เป็นธรรมเนียมประจำทุกปีที่กองบรรณาธิบการ What the Fact หรือภาคบันเทิงของเว็บแบไต๋ จะร่วมกันโหวตเพื่อจัดอันดับหนังและซีรีส์ในดวงใจของแต่ละคนจากการที่ได้ชมในรอบปีที่ผ่าน แม้ว่าปีนี้จะมีหนังเข้าโรงฉายน้อยกว่าทุกปี แต่เป็นปีที่วงการสตรีมมิงกลับคึกคักอย่างมาก และปีนี้เราก็เพิ่มหมวดอันดับละครไทยเข้ามาด้วย เพราะมีนักเขียนที่โปรดปรานละครไทยอย่างมากเข้ามาร่วมทีมบรรณาธิการกับเราแล้วด้วย

เชื่อว่าบางเรื่องบางอันดับอาจจะตรงใจกับผู้อ่านนะครับ แต่เชื่อว่าบางเรื่องก็อาจจะรู้สึกเห็นแย้งก็เป็นได้ เป็นเรื่องปกติครับ ขนาดว่าในกองบรรณาธิการเรายังแย้งกันเองเลย หนังเรื่องโปรดของคนหนึ่งไปอยู่ในรายชื่อหนังน่าผิดหวังของอีกคนก็ยังมีเลย เรื่องหนังเรื่องเพลงเป็นเรื่องของรสนิยม แต่เราก็ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนถ่ายทอดแง่คิดมุมมองผ่านตัวหนังสืออย่างมีหลักการและมีเหตุผลประกอบในแง่คิดนั้น ๆ ขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามกันมาทั้งปีนะครับ เราจะตั้งใจทำหน้าที่ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวข่าวสารต่อไปอย่างดีที่สุด

และนี่คือ 3 อันดับที่โดนใจทีมงานในแต่ละหมวด

หนังที่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์

อันดับ 1 TENET

ความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับระดับเสด็จพ่อ Christopher Nolan นอกจากจะเป็นการกลับมาจับหนังสไตล์จารกรรมที่ผสมความเป็นไซไฟ-ทริลเลอร์ใกล้เคียงกับ Inception (2010) ที่สร้างไว้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อสิบปีก่อน Tenet ยังเต็มไปด้วยความเป็นต้นฉบับของวิธีการเล่าเรื่องเกี่ยวกับเส้นเวลาเดินหน้าย้อนกลับ ซึ่งยังไม่เคยมีหนังเรื่องไหนเล่าเรื่องนี้และด้วยวิธีเล่า 2 เส้นเวลาซ้อนทับสลับไปในแบบนี้มาก่อน ที่ทำให้หนังทั้งว้าว ! ทั้งน่างงไปพร้อมกัน ถึงอย่างนั้น หนังก็โดนติในเรื่องของการไม่ปล่อยให้คนดูได้สร้างความเห็นอกเห็นใจกับตัวละคร และวิธีการเล่าก็ไม่ประนีประนอมกับคนดู เทียบกับ Inception ที่ใช้เวลาองก์หนึ่งไปกับการอธิบายตรรกะต่าง ๆ ของโลกในหนัง ส่วน Tenet นั้นไม่เสียเวลาและปล่อยให้คนดูไปทำความเข้าใจกับตรรกะของหนังตามเหตุการณ์ที่ผ่านไปเอาเอง การที่ผู้กำกับสักคนจะสร้างหนังอย่างมั่นใจและไม่แคร์คนดูขนาดนี้ ในยุคนี้ก็อาจจะมีแค่ Nolan คนเดียว

หนังเป็นความบันเทิงสำหรับคอหนังไซไฟที่ชอบคิดจนหัวแตก ถึงอย่างนั้นหนังก็ไม่ได้ซับซ้อนสำหรับคนดูกลุ่มนี้มากนัก ที่จะเกิดเหตุดูแล้วจะไม่เข้าใจไปทั้งเรื่อง เมื่อเข้าองก์ 2 คนดูก็จะเริ่มจับต้นชนปลายถูกและอาจจะเดาออกถึงการคลายปมในองก์ 3 หรือสำหรับคนดูที่ดูแล้วยังไม่เข้าใจ ก็อย่างที่ผู้กำกับฝากบอกเอาไว่ว่า ไม่ต้องทำความเข้าใจกับตรรกะที่ Nolan พยายามป้อนใส่เข้ามา แต่ขอให้สนุกไปกับเรื่องราวตรงหน้า และฉากแอ็กชันไล่ล่าต่าง ๆ ที่หนังประเคนมาให้ (แล้วมาไล่อ่านบทวิเคราะห์เอาทีหลัง) นี่คือหนังที่สร้างบรรยากาศ “ถกเถียงหาคำตอบ” หลังหนังจบอีกครั้งให้กับผู้ชมทั่วโลก (ซึ่งไม่ได้มีบ่อย ๆ) หลังจากปีนี้หลายคนที่ยังไม่ได้ดูเมื่อได้ตามย้อนดูหนังเรื่องนี้หรือดูซ้ำรอบที่สองขึ้นไป ก็คงจะชอบหนังและได้ทำความเข้าใจกับรายละเอียดต่าง ๆ มากขึ้น และ Tenet นั้นคือหนังไซไฟตัวท็อปของทศวรรษนี้หรือศตวรรษนี้ในอนาคตอย่างแน่นอน

อ่านรีวิว Tenet

อันดับ 2 Soul

Soul พาผู้ชมไปสำรวจสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ซับซ้อนจนกลายเป็นตัวตน หรือที่เรียกว่าบุคลิก สอดแทรกประเด็นความมุ่งมั่น ความผิดหวัง ความกลัว ความลุ่มหลง และเสียสละ ผ่านตัวละครที่กำลังจะหมดกำลังใจในชีวิต และอีกตัวละครที่ต้องการแรงกระตุ้นที่ทำให้อยากมีชีวิต ซึ่งเป็นภาพสะท้อนจิตวิญญาณของการใช้ชีวิต จุดกำเนิดของความสุข และการปล่อยวาง นอกจากนี้ งานภาพที่ออกแบบท้องถนนนครนิวยอร์กออกมาได้นุ่มนวลด้วยโทนสีส้มและน้ำตาล ก็ให้ความรู้สึกหมองหม่นเล็ก ๆ สอดประสานกับจังหวะดนตรีแจ๊ส ซึ่งทำให้รู้สึกถึงการดิ้นรนใช้ชีวิตของชนชั้นกลางได้อย่างชัดเจน และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า Pixar สามารถยกระดับตนเองด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่ซีเรียสจริงจังระดับผู้ใหญ่ในมุมมองที่เด็กเข้าถึงได้อย่างแนบเนียน ไม่แพ้ Up, Inside Out, Finding Dory และ Toy Story 4 เลย

อ่านรีวิว Soul

อันดับ 3 Bird of Prey

หลังจากที่ปีก่อนโน้น DC ประสบความสำเร็จกับหนังแยกเดี่ยววายร้ายอย่าง Joker (2019) ไปแล้ว ก็ได้เวลาของ (อดีต) แฟนโจ๊กเกอร์ออกมาวาดลวดลายบ้าง คราวนี้ยัยฮาร์ลีย์ ควินน์ เปรียบเสมือนพิธีกรรายการโชว์อะไรสักอย่าง ที่จะพาเราไปค้นพบกับเรื่องราวใหม่ ๆ ภายหลังจากการเลิกรากับมิสเตอร์เจ และเรื่องราวของปมสไตล์หนังพลังหญิงที่แสนจะขมขื่นและโดนคุกคาม แต่ถูกฉาบเคลือบด้วยสีสันอันฉูดฉาด วิธีการเล่าเรื่องสไตล์หน้าชื่นอกตรม และลีลาอันแสนจะยียวนปนโรคจิตนิด ๆ ทั้งหมดนี้นำเสนอผ่านบทบาทของ “มาร์โกต์ ร็อบบี” ที่สามารถเป็นยัยฮาร์ลีย์ ควินน์ได้น่ารักน่าชังสุด ๆ ทำให้แม้หนังเรื่องนี้จะไม่จมดิ่งและโหดเหี้ยมเท่าโจ๊กเกอร์ แต่เราก็พร้อมที่จะรัก เห็นใจ และหมั่นไส้ยัยฮาร์ลีย์ ควินน์ไปพร้อม ๆ กันได้ในคราวเดียว

อ่านรีวิว Birds of Prey

เรื่องอื่น ๆ ที่เข้ารอบ

The Gentlemen, Antebellum, The Invisible Man

หนังที่ฉายทางสตรีมมิง

อันดับ 1 Mank

ผลงานที่ผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ แสดงให้เห็นถึงความลุ่มหลงในฮอลลีวูด ตัวภาพยนตร์ถูกสร้างออกมาด้วยสีขาวดำ พร้อมแสงสลัว ๆ และการอัดเสียงแบบโมโน ซึ่งสร้างกลิ่นอายยุค 1930′ ในโทนเดียวกับภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งอย่าง Citizen Kane (1941) ที่ตัวภาพยนตร์ได้กล่าวงถึงเบื้องหลังการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้ว่า Mank จะเดินเรื่องด้วยบทสนทนาที่ยาวเหยียด แต่เดวิด ฟินเชอร์ ก็เดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับตั้งใจใส่รายละเอียดมากมายลงไป เพื่อกระเทาะเปลือกของตัวละคร เฮอร์แมน เจ. แมนคีวิกซ์ หรือ แมงค์ จากมือเขียนบทฝีปากกล้า กระทั่งการเมืองได้เข้ามาพัวพันกับการสร้างภาพยนตร์ที่เขาเทิดทูน จนจิตใจค่อย ๆ ตกต่ำ ติดสุราเรื้อรัง และใกล้จะหมดไฟให้ผู้ชมได้เห็นภาพอย่างชัดเจน จนเกิดความเห็นอกเห็นใจ นอกจากนี้ เดวิด ฟินเชอร์ ยังมีความประณีตในการวางจังหวะบีบคั้นอารมณ์ที่ขัดแย้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่พีกที่สุด แต่ทำให้เข้าใจได้ว่า แมงค์ ต้องทรมานกับการไม่ยอมรับสภาพตัวเองเพียงไร

อ่านรีวิว Mank


อันดับ 2 the Trial of Chicago 7

แอรอน ซอร์กินทำลายอคติว่าหนังขึ้นโรงขึ้นศาลต้องน่าเบื่อแบบเหนือคาด ด้วยลีลาในการลำดับเรื่องที่ยอกย้อนซับซ้อนแต่ตามได้ไม่ยาก แถมพ่วงด้วยการแสดงเทพ ๆ ทั้งเอดดี้ เรดเมย์น และ ซาชา บารอน โคเอน ที่สาดสีสันให้เรื่องราวที่ดูซีเรียสทั้งฮาและเข้มข้น แต่เหนืออื่นใดคือโอกาสและความประจวบเหมาะที่หนังได้สตรีมในช่วงการชุมนุมพอดีเลยทำให้หนังเรื่องนี้ประหนึ่งบทเรียนด้านประชาธิปไตยที่มาแบบโคตรถูกเวลา

อ่านรีวิว Trial of Chicago 7

อันดับ 3 Extraction

Extraction เป็นหนังขายความบันเทิงที่มาพร้อมสูตรสำเร็จล้วน ๆ พระเอกเท่หล่อ ภายนอกแข็งแต่จิตใจอ่อนโยนรักและผูกพันกับเด็กในความคุ้มครอง ตัวร้ายโหดดุ มีสัดส่วนของแอ็กชันและดราม่าที่ลงตัว และเหตุที่ทำให้เรื่องนี้ถูกใจผู้ชมวงกว้างมากเป็นพิเศษ ก็ต้องชี้ไปที่ฉากแอ็กชันที่จัดหนักจัดเต็ม แม้หนังแอ็กชันจะแน่นตลาด มีมาให้เราดูแทบไม่ขาดสาย แต่สำหรับเรื่องที่ระเบิดภูเขาเผากระท่อมหนัก ๆ แบบนี้ก็มีมาไม่บ่อยนัก ทั้งฉากต่อสู้ด้วยอาวุธและมือเปล่า ฉากลองเทคทำได้สนุกตื่นเต้นน่าประทับใจ โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องที่รบบนสะพานก็ทำได้มันส์สะใจแบบยาว ๆ แล้วพระเอกก็ไม่ได้เก่งเวอร์ขนาดเป็นซูเปอร์แมน ทำให้สัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และที่สำคัญคนไทยต้องขอบคุณเป็นพิเศษที่มาถ่ายทำในประเทศไทย ถ้าไม่ติดเรื่องโควิด-19 ราชบุรีคงได้อานิสงส์จากเรื่องนี้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักอีกแห่ง

อ่านรีวิว Extraction

เรื่องอื่น ๆ ที่เข้ารอบ

The Devil All the Time, Da 5 Blood

(อ่านต่อหน้าถัดไปกับ ทีวีซีรีส์)

ทีวีซีรีส์

1.The Queen’s Gambit

ลำพังซีรีส์เกี่ยวกับหมากรุกก็มีไม่เยอะ แต่ซีรีส์ที่เกี่ยวกับหมากรุกที่ดูแล้วตื่นเต้นอย่างกับเล่นหมากรุกซะเอง คงมีแค่ซีรีส์ 7 ตอนเรื่องนี้แหละครับ เพราะนี่คือซีรีส์ที่มีดีทั้งการผูกปมเรื่องราวของเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์บนกระดานหมากรุก ที่เดินเกมบนกระดานได้เฉียบขาดไม่แพ้ผู้ชาย แต่จากปมปัญหาในวัยเด็ก สู่อาการอวดดีในวัยรุ่น นำไปสู่ชีวิตนักหมากรุกสาวแอลกอฮอล์ลิซึม ทำให้เธอหวิดเดินหมากชีวิตเละเทะจนเกือบจะโดนรุกฆาต ซึ่งนำเสนอผ่านการแสดงอันมีเสน่ห์และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของ “อันยา เทเลอร์ “น้องจอย” ทำให้ต่อให้เราจะไม่เข้าใจกติกาหมากรุกอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เราได้ลุ้นตัวโก่งและหลงรักในเสน่ห์ของเกมบนกระดาน และเกมชีวิตของเบธ ฮาร์มอน ในแบบลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น

อ่านรีวิว The Queen’s Gambit

อันดับ 2 The Crown season 4

The Crown season 4 ซีรีส์ใด ๆ มักมีจุดพีกจุดแผ่ว แต่ไม่ใช่กับ The Crown ที่จุดแข็งมีมาตั้งแต่ซีซันแรกจะด้วยคุณภาพโพรดักชัน การแสดง และการเล่าเรื่องสุดคมคาย การที่ซีซัน 4 ที่น่าจะเลยจุดพีกสุดไปแล้วยังเข้าชิงซีรีส์แห่งปีของหลายคนได้ จึงปฏิเสธไม่ได้ล่ะว่ามันเป็นซีรีส์เพชรน้ำเอกขนาดไหน ยิ่งว่ามันคือซีซันสุดท้ายของทีมนักแสดงที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในซีรีส์ชุดนี้ และยังเป็นช่วงประเด็นร้อนแรงที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตควีนที่เกี่ยวพันกับเจ้าหญิงไดอาน่าที่คนทั่วโลกรู้จักดี ร้อนแรงถึงขนาดว่าราชวงศ์อังกฤษขอร้องให้ช่วยระบุว่าเป็นเรื่องแต่ง แซ่บขนาดนี้ ซีรีส์แห่งปีต้องให้เขาจริง ๆ

อ่านรีวิว The Crown ซีซัน 4

อันดับ 3 Raised by Wolves

ดีใจที่เห็นปู่ริดลีย์ สก็อต ทำอย่างอื่นนอกจากหนังเอเลียนเสียที แต่ไม่ได้หมายความว่าแกจะทิ้งลายนะครับ ตรงกันข้ามปู่กลับครีเอตเรื่องราวโลกอนาคตที่คนถูกเลี้ยงโดยหุ่นแอนดรอยด์พร้อมตั้งคำถามถึงศรัทธาต่อพระเจ้าได้น่าคิดตาม แถมยังเซอร์วิสแฟน ๆ เอเลียนด้วยฉากโหด ฉากแหวะ แบบจัดเต็มทุกตอนจนทำให้ Raised by wolves กลายเป็นซีรีส์โคตรเยี่ยมประจำปีนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา

เรื่องอื่น ๆ ที่เข้ารอบ

The Mandalorian season 2, Itaewon Class, World of marriage couples, Alice in Borderland

หนังน่าผิดหวังที่สุดแห่งปี

อันดับ 1 Dolittle

Dolittle จะไม่น่าผิดหวังเท่านี้ ถ้าดารานำไม่ได้ชื่อ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ แต่ Dolttle ถูกคาดหวังในฐานะหนังเรื่องแรกที่ ป๋าดาวนีย์มารับบทนำ หลังจากออกจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลอย่างเป็นทางการ ที่จริงถ้าถามเด็ก ๆ ก็คงได้คำตอบว่าเป็นหนังเรื่องโปรดล่ะนะ เพราะเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ที่พูดได้เต็มไปหมด แต่ก็นั่นแหละด้วยเรต PG ที่ผู้สร้างต้องการ มันก็เลยไม่เป็นความบันเทิงนักสำหรับผู้ชมรุ่นใหญ่ ที่ภาพสัตว์พูดได้ในวันนี้ก็ไม่ได้ชวนให้ตื่นตาตื่นใจเสียแล้ว และเนื้อหาก็ไม่ได้ชวนติดตาม ตัวร้ายก็ดูจืดชืดไร้พิษสง ปัญหาคลี่คลายได้โดยง่าย แล้วภาพลักษณ์ของป๋าดาวนีย์ก็ดูใกล้เคียงกับ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ของเขาพอดู

อ่านรีวิว Dolittle

อันดับ 2 Mulan

Mulan เผื่อใครยังไม่รู้ Mulan คือหนังที่คนรอชมมากที่สุดในโลกในปีนี้จากการรวมสถิติการค้นหาและการพูดถึงในโลกอินเทอร์เน็ตในปี 2020 ทั้งดาราที่คัดมาเล่นก็ดัง หนังตอนเป็นแอนิเมชันก็ดี พอความคาดหวังทะลุปรอทขนาดนี้ เมื่อมันสะดุดจึงกลายเป็นการขมำหน้าคว่ำที่เรียกว่ายักษ์ล้มหรือความน่าผิดหวังที่สุดแห่งปีไปได้อย่างง่าย ๆ เช่นกัน ถึงจะไม่นับปัญหานอกตัวหนังอย่างเรื่องการแบนนักแสดงนำ หรือปัญหาที่มันมีกับประเทศจีนแล้ว แต่กับเรื่องที่มันตีความความเชื่อของจีนแบบผิด ๆ จนเข้าขั้นเสร่อ และความอีเหละเขะขะในการนำเสนอ ก็ทำให้มันกลายเป็นรื่องตลกล้อเลียนสำหรับใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ต้องไปคุ้ยถึงความล้มเหลวด้านรายได้ แค่นี้ก็คงพอมั้ง ว่าทำไมมันถึงน่าผิดหวังที่สุดในปีนี้

อ่านรีวิว Mulan

อันดับ 3 Wonder Woman 1984

ด้วยความที่หนังภาคแรกทำไว้อย่างยอดเยี่ยม ในแง่ของการเป็นหนังฮีโรหญิงนำเดี่ยวผู้จะกรุยทางให้กับหนังฮีโรหญิงไม่ว่าจะทั้งจากจักรวาลดีซีหรือมาร์เวลเองก็ตามอีกมากมาย การเป็นหนังดีซีเรื่องแรกที่ออกจากความหม่นมืดของเรื่องราว และประสบความสำเร็จมากที่สุดของหนังจักรวาลดีซี (ตามมาด้วย Aquaman) จึงไม่แปลกที่หนังภาค 2 จะแบกความคาดหวังว่าจะทำได้ลงตัวเหมือนกับภาคแรก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วหนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งของ Wonder Woman 1984 กลับเต็มไปด้วยความยืดยาดและสามารถตัดให้หนังเหลือ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ยังได้ (นี่ขนาดผู้กำกับ Patty Jenkins บอกว่า หนังถูก Warner Brothers สั่งตัดออกไปราว 15 นาทีแล้ว)

ตามชื่อเรื่อง หนังภาคนี้มีบรรยากาศของเรื่องเกิดในยุค 80s ซึ่งทำได้หยาบมากกว่าซีรีส์ Stranger Things หรือหนังฮิต ๆ หลายเรื่องที่หยิบสถานที่ แฟชั่น และเพลงของยุคนี้มาสร้างใหม่ในธีมหนัง Nostalgia หรือหนังย้อนวันหวาน เพราะเอาเข้าจริง ๆ สถานการณ์ในเรื่องจะเกิดในยุคไหนก็ได้ แต่ผู้สร้างคงอยากจะหยิบเอายุค 80s ที่หลายเรื่องทำแล้วฮิตมาใส่ในหนัง และทำให้ Steve Trevor ที่ได้กลับมาอีกครั้ง ทำท่าตื่นตาระคนแปลกใจไปกับโลกที่ต่างไปจากยุคที่เคยอยู่เมื่อ 60 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งกลายเป็นช่วงที่เล่าได้ยืดเยื้อและน่ารำคาญกับการผลิตมุกซ้ำนี้อยู่หลายรอบ นอกจากนี้ ตัวร้ายของเรื่องก็ทำออกมาได้เชยสมยุค 80s ทั้งตัวร้ายหลักและตัวร้ายรองซึ่งทำให้หนังหมดความน่าเชื่อถือและกลายเป็นหนังการ์ตูนดาด ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ฉากแอ็กชันมัน ๆ มีแค่ 3 ฉากตลอดเรื่องก็ไม่ได้น่าตื่นตาหรือตื่นเต้นอีกแล้วเมื่อเทียบกับภาคแรก

ข้อดีเพียงไม่กี่อย่างของหนัง (ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถถมทับข้อเสียอันมากมาย) ก็คือ ความสวยสง่าบารมีของ Gal Gadot ในบทสาวน้อยมหัศจรรย์ และการหยิบประเด็นความรักของ Diana และ Steve มาเล่นอีกรอบ ลงเอยด้วยความสะเทือนใจในตอนจบที่ทำได้ซาบซึ้งพอ ๆ กับภาคแรก ทั้งหมดทั้งมวลอาจต้องโทษไปที่ผู้กำกับ Patty Jenkins ที่มั่นใจกับวิธีการเล่าในสิ่งที่เธออยากเล่ามากเกินไป จนหนังเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ต้องเล่าและตัดออกได้เต็มไปหมด

อ่านรีวิว Wonder Woman 1984

เรื่องอื่น ๆ ที่เข้ารอบ

Peninsula, The New Mutant, เฮ้ย!ลูกเพ่ นี่ลูกพ่อ, AVA

(อ่านหน้าถัดไปสำหรับ ละครไทย)

ละครไทย

อันดับ 1 ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ : ละครแห่งปีที่ปังที่สุด!!

จากภาพยนตร์เป็นละคร นอกจากความสนุกเข้มข้นที่ทำออกมาได้ไม่แพ้ฉบับภาพยนตร์ ยังเผยให้เห็นฝีมือการแสดงของ เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน และ จูเน่-เพลินพิชญา โกมลารชุน ที่ต้องปรบมือให้ คาดไม่ถึงจริง ๆ จ้ะว่าเจ้านายจะเล่นได้สมบทบาทขนาดนี้ และเห็นการพัฒนาของจูเน่ด้านการแสดงได้ชัดมากขึ้นอีก กับบทและเนื้อหาที่ทิ้งคำถามไว้มากมายให้กับผู้ชม ก็อดไม่ได้ที่จะขอยกให้เป็นละครที่ปังที่สุดแห่งปี 2020 ไปเลยจ้ะ

อ่านรีวิว ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์

อันดับ 2 ตราบฟ้ามีตะวัน : พระ-นาง เคมีใหม่ ที่ปังที่สุด

ละครโรแมนติก ดราม่า คอมเมดี้ ครึ่งปีหลังของช่อง 3 ที่บทส่งซะเหลือเกินและฝีมือของทั้งคู่ก็การันตีซะอีกด้วย จนทำเอาแฟนคลับ หมาก-เก้า เคลิ้มไกลไปถึงเมืองจีน ถึงขนาดที่ออกอากาศยิงยาวทุกวันจนจบ ก็ยังไม่สาแก่ใจแฟนละคร จนเกิดเสียงเรียกร้องจากแฟน ๆ ขอคู่นี้อีกเรื่องหนึ่งเถอะ อย่าว่าแต่ใครเลย เราเองก็เคลิ้มไปกับผลงานการแสดงของคู่นี้เหมือนกัน จึงขอยกให้เป็นพระ-นางเคมีใหม่ ที่ปังที่สุดแห่งปี 2020

อ่านรีวิว ตราบฟ้ามีตะวัน

อันดับ 3 ร้อยเล่ห์มารยา พระ-นางเคมีเดิม ที่ปังไม่หยุด

ละครเอาใจตลาดที่พล็อตไม่เน่า แถมยิ่งเล่าก็ยิ่งแซบ กับนางเอกสู้คนที่ไม่ต้องพึ่งวิญาณแม่การะเกดให้เสียเวลา ส่งให้โป๊ป-เบลล่า เป็นพี่มิลกับน้องเอม ที่คนดูเอาใจช่วยติดขอบจอ ถึงแนวละครจะคนละขั้วกันเลยกับบุพเพสันนิวาส แต่พระนางคู่นี้ยังครองกระแสความหวานกันได้ไม่หยุด คงไม่มีพระนางเคมีเดิมคู่ไหนที่ปังไม่หยุดในปี 2020 เท่าคู่นี้อีกแล้วจ้า

อ่านรีวิว ร้อยเล่ห์มารยา

อีกหลายเรื่องที่นักเขียนประทับใจและอยากกล่าวถึง

Voice สัมผัสมรณะ ละครรีเมกที่ดีที่สุด
เป็นละครรีเมกเกาหลีที่ทำได้ดีกว่าต้นฉบับ โดยเฉพาะการแสดงของพระ-นาง แอนดริว แพนเค้ก

365วัน บ้านฉันบ้านเธอ ละครครอบครัวที่น่ารักที่สุด
เป็นละครครอบครัวที่ครบรส สาระ เฮาฮา สนุกสนานและละมุนไปกับเด็ก ๆ จาก BNK48

แปลรักฉันด้วยใจเธอ ซีรีส์ Y ที่ดีสวยงามที่สุด
ซีรีส์วายที่ใช้การสื่อสารได้งดงามที่สุด อารมณ์ ความรู้สึก ภาพ เสียง สี ครบองค์ประกอบ

ร้อยป่า จากนิยายเป็นละครที่ดีที่สุด
เป็นละครที่ทำจากนิยายได้ร่วมสมัยและไม่เสียบทประพันธ์ จนทำให้เรตติ้งครองอันดับ 1 ของละครที่ออนแอร์ในเวลาเดียวกัน

อุ้มรักเกมลวง รุ่นใหญ่มาเองที่แจ่มที่สุด
ดราม่าคอมเมดี้ ที่อวดฝีมือดารารุ่นใหญ่ กบ โดนัท ดอม ป้อง กับบทดี มีสาระ ครบรส

ผู้บ่าวอินดี้ยาหยีอินเตอร์ ละครรีรันที่ปังที่สุด
ละครคอมเมดี้ ที่ฮาตลอดทั้งเรื่อง สนุกสนานครบรส รีรันในช่วงโควิด 19 ระบาด และสามารถแย่งเรตติ้งละครใหม่ไปได้หมดทุกเรื่อง ในแบบชนะขาด

ดั่งดวงหฤทัย อลังการสมการรอคอย ที่อกหักที่สุด
ละครแห่งการรอคอยที่อลังการจริงในเรื่องคอสตูม แต่ทำเอาแฟน ๆ อกหักกับบทที่เพิ่มเติมจากบทประพันธ์และ CG ที่อยากจะร้องไห้

ครบหมดทุกหมวดสำหรับปีนี้แล้วครับ อาจจะมีเรื่องที่ตรงใจผู้อ่านบ้างนะครับ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์เป็นแนวทางในการรับชม เผื่อว่าใครพลาดเรื่องไหนไปได้ไปตามหาชมย้อนหลังกันได้นะครับ