หนุ่มเท่ที่แอบปลื้มกับเพลย์บอยรุกหนัก…เธอจะรักใคร?

Play video

หัวใจของสาวผิวแทนอย่าง โมโม่ อาดาจิ (มิซูกิ ยามาโมโต้) ต้องมีอันวุ่นวายเมื่อมีชายหนุ่มอย่าง ไคริ โอคายาสึ (อิโนโอะ เคย์) หนุ่มสุดฮอตของโรงเรียนมาก้อร่อก้อติกจนสาวๆทั้งโรงเรียนหมั่นไส้ ทั้งที่เธอแอบชอบ โทจิ (มัคเคนยู) ชายหนุ่มที่ไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาเธอเสียๆหายๆ และในขณะที่หัวใจของโมโม่ เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มสองคน สาวสุดป็อบอย่าง ซาเอะ คาชิวากิ (นากาโนะ เมอิ) เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดก็พร้อมทำทุกทางเพื่อขัดขวางความสุขของ โมโม่

มังงะ Peach Girl ที่สาวๆยุค 90 รู้จักดี

Peach Girl มังงะในความทรงจำของเด็กกระโปรงบาน

เดิมที Peach Girl หรือในชื่อไทย เธอสุดแสบที่แอบรัก เป็นมังงะจากปลายปากกาของ มิวะ อุเอะดะ ตีพิมพ์ระหว่างปี 1997-2003 รวม 18 เล่ม ด้วยเนื้อเรื่องแนวโรแมนติกชวนฝันแบบ โชโจมังงะ หรือสาวๆบ้านเราเรียก การ์ตูนตาหวาน ที่อาศัยพลอต สาวผิวแทนที่เปรียบเหมือน ข้าวนอกนาถูกมองเป็นสาวใจแตก ที่มีหนุ่มหล่อชวนฝันสองสไตล์มาให้ว้าวุ่นหัวใจ แต่สิ่งที่มังงะเรื่องนี้ประทับใจนักอ่านจริงๆคงเป็นการสอดแทรกประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะประเด็นความฝันที่สวนทางกับความคาดหวังของครอบครัว รวมถึงการถูกเปรียบเทียบระหว่างพี่น้องที่เป็นแผลบาดลึกในใจวัยรุ่นได้อย่างเข้าอกเข้าใจ จนทำให้ Peach Girl กลายเป็นมังงะในดวงใจของใครหลายๆคนทั่วทั้งเอเชียและทั่วโลก จนทางไต้หวันซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงเป็นซีรีส์ชื่อ Mi Tao Nu Hai ในปี 2002 (ช่อง 3 นำมาฉายปี 2007) ได้ แวนเนส แห่งวง เอฟโฟร์ (F4) มาแสดงเป็น อาหลี่ หรือ ตัวละคร ไคริ ในมังงะต้นฉบับ รวมถึงเวอร์ชั่นซีรีส์อนิเมะของญี่ปุ่นจำนวน 25 ตอนที่ออกอากาศในปี 2005 โดยสตูดิโอ Comet (Jewelpet) โดยในปีเดียวกันยังมีการออกมังงะภาคแยก (Spin-off) ชื่อ Ura Peach Girl จำนวน 3 เล่มจบโดยให้ซาเอะเป็นตัวละครนำ

อ่านมังงะต้นฉบับแบบออนไลน์ฟรีๆจากสำนักพิมพ์บงกชได้ที่นี่

Mi Tao Nu Hai ซีรีส์ไต้หวันที่ซื้อลิขสิทธิ์มังงะ Peach Girl ไปดัดแปลง

ภาพตัวละครจากฉบับอนิเมะซีรีส์ปี 2005

จับมังงะดังมาดัดแปลงเป็นหนังฮิต

สำหรับเวอร์ชั่นหนังในปี 2017 นี้ได้ โคจิ ชินโตคุ ผู้กำกับซีรีส์เรื่อง MARS ลุ้นรักนักบิด มาชิมลางงานกำกับหนังโรงเป็นครั้งแรก โดยตัวหนังเดินตามมังงะแบบแทบจะถอดมาทุกอย่าง เรียกง่ายๆว่ามังงะเล่มแรกเปิดเรื่องยังไงมีฉากอะไรบ้างเข้าโรงปั๊บได้เห็นฉากนั้นทันที โดยชินโตคุ เลือกกำกับให้การแสดงของทุกคนออกมาแบบโอเวอร์แอ็คติ้งเหมือนการ์ตูนมากกว่าสะท้อนชีวิตจริงซึ่งก็ไปได้ดีกับเรื่องราวชวนฝันหญิงสาวตามหารักแท้ของตัวละคร แต่การตีความมังงะ 18 เล่มให้อยู่ในหนังความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงย่อมมีการตัดทอนรายละเอียดหลายอย่างไปพอสมควรดังนั้นบทหนังของ จุนเป ยามาโอกะ จึงไปเน้นธีมหลักของเรื่องอย่างการตามหารักแท้ของโมโม่ เป็นประเด็นสำคัญทำให้หนังทั้งเรื่องเราจะรับรู้ข้อมูลต่างๆผ่านตัวละครโมโม่เป็นหลักทำให้ภาพรวมของหนังออกมาในแนวทางตลกโปกฮาในครึ่งแรกและหม่นเศร้าปนหวานซึ้งในช่วงท้ายตามมังงะทุกประการ

ตัวหนังทำได้ดีในส่วนของการคงความสดใส สนุกสนานร่าเริงด้วยการจัดแสงแบบไฮคีย์ (High Key)ที่ช่วยให้หนังคุมโทนโรแมนติกไว้ได้ตลอดเรื่องด้วยความสว่างสดใสทั้งภาพในฉากกลางวันที่อาศัยแดดในอุณหภูมิที่โกงชาวบ้านของประเทศญี่ปุ่น  หรือแม้แต่ในฉากอกหักเศร้าสร้อยตอนฝนตกยามค่ำ หนังก็แทบไม่ปล่อยให้มีเงาตกกระทบใบหน้าเพื่อคงความสดใสไร้เดียงสาตามประสาเลิฟสตอรี่วัยมัธยม ซึ่งไปได้ดีกับเรื่องราวการตามหารักแท้ของโมโม่จังซึ่งต้องยอมรับว่าการได้นักแสดงอย่าง มิซูกิ ยามาโมโต้  จาก Sadako vs. Kayako (2016) มีส่วนช่วยให้ภาพรวมของหนังออกมาสดใสและน่าประทับใจตามฉบับมังงะจริงๆ โดยยามาโมโต้ นำหน้าสวยๆพร้อมผิวแทนนวลเนียนมาสวมบทบาทของโมโม่ได้อย่างน่ารักและฮากระจายแถมรับมือกับบทดราม่าหนักๆได้ดีทีเดียว และสเน่ห์ของเธอยังส่องประกายในแทบทุกเฟรมที่ปรากฎตัวโดยเฉพาะฉากที่เธอใส่ชุดยูกาตะที่ค่าแดมเมจน่าจะทำเอาหนุ่มๆหวั่นไหวกันเป็นแถว ในส่วนนักแสดงชายคงไม่มีใครโดดเด่นเกิน   อิโนโอะ เคย์ นักร้องหนุ่มจากวง Hey! Say! Jump! ที่นอกจากนำใบหน้าหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มชวนละลายใจสาวๆแล้ว ในส่วนของการแสดงเป็นไคริ ที่เปลือกนอกคือเพลย์บอยที่สาวๆคลั่งไคล้กันทั้งโรงเรียน แต่เบื้องหลังที่บ้านกลับถูกพ่อนำไปเปรียบเทียบกับพี่ชายที่ประสบความสำเร็จไปก่อนหน้านี้ ซึ่ง เคย์ สามารถนำพาทั้งความสดใส มุกตลกสไตล์การ์ตูน สเน่ห์แบบหนุ่มน่ารัก มาเซอร์วิสคนดูพร้อมถ่ายทอดแอ็คติ้งในฉากดราม่าจนอาจทำคนดูเสียน้ำตาได้ง่ายๆเลยทีเดียว ด้าน นากาโนะ เมอิ ในบทซาเอะ ก็ถ่ายทอดความร้ายปนฮาแบบสาวจอมโอเวอร์ได้อย่างน่าปาทุเรียนใส่แต่ลงท้ายก็เกลียดไม่ลง ส่วน แมคเคนยู ในบท โทจิ ก็นำความหล่อละมุนแบบเทพบุตรหนุ่มนักกีฬาโรงเรียนมาทำสาวๆหวั่นไหวได้ทุกเฟรมที่ปรากฎตัว แม้จะน่าเสียดายที่หนังไม่ได้ลงลึกในปมความสัมพันธ์ของเขากับ โมโม่ จังมากเท่าที่ควร

 ไม่ใช่แค่ตาหวาน แต่ยังสะท้อนสังคม

ตั้งแต่ฉบับมังงะ Peach Girl ไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวโรแมนติกชวนฝันของสาวมัธยมเท่านั้นแต่ยังสะท้อนค่านิยมอันบิดเบี้ยวบางอย่างในสังคมญี่ปุ่นไว้ด้วย ตั้งแต่เรื่องนางเอกอย่าง โมโม่จัง ที่มีผิวแทนจากการว่ายน้ำมาตั้งแต่ม.ต้น แต่หนุ่มๆที่โรงเรียนก็ยังมองว่าเธอเป็นคนใจง่ายทั้งนี้ก็เพราะ สีผิวพื้นเพของคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้หญิงคือ สาวผิวขาว ดังนั้นสีผิวที่แตกต่างคือคนนอก หรือ พวกไกจิน (gaijin) โดยเฉพาะลูกครึ่งญี่ปุ่นนิโกรที่มักถูกมองเป็นพลเมืองชั้นสองในทุกสังคม ดังนั้นการสร้างตัวละครโมโม่ในมังงะคือภาพตัวแทนคือเด็กที่ถูกมองเป็น ข้าวนอกนา ทั้งหลายให้มีกำลังใจต่อสู้ฟันฝ่ากับปัญหาที่โรงเรียนโดยเฉพาะปัญหา อิจิเมะ หรือการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ที่หนังไม่ได้เน้นในส่วนนี้เหมือนหนังญี่ปุ่น Her love boil bathwater ที่เข้าฉายเมื่อต้นปี เลยทำให้ Peach Girl ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ขาดรสชาติความขมขื่นในชีวิตวัยรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของมังงะไปอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้นหนังก็ยังชดเชยด้วยปมดราม่าของ ไคริ ที่เหมือนหมาหัวเน่าในครอบครัวและถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายตลอดเวลามาเสริมรสชาติเศร้าซึ้งท่ามกลางเลิฟสตอรี่หวานเปรี้ยวซ่าส์ได้อย่างลงตัว

    โดยภาพรวมแล้ว Peach Girl คือหนังที่แฟนมังงะจะหลงรักได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนเสียทีเดียวเพราะหนังเองก็เดินตามสูตรโรแมนติกคอมเมดี้แบบสากล ดูง่าย ได้ทั้งหวานซึ้ง ตลกโปกฮา และดราม่าสะเทือนอารมณ์ที่ทำได้ดีทีเดียว ซึ่งต้องยกความดีให้ทีมนักแสดงที่สวมบทบาทได้อย่างมีสเน่ห์ ชวนติดตามตั้งแต่ต้นยันเอนด์เครดิตที่ต้องบอกว่า หนังตั้งใจเสิร์ฟความสนุกทุกหยดแม้กระทั่งเครดิตชื่อทีมงาน หนังก็ยังอุตส่าห์มีของแถมแบบไม่ยอมให้ลุกจากโรงก่อนภาพบนจอดับไปเลยทีเดียว

 

Peach Girl เธอสุดแสบที่แอบรัก ฉายวันที่ 17 สิงหาคมนี้

กิจกรรมเพื่อการกุศลจากหนัง Peach Girl ที่น่าสนับสนุน