ใครยังจำอนิเมชั่นในตำนานของ จิบลิ อย่างเรื่อง สุสานหิ่งห้อย ได้คงรู้ดีว่าอนิเมชั่นทำเราร้าวรานใจได้มากขนาดไหน ยิ่งช่วงเวลาแห่งความสุขมีมากแค่ไหน โศกนาฏกรรมตอนท้ายก็ยิ่งชวนสะเทือนใจมากขึ้นเท่านั้น (ผมนี่ร้องไห้เป็นเผาเต่าเลย) วันนี้มีอนิเมชั่นที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ เพราะสามารถแทรกชื่อเข้าเป็น 10 หนังยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสารหนังเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง คิเนม่า จุนโป (Kinema Junpo) โดยคัดเลือกมาจากการลงคะแนนของนักข่าวและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ชั้นนำของญี่ปุ่นจำนวน 100 ชีวิต ทั้งยังเป็นอนิเมชั่นเรื่องเดียวในรอบ 28 ปีที่เข้ามาติดอันดับนี้ได้ นับจากปี 1988 ที่ โทโทโร่เพื่อนรัก (Tonari no Totoro) ของ มิยาซากิ ฮายาโอะ ด้วย

(ภาพบน) ซึสึ จาก In This Corner of the World (ภาพล่าง) เซซึโกะ จาก Grave of the Fireflies

อนิเมชั่นมือวาดเรื่องยอดเยี่ยมนี้ ก็คือ In this corner of the world (Kono Sekai no Katasumi ni) โดยเป็นผลงานกำกับของ คาตาบุจิ สุนาโอะ ผู้กำกับที่เคยมีผลงานอนิเมะทีวีซีรีส์สุดมันอย่าง Black Lagoon ด้วย มาครั้งนี้เขาได้นำมังงะรางวัล Excellence Prize ในงาน 13th Japan Media Arts Festival เรื่อง To All the Corners of the World ของนักวาดหญิง โคโนะ ฟูมิโยะ  มาถ่ายทอดด้วยลายเส้นอ่อนหวานเบาสบาย ที่ชวนให้นึกถึงอนิเมชั่นครอบครัวอย่าง My Neighbors the Yamadas (1999) ผสมเรื่องราวแบบ สุสานหิ่งห้อย หรือ Grave of the Fireflies (1988) ของ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งจิบลิด้วย

ดุจากฉบับมังงะของ ฟูมิโยะ เรียกว่าหนังถอดลายเส้นและอารมณ์มาได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย

หนังเล่าเรื่องของ ซึสึ (ให้เสียงโดย นน-โนเน็น เรนะ) หญิงสาววัย 18 ปีที่อยู่ๆก็ต้องย้ายจากบ้านเกิดในฮิโรชิมาเข้ามายังเมืองท่าของกองทัพเรืออย่างคุเระ ใกล้เมืองฮิโรชิมา เพื่อแต่งงานกับ โฮโจ ชูซาคุ (โฮโซยะ โยชิมาซะ) เสมียนประจำกองทัพเรือ ที่เคยได้พานพบกันเมื่อสมัยเด็กและเขาก็เฝ้าตามหาเธอมาตลอด ในขณะที่ทางซึสึเองเป็นเด็กช่างฝันชอบเหม่อลอยกับวิวทิวทัศน์และรักการวาดรูปมาก เธอมักสับสนว่าตื่นหรือฝันอยู่ แน่นอนชีวิตการเป็นสะใภ้ที่ต่างเมืองนั้นไม่เคยอยุ่ในความคิดเธอเลย แต่กระนั้นครอบครัวของชุซาคุเองก็ให้เกียรติและดูแลเธออย่างดี เธอจึงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความหวังในอนาคตอันสวยงาม

ซึสึ ชอบเหม่อและช่างฝัน ช่างเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ควรอยู่ในเรื่องสงครามแบบนี้เลย

แต่แล้วเมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น ชีวิตของพวกเธอก็ต้องค่อยๆรับการเปลี่ยนแปลงทั้งอาหารและเครื่องใช้ที่ได้รับน้อยลง ไปจนถึงความหวาดกลัวและการสูญเสียที่เลี่ยงไม่ได้ หนังค่อยๆเล่าลำดับตามเดือนตามสัปดาห์ แบบค่อยๆขยับเข้าสู่วันที่ 6 และ 8 สิงหาคม ปี 1945 ซึ่งเราๆรู้ดีอยู่ถึงชะตากรรมของเมืองใกล้ๆกับฮิโรชิมา เมื่อกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่นางาซากิและฮิโรชิมา ตรงนี้เป็นความบีบคั้นที่เราทราบชะตากรรมของตัวละครล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าเธอโชคดีที่รอดชีวิตมาได้เพราะอยุ่ห่างจากเมืองฮิโรชิมาพอประมาณ แต่สงครามครั้งนั้นก็พรากหลายอย่างไปจากเธอจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว และชูซาคุ คนรัก รวมถึงความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ เธอจึงพร้อมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อด้วยความหวังต่อไป ซึ่งเราก็รู้ดีกันว่าพวกคนที่รอดจากระเบิดครั้งนั้นต้องทนทุกข์มากขนาดไหนครับ

หนังหลอกเรามากกับสไตล์ภาพที่ดูไม่เน้นสมจริง แต่ออกจะการ์ตูนและชวนฝันมากๆ คาแรกเตอร์ของซึสึก็ทำให้คนหลงรักในความไร้เดียงสาของเธอได้มากเช่นกัน หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นชีวิตมนุษย์ธรรมดาที่แม้จะมีเรื่องทะเลาะกันบ้างทุกข์ใจบ้าง แต่ก็มีความสุขตามประสาคนธรรมดาๆ ตัวร้ายของเรื่องจึงอาจเป็นสงครามและโชคชะตาเสียมากกว่าที่เข้ามาทำลายทุกอย่าง ตามสไตล์เรื่องราวที่ออกมาต่อต้านสงครามทั้งหลายครับ แม้ในฉากหนึ่งซึสึจะถึงก่นด่าอย่างโกรธแค้นที่กองทัพประกาศยอมแพ้ แต่เราก็เข้าใจได้ว่าเธอไม่ได้ปรารถนาสงครามหากแต่เพราะทุกคนต่างเสียสละมากมายโดยไม่ได้เต็มใจเพื่อผลลัพธ์แบบนี้ มันจึงเป็นเรื่องเจ็บแค้นที่ก่อสงครามแต่แรกไปทำไมเสียมากกว่า

ฉากที่เป็นจุดพลิกผันของเรื่องนั้นทำออกมาได้อย่างรันทดเจ็บปวดมากครับ แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นความรุนแรงแต่อย่างใด เป็นเพียงภาพสีดำที่มีเหมือนสะเก็ดแสงไฟวาบไหว ลากผ่านราวภาพพู่กันเท่านั้น แต่เราทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและสะเทือนใจกับตัวละครมากๆ ยังต้องชมไปถึงฉากจินตนาการของซึสึอีกหลายๆ ฉากโดยที่ผมชอบมากอีกฉากคือตอนที่เธอยืนมองการโจมตีทางอากาศแล้วเห็นระเบิดบนฟ้าเป็นกลุ่มควัน หนังใช้ภาพแต้มพู่กันบนผ้าใบแทนระเบิด สวยมากครับ นับว่าผู้สร้างเองก็มีการถ่ายทอดอารมณ์ที่ไม่ธรรมดาเลย ไม่แปลกใจที่ผู้กำกับสามารถคว้าผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปีจากคิเนม่า จุนโปไปอีกรางวัล

สรุป

เป็นอนิเมชั่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้งดงามมากๆครับ เพลงประกอบก็ดี ลายเส้นก็ดี รวมถึงจังหวะการเล่าเรื่องที่เรียกทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งเรียกน้ำตาได้อย่างดี คือเราไม่รู้สึกเลยว่าหนังความยาว 2 ชั่วโมงกว่านี้ มันนานเกินไป คือสนุกและอินไปกับมันทุกนาทีจริงๆ (คือตลกจริงๆและเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ) แม้จะไม่ได้ขยี้และดาร์กแบบสุสานหิ่งห้อย แต่สะเทือนใจและมีภาพฝังใจเราได้อย่างไม่แพ้กันเลย คือดีงามมากครับไม่อยากให้พลาดเลย

หนังเรื่องนี้ได้เข้ามาเป็นหนังเปิด เทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น ประจำปี 2017 นี้ ซึ่งผู้กำกับ คุณคาตาบุจิ และคุณนน ผู้ให้เสียงพากย์ตัวละครเอก  ก็ได้ฝากคำพูดมาถึงแฟนๆชาวไทยให้ช่วยติดตามกันด้วยโดยทางเอ็มพิกเจอร์สได้นำเข้ามาและมีกำหนดลงโรงฉายปกติให้ได้ชมกันในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ด้วยครับ

Play video