สรุปก่อนเลย เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาว

หนังเรื่องนี้เหมาะกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ กำลังสงสัยในพระเจ้า หรือรู้สึกตกต่ำกับชีวิตอยู่ ด้วยการแสดงขั้นดีงาม โปรดักชั่นที่สวยโคตร ๆ บทหนังที่คมคายแทบทุกฉากทุกประโยค ข้อเสียอย่างเดียวคือ หนังจะน่างุนงงในหลาย ๆ การสนทนา และหนังช่างเดินเรื่องยาวนานเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่ได้อินในศาสนาคริสต์ แต่ถ้าชอบดูบทดราม่าฟีลกู้ดดี ๆ (จากหนังสือขายดีระดับโลก) ดูโปรดักชั่นสวย ๆ ล้ำ ๆ (จากทีมที่เนรมิตหนังอย่าง Life of Pi และ Terminator 2: Judgment Day) ดูการแสดงที่น่าเชื่อ (จากดาราออสการ์อย่าง ออคตาเวีย สเปนเซอร์ และการแสดงที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งของ แซม เวิร์ธธิงตัน) หนังเรื่องนี้ยังตอบโจทย์อยู่ครับ ใครชอบงานอย่าง Collateral Beauty ที่ วิล สมิธ เล่นเมื่อปีก่อน หรือ Life of Pi ไม่น่าพลาดเรื่องนี้

The Shack คืออะไร?
  • The Shack คือ หนังที่ดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกัน เป็นผลงานขายดีอันดับ 1 จากการจัดอันดับของ นิวยอร์กไทม์ส ซึ่งขายไปได้กว่า 22 ล้านเล่ม จนโปรดิวเซอร์อย่าง กิล เนทเตอร์ ที่เคยสร้างสรรค์หนังปรัชญาชีวิตดี ๆ อย่าง The Blind Side (2009) และ Life of Pi (2012) ต้องจับมาทำหนังทีเดียว

จริง ๆ ตัวหนังสือจะเรียกเป็นปรากฏการณ์ระดับปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ เพราะแรกเริ่มเดิมทีเจ้าของหนังสือ วิลเลี่ยม พี. ยัง ตั้งใจเขียนความรู้สึกเกี่ยวกับพระเจ้าของเขาให้ลูก ๆได้อ่าน เป็นของขวัญวันคริสมาสต์ เพราะเขาไม่มีเงินซื้อของขวัญให้ลูก ๆ จากสถานะการเงินที่ย่ำแย่ทั้งเพิ่งถูกธนาคารยึดบ้านไปอีกด้วย เขาพิมพ์มันออกมาแค่ 15 เล่มเพื่อให้ลูก ๆ และเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่แล้วพอเพื่อน ๆ ได้อ่านก็ต่างชื่นชมมันมากยุให้เขาส่งสำนักพิมพ์ขาย

แต่แน่ล่ะด้วยความเป็นนักเขียนไร้ชื่อเสียงไม่เคยมีผลงานใด ๆ ตีพิมพ์มาก่อนเลย เขาถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ถึง 26 แห่ง ต่อมาเขากับเพื่อน ๆ เลยตั้งสำนักพิมพ์เองแล้วลองขายกันดู ด้วยเงินโปรโมทเพียง 200 ดอลลาร์แคนาดา (ราว ๆ 5,000 บาท) หนังสือเล่มนี้ได้รับการชื่นชมปากต่อปากจนขยายไปในโลกออนไลน์ แล้วมันก็ขายไปได้ถึง 1 ล้านชุด ขึ้นอันดับ 1 จากการจัดอันดับของ ยูเอสเอ ทูเดย์ แบบเหลือเชื่อ ต่อจากนั้นไม่กี่ปี มันก็ทำยอดทะลุไปถึง 22 ล้านเล่มอย่างที่กล่าวมา

ยัง ได้ให้ความหมายของชื่อเรื่องไว้ว่า มันคือสถานที่ที่กักเก็บความเจ็บปวด และความรู้สึกเลวร้ายทั้งหลายในชีวิตของเราเอาไว้

หนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับ?

หนังเล่าเรื่องชีวิตของ แม็ค ฟิลลิปส์ (แซม เวิร์ธธิงตัน) ชายผู้ถูกทรมานจากพ่อขี้เมาที่มักซ้อมภรรยาและลูกชายอย่างเขาอยู่เสมอ ด้วยความที่ครอบครัวเขาเป็นชาวไอริชที่เคร่งในศาสนามาก ครั้งหนึ่งฟิลลิปส์จึงไปสารภาพบาปถึงความเกลียดชังพ่อของตนกับบาทหลวง พ่อของเขารู้สึกถูกลูกชายหักหน้ากลางโบถส์ จึงกลับมาเฆี่ยนเขากลางสายฝน พลางบังคับให้พร่ำพระวจนะในไบเบิลที่ว่า การเชื่อฟังบิดามารดา จักทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไปด้วย ประสบการณ์ในวัยเด็กทำให้เขาค่อย ๆ ถอยห่างจากพระเจ้า

เมื่อโตขึ้นเขาแต่งงานกับภรรยาแสนสดใสผู้ศรัทธาในพระเจ้า เธอมักสอนลูก ๆ โดยเรียกแทนพระเจ้าว่า ปาป้า อยู่เสมอ ฟิลลิปส์มักเข้ากันได้ดีกับลูก ๆ ทั้ง 3 คน โดยเฉพาะรอยยิ้มสดใสและคำถามไร้เดียงสาของ มิสซี่ ลูกสาวตัวน้อยที่ทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มได้เสมอ ครั้งหนึ่งเธอถามแม่ที่กำลังเร่งให้ทุกคนรีบไปโบถส์เพราะออกจากบ้านสายว่า ถ้าพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา พระเจ้าคงไม่ใส่ใจที่เราไปสายหรอก จริงมั้ยคะ? เธอคือแสงสว่างของครอบครัว และคือหัวใจอันบริสุทธิ์ของคนดูทีเดียว

แล้วหนังก็พาคนดูไปฆ่ากลางโรงกันเลยทีเดียว

ในการออกแคมป์ของครอบครัวครั้งหนึ่ง อยู่ดี ๆ มิสซี่ ก็หายตัวไป หลังจากแจ้งความและการออกตามหา หลักฐานก็ได้นำพาไปที่กระท่อมร้างแห่งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเธอถูกฆาตกรโรคจิตฆ่าตายที่นั่น ตอนนี้ยิ่งเราตกหลุมรักรอยยิ้มของมิสซี่ไว้มากเท่าไร หัวใจเรายิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น แล้วลองคิดดูว่าเราเป็นแค่คนดูยังรู้สึกแย่ขนาดนี้ หัวใจคนเป็นพ่ออย่างฟิลลิปส์จะแหลกละเอียดขนาดไหน

แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เขายังคงติดอยู่กับความโศกเศร้าและการโทษตนเอง จนทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายปริศนาจาก ปาป้า ส่งมาบอกให้เขากลับไปที่กระท่อมนี้อีกครั้ง เขานึกว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรืออาจเป็นฆาตกรส่งมาเพื่อยั่วเขา เขาจึงตัดสินใจแอบไปยังกระท่อมร้างแห่งนั้นเพื่อหาความจริง และเมื่อเขาไปถึงก็กลับได้พบกับบ้านอันสวยงามแทนที่จะเป็นกระท่อมร้าง ที่นั่นเขาได้พบ หญิงผิวสีที่ให้ความรู้สึกแบบคุณแม่แสนใจดี หรือ ปาป้า (ออคตาเวีย สเปนเซอร์) ลูกชายไม่มีชื่อ หน้าตาแบบตะวันออกกลางของปาป้า (อัฟราฮัม อาวีฟ) และหญิงสาวแสนงดงามชาวเอเชียนาม ซารายู (ซูมิเระ) ที่แปลว่า ลมเอื่อยๆ

ถ้าใครสนใจในศาสนาคริสต์ก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่านี่คือตัวแทนของ ตรีเอกานุภาพ หรือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต (ซึ่งแทนด้วยรูปนกบิน) นั่นเอง หนังอาศัยการตีความระหว่างดูค่อนข้างมากครับ หลังจากพระเอกเข้ามาถึงกระท่อมหลังนี้ หนังก็เข้าโหมดปรัชญาที่ตัวละครต้องผ่านอุปสรรคในจิตใจต่าง ๆ ทั้งการหนีจากเรือที่กำลังจมลงในทะเลสาบสีดำที่เปรียบเหมือนห้วงทุกข์ การปีนเขาเพื่อไปพบกับ ปัญญา หญิงสาวที่ท้าทายพระเอกด้วยเกมผู้พิพากษา การถางสวนแสนสวยงามแต่ยุ่งเหยิงกับซารายู และการเดินป่าลึกเพื่อตามหา “เมล็ดพันธุ์” มาปลูกในสวนแห่งนั้น

นอกจากนี้ยังมีบทสนทนาคมคายอีกมากมาย และไม่น่าเบื่อเลยเพราะมีการโปรยมุกให้ขำให้ยิ้มตลอดเรื่องด้วย ใครชอบแนวปรัชญาชีวิตนี่จะชอบมากครับ หนังสวยทั้งภาษาภาพและภาษาพูดเลย ตัวอย่างที่ชอบและขอยกมาคือ ฉากหนึ่งที่ฟิลลิปส์เถียงกับปัญญาว่าพระเจ้าเลือกที่จะช่วยฆาตกรและทำลายลูกสาวเขา ทั้งที่ทั้งสองคือลูกที่พระองค์บอกว่ารักอย่างเท่าเทียม ปัญญาบอกว่าฟิลลิปส์มองและตัดสินทุกอย่างจากมุมมองของตนเท่านั้น เธอท้าทายให้ฟิลลิปส์เป็นผู้พิพากษาบ้างโดยให้ฟิลลิปส์เลือกที่จะส่งลูกคนใดคนหนึ่งจากสองคนที่เหลือของเขา ให้ไปสวรรค์ และอีกคนจะต้องตกนรก แน่นอนคนเป็นพ่ออย่างฟิลลิปส์ไม่อาจเลือกอะไรแบบนั้นได้ ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจพระเจ้าในมุมนี้มากขึ้นว่าพระองค์ก็เจ็บปวดเช่นกัน

  • หนังได้คะแนนจากเว็บมะเขือเน่าไป 20% จากฝั่งนักวิจารณ์ ส่วนฝั่งคนดูกว่า 1 หมื่นคนกลับโหวตสวนว่าหนังดีถึง 84%
  • แน่นอนชั่งน้ำหนักหลาย ๆ ด้านแล้ว แม้หนังจะไม่ได้พีคสุดในสายตาคนนอกศาสนาคริสต์แบบผม แต่ก็ขอบอกว่าค่อนข้างเห็นด้วยว่าคราวนี้ฝั่งนักวิจารณ์คิดผิดมาก ๆ ครับ

Play video