วชักชวนให้ ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ (Leonardo DiCaprio) มาเป็น แฮร์รี่ ออสบอร์น ส่วนบทนางเอกนั้นมอบให้ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ (Drew Barrymore) มาเป็น เกว็น สเตซี ส่วนตัวร้ายนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ในบท Doc Ock นับว่าเป็น Spider-Man อีกเวอร์ชันที่น่าสนใจมาก ๆ แต่ว่าด้วยขั้นตอนพิจารณากินเวลาช้านานเกินไป นักแสดงตัวท็อปแต่ละคน รวมถึงผู้กำกับก็ต้องเดินหน้ารับงานอื่นกันต่อไป โปรเจกต์ก็เลยไม่ได้เกิด แต่สุดท้ายบางส่วนบางตอนในบทภาพยนตร์ฝีมือของ เจมส์ คาเมรอน ก็ยังคงอยู่ใน Spider-Man (2002) เวอร์ชันของ แซม เรมี (Sam Raimi)

14.ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ, เจก จิลเล็นฮาล และ จูด ลอว์ ล้วนเกือบได้เป็น Spider-Man

Spider-Man เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโรระดับต้น ๆ ในวงการ เป็นบทที่นักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดล้วนยินดีต้อนรับถ้าโอกาสมาถึง จึงไม่แปลกที่นักแสดงหลายคนล้วนเคยเฉียดใกล้โอกาสที่จะได้สวมชุด Spider-Man กันมาแล้วทั้งนั้น ย้อนไปในวันที่ เจมส์ คาเมรอน บอกลาโปรเจกต์ Spider-Man แต่บทของเขาก็ยังอยู่ในมือของค่ายโซนี่ ที่สนใจจะสานต่อโปรเจกต์ ด้วยการทาบทาม ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ ให้มาเป็น Spider-Man แต่ดิคาพริโอก็บอกปัด แต่ก็ยังใจดี ส่งต่อโอกาสนี้ให้กับ โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) เพื่อนสนิทของเขาแทน ซึ่งตัวเลือกอื่น ๆ ของโซนี่ในขณะนั้นก็ยังมี เฟรดดี้ พรินซ์ จูเนียร์ (Freddie Prinze Jr.) และ จูด ลอว์ (Jude Law) ระหว่างช่วงที่กำลังจะเปิดกล้อง Spider-Man 2 (2004) อยู่นั้น โทบีย์ แม็กไกวร์เกิดบาดเจ็บที่หลังอย่างรุนแรง แต่งานสร้างรุดหน้าไปมากแล้ว ทางโซนี่จำเป็นต้องเดินหน้าเปิดกล้องตามกำหนด เขาจึงได้ติดต่อให้ เจค จิลเล็นฮาล ให้มารับบทแทน ซึงจิลเล็นฮาลก็ยินดีตอบรับ และเข้ารับการฝึกฝนร่างกายไปแล้วด้วย แต่ในที่สุดแม็กไกวร์ก็ฟื้นสภาพร่างกายได้ทันเปิดกล้อง

หลังจบไตรภาคในยุคโทบีย์ แม็กไกวร์ไปแล้ว โซนี่ก็รีบรีบูตทันที ด้วยการมองหานักแสดงคนต่อไปที่จะมาสวมชุด Spider-Man ตัวเลือกในวันนั้นก็มี จอช ฮัตเชอร์สัน (Josh Hutcherson) จาก The Hunger Games, ไมเคิล ซีรา (Michael Cera) จาก Juno และ Superbad และ โรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) จาก Twilight แต่ในที่สุด บทก็ตกเป็นของ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield)

มาจนถึง Spider-Man คนที่ 3 ซึ่งก็คือหนุ่มน้อย ทอม ฮอลแลนด์ นั้น ในรอบออดิชันนี้ก็มีนักแสดงวัยรุ่นเข้ารอบมากมาย อย่างเช่น เอชา บัตเทอร์ฟิลด์ (Asa Butterfield) จาก Sex Education, แนต วูล์ฟ (Nat Wolff) จาก Paper Towns และ แชนด์เลอร์ ริกก์ (Chandler Riggs) หนูน้อยจากซีรีส์ดัง The Walking Dead

15.ไมเคิล แจ็กสัน ขอซื้อมาร์เวล เพื่อเขาจะได้เล่นเป็น Spider-Man เอง

ในยุค 90s นั้น ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ในฐานะราชันเพลงป๊อปผู้นี้อยู่ในฐานะอู้ฟู่ทางฐานะการเงินอย่างมาก แล้วเขาก็เป็นนักเก็งกำไรตัวยงผู้หนึ่ง ดูได้จากการกว้านซื้อลิขสิทธิ์เพลงของ The Beatles มาไว้ในครอบครอง ส่วนไมเคิล แจ็กสันนั้นก็มีความชื่นชอบ Spider-Man มาตั้งแต่เด็ก เขาถึงกับเคยติดต่อสแตน ลี มาแล้วหลายครั้งเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์ตัวละคร Spider-man แต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด พอมาร์เวลตกอยู่ในสถานะย่ำแย่ทางด้านการเงิน แจ็กสันเลยถือโอกาสนี้ เสนอขอซื้อมาร์เวลทั้งบริษัท เพื่อเขาจะได้ครอบครองลิขสิทธิ์ Spider-Man อย่างที่ใฝ่ฝันไว้ด้วย แต่ราคาที่มาร์เวลยื่นข้อเสนอมาคือตัวเลขสูงถึง 1,000 ล้านเหรียญ ก็เลยทำให้ไมเคิล แจ็กสัน ชะงักกลับไป ไม่เช่นนั้นเราคงได้เห็น Spider-Man ลูบเป้า แล้วร้อง “ฮี้ ฮี” กันแล้ว

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง