ต่าย อรทัย กว่า 20 ปี บนเส้นทางสายดนตรี ราชินีล้านตลับ สาวดอกหญ้า เจ้าของเพลงฮิตติดใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โทรหาแหน่เด๊อ, ดอกหญ้าในป่าปูน, กินข้าวหรือยัง, ขอใจกันหนาว และล่าสุด สิมาฮักหยังตอนนี้ แตะ 100 ล้านวิว นอกจากบทเพลงที่ได้รับความนิยมของต่ายเองแล้ว ยังมีบทเพลงที่ร่วมร้องไปกับศิลปินอื่นอีก กับโครงการ 100 x 100 ของ JOOX ที่นำศิลปินร้อยล้านวิวขวัญใจชาวลูกทุ่ง กับเจ้าของเพลงฮิตร้อยล้านวิวจากฝั่งพอป ร็อก และฮิปฮอป รวมพลังทางดนตรีแบบร้อยคูณร้อย Getsunova x ต่าย อรทัย ในเพลง คือเธอใช่ไหม (Collab Version) – Getsunova x ต่าย อรทัย

ล่าสุด (สิงหาคม 2563) ผู้เขียนทราบข่าวการเปิดตัวสินค้าใต้นาม “ออร่า-ทัย” โดย ต่าย อรทัย เลยเป็นที่มาของบทความนี้ ที่ได้มีโอกาสสุดพิเศษ นั่งพูดคุยกับ ต่าย อรทัย ในรอบกว่า 10 ปีของผู้เขียน

มาเริ่มกันเลย เป็นไงบ้างครับช่วงที่ผ่านมาเรื่องผลงานเพลง ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ต่าย : สิมาเฮ็ดหยังตอนนี้ ก็นานแล้ว ในช่วง covid พักยาวเลย พักนานมาก อยู่บ้าน ได้อยู่บ้านจริง ๆ เป็น ครั้งแรกที่อยู่นานจริง ๆ อยู่นานจนต้องหานั่นหานี่ทำไม่เหมือนที่ผ่านมาเพราะแต่ก่อนรู้สึกแค่ว่าไม่ได้ไปงานเราก็แค่นอนแต่เราไม่ได้อยู่กับตัวเองจริง ๆ และไม่ได้อยู่บ้าน แต่พอวิกฤตนี้มา บวกกับการที่เราไม่มีงานก็ทำให้เรากระตือรือร้นที่จะหาอะไรทำ รายได้หลักมันไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อย ค่าน้ำ ค่ากาแฟ น้ำปลา ก็จะหาวิธีที่จะมีรายได้เข้ามา

ถาม : แต่ก่อนคือออกอัลบั้ม หลัง ๆ มาก็เปลี่ยนเป็นออก Single ใช่ไหม แต่โดยปกติโชว์ของต่ายมีทั้งปีอยู่แล้ว?
ต่าย : ปกติมีโชว์ทั้งปี แต่เพียงแค่ว่าช่วงหน้าฝนจะมีน้อยลง มีงานภายในบ้าง โชว์กับแดนเซอร์ แต่ถ้าจ้างเต็มวงเราก็จะมีนาน ๆ ทีเราก็จะกลับมาซ้อมกับอาจารย์นักดนตรีทีนึง

ถาม : เดือนไหนที่แบบหยุดงานเลย
ต่าย : หยุดจริง ๆ จำได้ว่าวันสุดท้ายของงานคอนเสิร์ต 18 มีนาคม กระแสเริ่มได้ยินมาแล้วว่าจะจัดหรือไม่จัด จะประกาศหรือไม่ประกาศ จำได้ดีเพราะวันนั้นถ่ายละครทั้งวัน เรื่องมงกุฎดอกหญ้าเสร็จปุ๊บ เราก็ต้องไปขึ้นคอนเสิร์ตตอนเย็นที่สมุทรสาครจำขึ้นใจเลย เราก็หวังว่า มี.ค. เม.ย, พฤษภาคม จะเป็น 3 เดือนสุดท้ายที่เราจะเก็บทุนคืนเพราะว่าเราเพิ่งลงทุนทำโชว์เพิ่งเปิดโชว์เมื่อต้นปีไป กลายเป็นวันนั้นไปงานคอนเสิร์ตเก้าอี้เยอะมากไม่มีคนมาดูเพราะคนเริ่มได้ยินกระแสแล้วว่ามีไวรัส

ถาม : ปกติโชว์ของต่ายคนจะเยอะเพราะว่าเห็นต่ายไลฟ์สดบ่อยมาก
ต่าย : วันนั้นคือเยอะมาก แต่วันที่ 18 มีแต่เก้าอี้ไม่มีคนเลย วันสุดท้ายที่เราได้เล่นและรัฐบาลจะประกาศว่าไม่ให้จัดและเจ้าภาพ ก็เริ่มสงสัยแต่ไม่ถึงขนาดชัวร์แต่เจ้าภาพก็เริ่มไม่กล้า แล้วแต่วิจารณญาณของผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชน ก็มีเป็นบางที่ไม่กล้าจัดเลย หรือบางที่ก็จัดอยู่แต่ก็ชาวบ้านไม่กล้าไป ก็เป็นฟีลนั้น

ถาม : ตอนนั้นต่ายคิดอย่างไร เพราะเพิ่งลงทุนทำอะไรไป ทางออกเป็นอย่างไร
ต่าย : คิดไม่ออกเลยค่ะคิดไม่ออกจริง ๆ แต่ก็ได้แต่หวังว่ามันคง ไม่เลวร้าย เลวร้ายสุดคงไม่เกิน 3-4 เดือนก็กลับมาได้ แต่ทีนี้พอเราคำนวณเวลาแล้วถ้ามันดีขึ้นแล้วมันเข้าหน้าฝนล่ะ โดยธรรมชาติเราไม่ค่อยมีงานช่วงหน้าฝนอยู่แล้วมันเผื่อใจเรื่องนี้ไม่พอ เผื่อใจหน้าฝนเข้าไปอีก ก็คิดหนักเลยบวกกับปีนี้เป็นปีที่ ต่ายตัดสินใจรีโนเวตบ้าน ช่วง มี.ค. ตัดสินใจว่าหลังคาบ้าน รั่วมา 4-5 ปีแล้ว ต้องเอากะละมังไปรองน้ำฝน บ้านที่อยู่ปัจจุบันที่กรุงเทพฯ มันไม่ไหวแล้ว ปีที่ผ่านมาก็เหมือนจะตัดสินใจแต่ไม่ทำแต่สุดท้ายก็มาสรุปที่ต้นปีนี้

ถาม : ที่ผ่านมา ไม่มีคนชวนหรือคิดว่าจะทำสินค้าตัวเองบ้างเลยหรอเพราะว่าพี่ต่ายอยู่ในวงการมานานมากแล้ว ระหว่างทางมีบ้างไหม
ต่าย : เคยมีชวนแต่จะเป็นด้านอื่นแต่ไม่ใช่ด้านความสวยความงาม จะเป็นด้านอื่นมีพี่ ๆ ในวงการที่ทำธุรกิจก็เคยถามมาว่ามาลองดูไหมแต่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากทำธุรกิจอะไรก็เฉย ๆ ไป แต่ย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีย้อนหลัง 58-59 ก็เริ่มเห็นสัญญาณอะไรบางอย่างจากตัวเราจากแฟนเพลง จากกำลัง บางทีเราก็คิดว่าจะร้องเพลงไปได้อีกนานแค่ไหน ก็มานั่งคิดเล่น ๆ ว่าสมมุติว่าถ้าวันหนึ่งเราจะทำอะไรสักอย่างจะทำอะไรก็ลิสต์ออกมาหลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น ทำครีมบำรุงผิว ทำอาหาร เยอะค่ะทำน้ำนั่นนี่ ก็สรุปว่าอะไรที่ใกล้เราที่สุดอะไรที่คิดว่าเราพูดแล้วมั่นใจไม่เคอะเขิน อะไรที่ใกล้แล้วได้ทำมันจริง ๆ ก็เลยมาดู Skin Herb เพราะเป็นคนนึงที่ดูแลตัวเองมา ตั้งแต่เข้าวงการ ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการดูแลอะไรเป็นหลัก หรือเป็นสูตร แต่ฟังจากพี่นางเอยพี่ ๆ ในวงการเอย เขาก็จะ บอกว่าแฟนเพลงเราไม่ได้ตั้งใจแค่จะมาฟังเพลงนะ ทุกคนก็อยากเห็นว่าเราพร้อม หรือเปล่าดูดีหรือเปล่าเสื้อผ้าหน้าผมเราใส่ใจหรือเปล่าอะไรพวกนี้ค่ะก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราหันมาดูแลตัวเองพร้อมไปกับการพัฒนาเรื่องการร้องเพลง การพัฒนาโชว์ ก็คิดว่ามันน่าจะมั่นใจมากกว่าอย่างอื่นก็เลยเลือกแต่พอจะลงมือสุดท้ายคือจะเริ่มอย่างไร จะลงทุนอย่างไรและเราจะไปตรงไหนก่อน สุดท้ายคือพับเก็บโครงการ เอาจริง ๆ เราไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร ถ้าเราทำจริง ๆ ทีมเราก็ไม่มี ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลย

ถาม : อันนี้คือเราทำเองได้โดยที่ค่าย Grammy Gold (ต้นสังกัด) ไม่ว่า
ต่าย : จริง ๆ แกรมมี่โกลด์ไม่ได้ติดอะไรแต่เพียงแค่ว่าเราคิดในมุมของเรา แต่พอจะทำก็คิดว่าเริ่มอย่างไรตรงไหนเริ่มแล้วจะไปอย่างไรต่อ ถ้าเริ่มจากความคิด เราคิดอยู่แล้วว่าเราฝันถึงอะไรแต่พอจะเอาเข้าจริง ๆเราจอดเลยสุดท้ายก็พับเก็บโครงการ เพิ่งมามีเมื่อปีที่แล้วที่ผู้ใหญ่เรียกเข้าไปคุย แบบว่าเป็นศิลปินมาหลายปีแล้ว สิ่งที่สนใจลึก ๆ เราคิดอยากจะทำอะไรบ้างไหม ก็เลยบอกว่าทำไมมันตรงจังเลย มันก็บังเอิญตรงกับสิ่งที่เราฝัน ความฝันที่เก็บไว้เราไม่ได้ล้มเลิกความฝันนะแต่มันอยู่ลึกในความรู้สึกเรา ผู้ใหญ่บอกอยากทำอะไรไปเขียนมาซิ เราก็มานั่ง List หนูไม่ต้องเขียนอะไรเยอะเลยค่ะเพราะว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความฝันเราอยู่แล้ว คือการทำ product ของตัวเอง

ถาม : อันนี้เริ่มก่อนวิกฤต covid ถูกไหมครับ
ต่าย : นิดนึงค่ะ แต่การคุยโพรเจกต์นี้ผู้ใหญ่ถามเราอยากทำอะไรคุยตั้งแต่ตอนจะทำโชว์คอนเสิร์ตใหญ่ ตอนนั้นคือมิถุนายนปี 62 แต่ว่าคุยก่อนหน้าที่จะเกิดคอนเสิร์ตอีก คุยพร้อมกัน ระยะเวลาถือว่าเป็นปีอยู่ นอกจากคอนเสิร์ต ที่ผู้ใหญ่ทำให้แน่นอนอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ขอบคุณมากเป็นที่สุดในชีวิต แต่อันนี้เป็นระยะยาวแล้วนะ คอนเสิร์ตคือมันจบทำมาแล้วก็จบเลยเห็นภาพก็จบแต่ว่าอันนี้ต้องเริ่มต้นกันใหม่กับเส้นทางนี้

ถาม : ตอนนั้นเครียดไหม
ต่าย : มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกก็เครียดอยู่แล้วเราไม่คิดว่าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้วส่วนตัว ต่ายคือเรามีปัญหากับพี่น้องในทีมงานมันเป็นจังหวะที่เราต้องตัดสินใจอะไรหลาย ๆ อย่างก็เป็นช่วงที่ลังเลอยู่พอสมควร แม้แต่คอนเสิร์ตก็เกือบจะคุยกับผู้ใหญ่แล้วว่าเรายังไม่พร้อม เกือบจะไม่ทำแล้วเหมือนกับอยู่ดี ๆ มันมาพร้อมกัน ปัญหาทุกอย่างมันมาพร้อมกัน ผู้ใหญ่ก็บอกแล้วอย่างไรล่ะโอกาสมันมาแล้วก็แก้ไปทีละอันสิ ผู้ใหญ่ก็พยายามแก้ปัญหาช่วยเรา รู้ว่าเรา พอมีปัญหาแล้วคนก็มักจะเอามารวมกันทุกอย่างแล้วก็หาทางออกไม่เจอ จริง ๆ มันคนละเรื่องกัน ก็พยายามที่จะบอกให้เรารู้ว่ามันคนละเรื่องกันนะปัญหามีก็ค่อย ๆแก้สิ ถ้าตอนนี้ยังแก้ไม่ได้ก็รอจังหวะ ตอนนี้คอนเสิร์ตมันมีจังหวะที่จะทำแล้วทิ้งโอกาสเหรอซึ่งเราก็มานั่งทบทวนมันก็เรื่องจริงเพราะคอนเสิร์ตใหญ่ในชีวิตถ้าเราไม่จัดตอนนี้เราจะจัดตอนไหน ก็ตัดสินใจทำและทิ้งทุกอย่างเลยทิ้งทุกอย่างแล้วออกกำลังกายเตรียมความพร้อมและทำรูปแบบการโชว์ ก็ยังอยู่ในหัวนะคะเก็บไปอยู่มันอยู่ลึก ๆ นะตอนนั้นแต่ก็ผ่านคอนเสิร์ตมาได้เสร็จปุ๊บก็มาเริ่มอันนี้ใหม่ ผู้ใหญ่ก็เรียกเข้าไปคุยว่ายังไม่ลืมนะที่คุยกัน ผ่านไปเป็นอย่างไรก็อัพเดทเป็นระยะ ๆ

ถาม : แล้วเราเร่งไหมหรือเป็นไปตามกำหนดเวลาที่วางไว้
ต่าย : ไม่ได้เร่งค่ะคือพอ OK ปุ๊บก็เกิดกระบวนการเป็นไปตามเวลาไปเรื่อย ๆ เพราะว่าบางทีกว่าเราจะ หาสถานที่ได้หาโรงงานหาผู้ผลิตหาอะไรพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็คือจริง ๆ เขาก็มีให้ดูเยอะมาก ว่าตรงไหนเชื่อถือได้เพราะว่าถ้าทำออกมาแล้วแฟนเพลงก็ต้องมองว่าเป็นสินค้าของใครมาจากไหน

ถาม : ผมได้ยินชื่อครั้งแรก คิดว่ามันใช่เหรอ “ออร่า-ทัย” มันมาอย่างไร
ต่าย : มาจากต่าย อรทัย ผสมกับคำว่า Aura มันเป็นพ้องเสียงกันก็อยากให้มันเริ่มจากสิ่งที่เป็นความฝันเราด้วยเราก็มีส่วนอยู่ในนี้ไม่ใช่แค่พรีเซ็นเตอร์ เราก็เป็นเจ้าของด้วยใช้ชื่อนี้มันก็เริ่มดี

ถาม : ในแง่ธุรกิจเป็นอย่างไรเราแบ่งกับบริษัทอย่างไร เรามีความเป็นเจ้าของแค่ไหน
ต่าย : ก็เป็นเจ้าของ ถ้าในมุมเรา เราไม่สามารถที่จะทำได้คนเดียว ถ้าเราเป็นคนทำเองเลยจริง ๆ โดยที่บริษัท ไม่ได้ร่วมด้วยเราก็ต้องหาทีม แล้ววันนี้ ทีมที่บริษัทเรามีพร้อมอยู่แล้วเราก็สบายใจ และเราก็พร้อมมาก ๆ ที่จะลุย เพราะมันก็อยู่ในความฝันของเราอยู่แล้ว

ถาม : แกรมมี่ก็เหมือนเป็น Back Up ให้
ต่าย : ใช่ค่ะทุกอย่างเลยตั้งแต่เริ่มต้น ทีมงานก็แกรมมี่ทั้งหมด

ถาม : พี่ต่ายมีส่วนในการเลือกโรงงานไหม มีส่วนในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือเลือก product ที่จะออกไหม
ต่าย : มีส่วนค่ะก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมที่โรงงาน แล้วก็อย่างพวกส่วนผสมต่าง ๆ คือ ทดสอบตั้งแต่แรกเลยตั้งแต่ใช้แล้วแบบ sensitive กับผิว ก็ต้องลองเราถึงจะรู้ว่า เราพูดได้ไหน ๆ เราก็ทดสอบจริงเป็นสินค้าที่ออก ทดสอบมานานแล้วตั้งแต่ต้นปีที่จริงเริ่มมีปลายปีด้วยซ้ำไปตั้งแต่ปีที่แล้วเริ่มมาก็มา ทดสอบและมาเล่าสู่กันฟังว่าผลที่มันได้ หนึ่งวันสองวันมันเป็นอย่างไร ตั้งแต่แพ้เราก็มาเล่าสู่กันฟังก็เปลี่ยนสูตรเปลี่ยนมาจนส่วนผสมเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และทดสอบไปเรื่อยจนเราใช้ได้โดยที่ไม่แพ้เราก็บอกกับทุกคนได้ Packaging สี พวกโลโก้ต่าง ๆ เราก็มีส่วนร่วมทั้งหมด

ถาม : เรามองในเชิงธุรกิจอย่างไรบ้าง คิดว่าคนที่จะมาซื้อคือใครแล้วมองว่ามันจะมาแทนรายได้ที่แต่เดิมเราเป็นนักร้องได้เลยไหมหรือว่ายัง
ต่าย : จริง ๆ ที่เราตั้งใจทำอันนี้เพื่อแฟน ๆ ของต่ายเลย อีกอย่างเราก็อยากให้ทุกคนที่มีรายได้อยู่แล้วเป็นรายได้หลัก ..คือจริง ๆ เราไม่ได้หมายความว่าอยู่ดี ๆ มาอยู่กับเราแล้วร่ำรวยบางทีก็จะดูเป็นการโฆษณาเกินจริงเกินไปแต่ถ้าทุกคนมีรายได้อยู่แล้วถ้ามาร่วมงานกับเราเป็นครอบครัวกับเราก็จะมีรายได้เสริมมากขึ้นเพียงพอ กว่าที่จะเป็นอยู่ มันก็จะดีเนาะก็ไปช่วยดูแลพ่อแม่หาทุนให้ตัวเองได้ไปเรียนไปหาความรู้ไปพัฒนาตัวเองได้ อีกทางหนึ่งเราก็อยากให้น้อง ๆ มีความคิดความฝันที่อยากจะทำแต่ไม่กล้าทำ หนูก็อยากมีรายได้แต่หนูไม่กล้าแต่ว่าเราจะมีทีมที่คอยให้คำแนะนำคอยบอกว่าขายอย่างไรโพสต์อย่างไรทีมงานเราพร้อมเสมอขอแค่ว่าทุกคนเข้ามาด้วยความสนใจที่เป็นอยู่แล้วจะแข็งแรงขึ้นแต่คนที่ไม่เป็นก็จะค่อย ๆ เรียนรู้กันไป

ถาม : เราตั้งเป้าอย่างไรบ้าง
ต่าย : ธุรกิจขายตรงของเราบางคนก็กังวลว่าแบบมันต้องสต็อกของไหม แต่ของเราไม่ใช่แบบนั้นบางคนมีคนสั่งจำนวนเยอะแล้วกลัวจะไม่มีสินค้าส่งให้คนที่สั่ง ก็สามารถสต็อกได้ เพื่อไม่ให้ลูกค้ารอของ ถ้ามีกำลังในการสั่งแต่ถ้ากำลังไม่ถึงก็ไม่ต้องสต็อกของก็สบายใจ

ถาม : หวังว่าจะมียอดพุ่งได้แค่ไหน
ต่าย : จริง ๆ ภายในไม่เกิน 3 ปีเราก็อยากมีเครือข่ายให้ได้ถึง 20,000 – 30,000 คนนะอยากให้มีตัวแทนที่มาเป็นครอบครัวกับเราอันนี้เราก็ตั้งเป้าไว้อยากให้ทุกคนได้เปิดใจมาร่วมงานกับเรา

ถาม : แฟนคลับยังจะมีโอกาสได้ฟังพี่ต่ายร้องเพลงอยู่ไหมหลังจากที่พี่ต่ายทำธุรกิจแล้ว
ต่าย : ได้ฟังค่ะบางคนจะเข้าใจว่า พี่ต่ายมี “ออร่า-ทัย” แล้วคือจะเลิกร้องเพลงหรือเปล่าจริง ๆ ก็มีคำถามนี้ อย่างที่บอกว่าความฝันอย่างที่เราเคยคิดหวัง และฝันมาตลอดว่าวันนึงเราก็ยังอยากจะร้องเพลงอยู่แต่เรายังอยากมีอะไรบางอย่างที่มันเดินไปด้วยกันได้อย่างมั่นคงให้เรามีรายได้มาอีกทางนึงเพราะว่าการเป็นนักร้องเราจะวิ่งงานแบบตะลอน ๆ แบบเมื่อก่อนมันก็อาจจะไม่ได้ด้วยแรงด้วยกำลังเรา เพราะอันนี้มันเกิดขึ้นและก็เกิดขึ้นแล้วมันไม่ใช่แค่ความฝัน มันเป็นฝันที่เป็นจริงแล้ววันนี้เราก้าวขาลงเรือเราก็อยากให้อันนี้มันไปด้วยกันได้ทั้ง 2 ทางเพราะฉะนั้นก็มันต่อยอดมาจากการเป็นนักร้องเพราะฉะนั้นนักร้องเราไม่ทิ้งอยู่แล้วอันนี้มันแตกไลน์มาจากการที่เราได้ดูแลตัวเองเพราะว่าเราเป็นนักร้อง เพราะฉะนั้นมันยังต้องอยู่ควบคู่กันไปไม่ทิ้งแน่นอน

ถาม : คิดว่ารายได้มันจะมากถึงขั้นถึงขนาดที่พี่ต่ายจะเลิกร้องเพลงไหม
ต่าย : ไม่หรอกค่ะ ถึงเยอะขนาดไหนก็ร้องเพลงเหมือนเดิม คือถ้าทุกคนยังอยากฟังเพลงจากเราเราก็ยังทำโชว์อยู่ คนติดต่อไปงานเราก็ยังไปค่ะ อันนี้ถามเหมือนกับว่าเราจะเลิกร้องเพลงเลย

ถาม : ก็อย่างที่พี่ต่ายบอกผมนั่นแหละถ้าเกิดธุรกิจมันยุ่งแล้วพวกเรายังมีโอกาสไหมเพราะธุรกิจมันโตจริงๆมันก็จะไม่มีเวลา
ต่าย : เราก็จะมีทีมงานช่วย คืออย่างที่บอกเราเป็นศิลปินเราโตมาได้เราไม่ได้โตมาด้วยเราคนเดียวเพียงแค่ว่าเราเป็นคนออกสื่อหน้าเท่านั้นเองแต่ Backup ข้างหลังธุรกิจนี้มันก็ต้องมี Backup มีทีมงานที่คอยช่วยให้เราช่วยหนุนเราช่วยพัฒนาเราเพราะว่าเป็นนักร้องเรามาจากไม่ได้เก่งเลยพอต่ายมาปุ๊บทุกคนก็ต้องมาทำให้ต่ายพัฒนาว่าต่ายฟ้อนรำได้ไหมพัฒนารูปแบบการโชว์ได้หรือเปล่ามันก็ค่อยๆขยับ ไปทีละสเต็ป 5 ปีกว่าจะได้ทำอย่างหนึ่ง 5 ปีกว่าจะได้พัฒนาโชว์ ธุรกิจก็เหมือนกันว่าวันนี้เราเริ่มก้าวขามาแล้ว ต่ายเริ่มมาจากการที่เราไม่ได้มีประสบการณ์เลยวันนี้ต่ายเองก็บอกทุกคนไม่ได้ว่าต่ายเก่งแล้ววันนี้ยังมีอีกเยอะเลยที่เรายังไม่รู้เพียงแต่ว่าเราอยากทำตามความฝันเราเราได้เริ่มแล้ว แล้วพร้อมที่จะพัฒนามันเพียงแค่ว่าเราจะรู้เรื่องเราจะเก่งตอนไหนก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆเป็นธรรมชาติไปเรื่อยๆ

ถาม : มีอะไรที่ผมยังไม่ถามแต่อยากบอกหรืออยากจะฝากแฟน ๆ ของพี่ต่ายที่เติบโตมาด้วยกันอย่างไรบ้างครับ
ต่าย : ไม่ฝากอะไรเลยค่ะนอกจากว่าวันนี้อยากให้ทุกคนลองเปิดใจคืออย่าคิดว่าพอต่ายหันมาที่ ออร่าไทยแล้วจะเลิกร้องเพลงไม่ใช่นะคะก็ยังทำควบคู่กันไปอยู่เหมือนเดิมเพียงแค่ว่านะวันนี้อยากให้ทุกคนให้กำลังใจเหมือนเดิมว่าอีกหนึ่งความฝันเราเราได้เริ่มลงมือทำแล้วก็อยากให้ทุกคนคอยให้กำลังใจว่าสักวันหนึ่งจะพัฒนามันได้และจะไปถึงเป้าหมาย ไปถึงปลายทางได้อย่างไรอยากให้ทุกคนให้กำลังใจมีอะไรที่ต่ายยังไม่รู้เหมือนเส้นทางการเป็นนักร้องเหมือนกันก็อยากให้ทุกคนได้แนะนำ ก็ยินดีมาก ๆ เลย

ท้ายนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่ต่าย อรทัย ไปได้ดีบนเส้นทางสายธุรกิจนะครับ ท่านใดสนใจตามไปให้กำลังใจได้ที่ แฟนเพจ ต่าง อรทัย ขอบคุณพี่ต่ายที่ให้เกียรติมานั่งพูดคุยกันด้วยนะครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส