อะไรคือสิ่งไม่ธรรมดาของหนังเรื่องนี้?

หรือจะถามอีกแบบว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราต้องสนใจหนังเรื่องนี้? ก็คงไม่แปลกนัก เชื่อว่าดูหน้าหนังผ่าน ๆ ครั้งแรก คงตอบว่าเพราะโปสเตอร์ดูสวยดี หรือเพราะชื่อมันเจ๋งโคตรทั้งชื่ออังกฤษ It’s Only the End of the World ทั้งชื่อไทย เรื่องรักโลกแตก หรือเพราะชื่อดาราดังที่ผลงานช่วงนี้เฟื่องฟูอย่าง มาริยง โกติญาร์ ที่ดึงดูดตาเสียเหลือเกินสำหรับฝั่งหนุ่ม ๆ หรือเพราะใบหน้าหล่อ ๆ ของพ่อหนุ่ม กัสปาร์ อุลิเอล ก็ดูสมเหตุสมผลดีสำหรับฝั่งสาว ๆ แต่เท่านี้คงไม่พอที่จะให้เราเข้าไปเสียตังค์ในโรงหนังหรอกมั้ง?

โปสเตอร์หนังที่ดูปั๊บรู้ปุ๊บเลยว่า หนังปีนกระไดชมแหง ๆ

งั้นมาดูเหตุผลเชิงคุณภาพอย่างที่ว่า หนังเรื่องนี้คือหนังที่ไปกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ที่สำคัญ ๆ เลยก็อย่างรางวัลกรังด์ปรีซ์ หรือรางวัลรองชนะเลิศจากสายประกวดหลักปาล์มทองคำอันแสนโหดหินของเทศกาลหนังดูโคตรยากอย่างเมืองคานส์มาเมื่อปีก่อน ในขณะที่หนังรางวัลจูรีไพรส์ขวัญใจกรรมการอย่าง American Honey เพิ่งได้มาเหยียบเมืองไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ถึงคราวหนังเรื่องนี้ก็ได้มาลงโรงให้แฟนหนังศิลป์สูงส่งได้ชมกันบ้าง นับ ๆ ไปอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะครบ 1 ปีที่หนังไปคว้ารางวัลมา แต่มาช้าดีกว่าไม่มาแน่นอนครับ ดังนั้นใครชื่นชมหนังรางวัลเป็นพิเศษนี่คือโอกาสอันพลาดไม่ได้เลยที่จะได้รับชมในโรงภาพยนตร์เมืองไทย

พ่อหนุ่ม ซาวิเยร์ โดลอง กับรางวัลกรังด์ปรีซ์

หรืออีกเหตุผลที่น่าสนใจที่น่าจะผลักดันให้ไปดูได้คือ มันคืองานของผู้กำกับแคนาเดียนยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อย่าง ซาวิเยร์ โดลอง ชื่อนี้ล่ะประกันความน่าดูแบบสุด ๆ เอาเกียรติประวัติแบบรวบรัดคือ เขาสามารถคว้า 3 รางวัลจากสายประกวด Director’s Fortnight ของคานส์ได้จากการทำหนังเรื่องแรกอย่าง I Killed My Mother (2009) ที่ได้ฉายเปิดเทศกาลด้วย ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น!!!!

หนังเรื่องแรกก็เปรี้ยงเลย ทั้งสไตล์ที่ร่วมสมัย ฮิปสเตอร์บูชา และบทสนทนาแบบหว่องกาไว

หลังจากนั้นพี่แกก็ทำหนังอะไรก็ได้รางวัลมาตลอด ทั้ง Heartbeats (2010), Laurence Anyways (2012), Tom at the Farm (2013) หรือจะเป็น Mommy (2014) ที่ได้รับรางวัลจูรีไพรส์จากสายประกวดหลักเมืองคานส์มาแล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าตอนนี้พี่แกคว้าไปแล้วถึง 60 รางวัลระดับชาติและระดับนานาชาติจากการถูกเสนอชื่อ 147 รางวัล!!!! ใครเคยดูเอ็มวีเพลง Hello ของ Adele ที่ตอนนี้ยอดวิวทะลุไป 1.9 พันล้านครั้งแล้ว ก็มาจากฝีมือพ่อหนุ่มคนนี้นี่ล่ะ

Play video

และถ้าใครคิดว่าหนังพี่แกจะดูยาก ลึกซึ้งคร่ำครึแบบปราชญ์โบราณ คิดผิดได้เลย เพราะเด็กหนุ่มที่มีแรงบันดาลใจเริ่มต้นการทำหนังจากหนังอย่าง Titanic (1997) และกล้าเลือกใช้เพลงอย่าง Wonderwall ของ Oasis, เพลง I Miss You ของ Blink 182 หรือเพลงแนว EDM ในหนังตัวเองอย่างได้อย่างมีรสนิยม ไม่ต้องไปพึ่งสกอร์ออร์เคสตราอลังการแต่ดันทรงพลังเหลือเกินอย่างโดลอง ทำหนังได้อย่างโคตรทันสมัย เทคนิคภาพหวือหวาทั้งฟาสต์ฟอร์เวิร์ดหรือสโลว์โมชั่น ตลอดจนองค์ประกอบศิลป์ที่ทั้งสวยและชวนสงสัย การตัดต่อที่ทั้งฉลาดและร่ำรวยในอารมณ์ นี่บรรยายได้ไม่หมดจริง ๆ สรุปคือดูสวยมีรสนิยม มีของและไม่น่าเบื่อเลย

Play video

แต่ก่อนจะเป็นบทความอวยโดลองเกินไป เรามาดูสิ่งที่ทำให้ผม ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักโดลองเช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ คน รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าดูมาก ๆ กัน เพราะหากไม่สนคำเยินยอแต่เก่าก่อน หนังเรื่องนี้ดูสนุกแบบประหลาดสำหรับสายดราม่าเลยล่ะครับ

มันก็แค่ครอบครัวทานอาหารพร้อมหน้า ไม่ใช่จุดจบของโลกเสียหน่อย

ประโยคด้านบนจากตัวอย่างหนัง ถ่ายทอดสิ่งที่เกิดในหนังเรื่องนี้อย่างหมดเปลือกเลย หนังเล่าเรื่องของ หลุยส์ (กัสปาร์  อุลิเอล) นักเขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแต่ดันพบว่าตนเองอาจมีชีวิตได้อีกไม่นาน เขาจึงตั้งใจกลับบ้านมาพบครอบครัวที่เขาหนีหน้ามาตลอด 12 ปีเพื่อเยียวยาช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนตาย ที่นั่นเขาพบแม่ (นาตาลี บาย) ผู้มักพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาทั้งพยายามมีอิทธิพลกับลูกทุกคน อองตวน (แวงซองต์ กัสเซล) พี่ชายผู้อารมณ์ร้อนและรู้สึกว่าไม่มีใครรัก แคทเธอรีน (มาริยง โกติญาร์) พี่สะใภ้ผู้แสนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแต่ก็พูดไม่เก่ง ซูซาน (เลอา เซย์ดูซ์) น้องสาวผู้เติบโตมาโดยไม่รู้จักหลุยส์เลย ด้วยช่องว่างของความรู้สึกในครอบครัวกว่า 12 ปี มันทำให้ฉากการพบกัน พุดคุยเรื่องทั่วไป หรือฉากการทานข้าวธรรมดา ๆ ก็กลายเป็นหนังธริลเลอร์สุดระทึกขึ้นมาได้อย่างที่ว่าโลกจะแตกเลยทีเดียว

หนังดัดแปลงจากบทละครเวที ทำให้เราเห็นส่วนต่าง ๆ เหมือนฉากบนเวทีทีเดียว เริ่มตั้งแต่ฉากแรกตัวละครกลับมาเจอหน้ากัน ตัวเอกมีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับแต่ละตัวละคร ซึ่งบทสนทนาที่เกิดขึ้นทำให้เข้าใจเบื้องหลังที่ตัวละครแต่ละตัวไม่แสดงออกมาเมื่อยามอยู่พร้อมหน้า จนไปถึงบทสรุปฉากพร้อมหน้าในตอนท้าย ที่เราทั้งลุ้นจากการสานสัมพันธ์ ทั้งลุ้นว่าตัวเอกจะได้บอกเรื่องโรคของตนเองเมื่อไร (ในหนังไม่ได้พูดตรง ๆ นักว่าพระเอกเป็นอะไร) และลุ้นว่าหนังจะจบลงอย่างไร เหล่านี้เรียกว่าพลาดไม่ได้สักฉาก เพราะบทสนทนานั้นแม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่จับใจความไม่ได้ เพราะต่างคนต่างอ้ำอึ้งอ้อมค้อม อาจด้วยความห่างจนกลายเป็นคนแปลกหน้า อาจด้วยกลัวความสัมพันธ์ที่เพิ่งกลับมาสานตัวจะพังทลาย แต่ในระหว่างบรรทัดถ้าดูให้ดีทั้งน้ำเสียง ถ้อยคำที่ใช้ หรือสายตา มันเล่าเบื้องลึกได้อย่างโคตรน่าสนใจ โคตรสนุกกับการตีความ อินไปกับบรรยากาศนั้น ๆ ตลอดจนรู้สึกบาดเจ็บไปกับตัวเอกมาก ๆ ดูจบก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครน่าสงสารสุดในเรื่อง แต่ที่แน่ ๆ คือรู้ว่าสถาบันครอบครัวนี่โคตรของโคตรสำคัญเลยจริง ๆ

ด้วยความยาวเพียง 97 นาที หนังไม่ทำให้เราเบื่อหรือยืดเยื้อเกินไปเลย ทั้งสไตล์การเล่าหลากสีสัน อัดระดมภาพตัวละครครึ่งตัวที่น่าอึดอัด ผสมกับการถ่ายโคลสอัพสายตา และการตัดต่อที่ไม่ค่อยเจอในหนังดราม่า เมื่อรวมกับสถานการณ์ที่แสนจะใกล้ตัวผู้ชมอย่างบ้านธรรมดา ๆ ครอบครัวธรรมดา ๆ แต่กลับมีความขัดแย้งลึก ๆ ในระดับโลกแตก ไม่แปลกใจเลยที่หนังจะได้รับรางวัลการันตีมากขนาดนี้

สรุป

นี่คือหนังที่ถ้าคุณยังไม่รู้จักโดลอง ควรจะมาทำความรู้จักเสียที

นี่คือหนังที่เหมือนต้องปีนกระไดดู แต่เอาจริง ๆ บันไดนี้ปีนโคตรง่ายแถมท้าทายน่าปีนอีกต่างหาก

นี่คือหนังที่ถ้าคุณหวาดกลัวหนังเมืองคานส์ ก็ถึงเวลาจะมาดราม่าเธอราปีได้แล้ว

และนี่คือหนังรัก หนังครอบครัว ที่คมคาย ฉลาด บาดลึกและสะเทือนขวัญยิ่งกว่าเอเลี่ยนถล่มโลกเสียอีก ไม่เชื่อก็ลองไปดู

Play video