เป็นอีกเรื่องที่แปะรูปช่อมะกอกการันตีมาเต็มโปสเตอร์ จนแทบไม่ต้องใส่รูปอื่น สำหรับ Manchester by the Sea เพราะพี่แกคว้ามาแล้วจนบัดนี้ 94 รางวัล!!! (ถ้านับที่ได้เข้าชิงทั้งหมดก็ปาไปเกือบ 300 รางวัล บร่ะ!) และยังเป็นอีกหนังตัวเต็งที่มีโอกาสลุ้นรางวัลออสการ์ในปีนี้ด้วย เพราะเข้าชิงถึง 6 รางวัล รวมถึงสาขาใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย โดยเฉพาะสาขาที่นำโด่งมาเลยอย่างนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ เคซีย์ แอฟเฟล็ค นั้น ก็เด่นนำมาตั้งแต่เปิดตัวในเทศกาลหนังซันแดนซ์เรื่อยมาจนลูกโลกทองคำทีเดียว เรียกว่าไม่น่าพลาดน่ะ

หนังเป็นผลงานกำกับและเขียนบทของ เคนเน็ธ โลเนอร์แกน ที่มีผลงานกำกับหนังบทดีแต่ไม่ดังอย่าง You Can Count on Me (2000) กับ Margaret (2011) และเขียนบทให้รุ่นเก๋าทั้งหลายกำกับอย่าง Analyze This (1999) Analyze That (2002) และ Gangs of New York (2002) เรียกว่ามาทางงานเขียนบทเทพเป็นทุน ซึ่งมารอบนี้เคนเน็ธควักไอเดียและแรงบันดาลใจจัดเต็มลงไปในบทหนังเรื่องใหม่ จนติดเป็น The Black List หรือบทหนังยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้รับการนำไปสร้างประจำปี 2014 ด้วย (หนังฉายปีนี้ที่เป็น Black List อีกเรื่อง ซึ่งแบไต๋เคยรีวิวไปก็เรื่อง Jackie นั่นเอง) แล้วหนังเรื่องนี้ก็ทำให้แกได้เข้าชิงสาขากำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมอีกด้วย ปีทองของแกจริงๆ

ผู้กำกับเคนเน็ธ ระหว่างกำกับเคซีย์ที่แสดงนำ นอกจากนี้แกยังปรากฏตัวเป็นคามิโอในฉากที่ชาวเมืองคนหนึ่งเดินมาด่าพระเอกด้วย

แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะหวานหมูสำหรับเคนเน็ธนะ จริงๆ ต้องเรียกว่าฟ้าใสหลังพายุผ่านน่าจะดีกว่า เพราะในปี 2011 เฮียเคนเน็ธกำลังชีวิตบัดซบสุดๆ ด้วยหนังของแกเรื่อง Margaret ที่มี แม็ตต์ เดมอน แสดงนำ ต้องอยู่ในกระบวนการฟ้องร้องกับศาลอยู่นานโข เพราะติดปัญหากับทางโปรดิวเซอร์หนัง และค่ายฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์ ด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการจบงานให้ได้ จนหนังที่น่าจะฉายตั้งแต่ปี 2007 ต้องเสียเวลาไปอีก 4 ปี และเคนเน็ธต้องไปยืมเงินเพื่อนเพื่อมาตัดต่อหนังให้จบอีกต่างหาก ไม่รู้เพราะอย่างนี้มั้ยเขาเลยถ่ายทอดชีวิตตกต่ำรันทดของตัวละครได้ดีขนาดนี้

เดิมหนังเรื่องนี้เป็นโปรเจคของ แม็ตต์ เดมอน ที่เอาไอเดียที่เขาเคยคุยกับจอห์น คราซินสกี้ เอามาให้เคนเน็ธเขียนบท ซึ่งตอนแรกเลยเดมอนกะจะประเดิมกำกับหนังเป็นเรื่องแรกและกะจะเล่นเองด้วย แต่เพราะเคนเน็ธต้องสู้ในศาลไปด้วยเขียนบทไปด้วยพี่แกเลยใช้เวลาเขียนบทล่อไปกว่า 2 ปี (ซึ่งปกติพี่แกเขียนบทนาน และบทยาวเป็นร้อยๆหน้าประจำอยู่แล้วด้วยนะเพราะมาจากสายละครเวที) ตอนนั้นแม็ตต์ก็เลยติดตารางถ่ายทำ The Martian (2015) ไปเสียแล้ว หวยเลยมาตกที่เคนเน็ธต้องกำกับเอง และได้เคซีย์เพื่อนวัยเด็กของแม็ตมารับบทนำแทน ส่วนแม็ตต์ก็ผันไปเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งก็ได้ช่วยพาให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังเรื่องแรกที่จัดจำหน่ายผ่านบริการสตรีมมิ่งโดย อะเมซอนสตูดิโอ ด้วย เรียกว่าเคราะห์ร้ายกลายเป็นดีว่างั้นเถอะ

จบชีวิตรันทดของผู้สร้าง เอาแหละมาพูดถึงหนังบ้าง

แม็ตต์ โปรดิวเซอร์ของหนังที่ดึงอะเมซอนสตูดิโอ เข้ามาร่วมชิงรางวัลหนังยอดเยี่ยมออสการ์สำเร็จ

หนังเล่าถึง ลี แชนด์เลอร์ (เคซีย์) ที่ต้องจำใจหวนกลับมายังเมืองเกิดชื่อ Manchester by the Sea ทั้งที่พยายามหนีจากอดีตของตัวเองและผู้คนรอบตัวที่เคยรู้จักในเมืองเล็กๆนี้มาตลอด เพราะ โจ (ไคล์ แชนด์เลอร์) พี่ชายของเขาเกิดด่วนจากไปอย่างกะทันหัน ทิ้งลูกชายชื่อ แพทริก (ลูคัส เฮดจ์ส) ไว้เพียงลำพัง ลีต้องพยายามเป็นผู้ปกครองที่ดีพอสำหรับหลานชายในขณะที่เขาเองก็ต้องต่อสู้กับความผิดบาปที่ตัวเองหลบหนีมาตลอดชีวิตที่บ้านเกิดนี้ด้วย จุดที่น่าสนใจคือหนังสะท้อนสังคมครอบครัวแบบผู้ชายล้วนที่น่าสนใจ คือในหนังผู้หญิงถูกกันออกไปนอกพื้นที่ และเมื่อผู้ชายต้องดูแลกันเอง ตามประสาผู้ชายๆ ที่มักเก็บความรู้สึกและมักแสดงความรู้สึกต่อญาติพี่น้องผู้ชายด้วยกันแบบแข็งๆ ตัวละครต่างๆ ทั้งที่รักและห่วงกันมากแต่ก็เหมือนเย็นชาใส่กันไม่ใส่ใจกัน ภาษาการ์ตูนก็คงบอกว่า ซึน นั่นล่ะครับ นี่พิมพ์เรื่องย่อไปยังนึกว่าพิมพ์เรื่องย่อหนังเก่าๆพวกหนังดราม่าล่ารางวัลทั้งหลายอยู่เลย เรียกว่าหนังปูมาทางดราม่าสุดขั้นเลยทีเดียว

หนังค่อยๆ สอนชีวิตเรา ผ่านตัวละครตามภาษาหนังดราม่าชีวิตครับว่าด้วยการผ่านวิกฤตในชีวิตต่างๆ รวมถึงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคน โดยเฉพาะคนในครอบครัวแบบผู้ชายผู้ชาย ตรงนี้ผู้ชายน่าจะอินกว่าผู้หญิงครับเพราะผู้กำกับใช้มุมมองผู้ชายเป็นหลักเลย ทำให้ได้รสแปลกใหม่ในหนังครอบครัวที่มักมีมุมมองแม่หรือผู้หญิงขับอารมณ์ด้วย แต่ก็ในเคสว่าถ้าผู้ชายชอบดูหนังแนวนี้นะน่ะ

แต่นอกจากพล็อตเรื่องทั่วๆ ไป ที่ดำเนินเรื่องไปแบบเอื่อยๆ เรื่อยๆ ผ่านชีวิตของเมืองเล็กๆ เงียบๆ ริมทะเลเหมือนหนังยุคเก่าๆแล้ว หนังก็ยังเลือกเล่าแบบไม่หวือหวาอีกคือขาดสถานการณ์สนับสนุนช่วยด้านอารมณ์ คงต้องเป็นสายเพลิดเพลินกับดราม่าบทสนทนาจริงๆครับ เพราะบทสนทนาและแอ็กชั่นตอบรับกันระหว่างนักแสดงนั้นเป็นธรรมชาติ น่าสนใจตลอดและสนุกมาก แต่ถ้าใครไม่ชอบอะไรแนวนี้มีแนวโน้มคาโรงได้ครับเพราะหนังยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ทีเดียว อีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือการถ่ายภาพที่เหมือนคิดมาเพื่อลงบริการดิจิตอลทำให้ภาพค่อนข้างใส คม ต่างจากพวกหนังสไตล์ฟิล์มมากทีเดียว ก็กลายเป็นองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ปรุงแต่งหนังเรื่องนี้ให้ดูแปลกใหม่ขึ้นมาครับ

มาพูดถึงข้อเด่นจริงๆ ของหนัง และทุกคนจับตามองอยู่จริงๆ คงเป็นการแสดงที่ล่ารางวัลมามากมายของเคซีย์ ตรงนี้มองแบบกลางๆเลยคือ ตัวละครมีความซับซ้อนในตัวเองสูง จากคนร่าเริงปากหมากลายเป็นพวกพูดน้อยต่อยหนักและขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนขั้นสุด จนการแสดงออกของตัวละครนี้มันแข็งทื่อไปหมด มันก็พูดยากนะครับว่าเขาแสดงดีหรือแสดงแข็ง ตัวละครนี้เด่นขึ้นมาได้เพราะองค์ประกอบของบท และการแสดงของตัวละครรายล้อมอื่นๆที่ส่งพลังช่วยเอามากๆเสียมากกว่า โดยเฉพาะเหล่าผู้หญิงตัวอย่างเช่น มิเชล วิลเลี่ยมส์ ที่เข้าชิงสมทบหญิงยอดเยี่ยมนั่นล่ะ ที่แสดงอารมณ์อย่างเปิดเผยมากกว่า มันจึงมีฉากแค่ไม่กี่ฉากจริงๆที่ผู้ชายในเรื่องได้แสดงภาวะอารมณ์ภายในของตัวละครออกมาให้เห็น ตรงนี้เราเห็นน้องลูคัส ที่เข้าชิงสมทบชายยอดเยี่ยมยังได้โชว์ของชัดมากกว่าเคซีย์เสียอีก ก็น่าลุ้นรางวัลสาขานักแสดงทั้งสามคนครับ

สรุป

ใครสายดราม่าเพียว ที่ไม่ได้เน้นแค่โศกเศร้าเอาน้ำตา แต่เล่าด้วยสีสันอย่างมีเสน่ห์ มีบทสนทนาที่สนุกน่าสนใจ เอาใกล้ๆว่าถ้าใครชอบ Boyhood (2014) ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ครับ ส่วนใครหวังไปชมฝีมือการแสดงก็ไปตัดสินด้วยตาตนเองดีที่สุด ส่วนที่ผมชอบที่สุดในหนังคงเป็นเรื่องบทที่ธรรมชาติและคมคายมากครับ ส่วนใครขยาดหนังช่อมะกอก สำหรับเรื่องนี้อาจรู้สึกดีขึ้น แต่ก็น่าจะยังไม่หายขยาดล่ะครับ

Play video