สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

ถ้า Final Destination คือแฟรนไชส์หนังโกงตายที่จะกี่ภาค คนดูก็รู้ว่าต้องมีฉากตายแหวะ ๆ ระดับที่ว่านั่ง ๆ อยู่ก็หาเรื่องให้ตายได้ หรือหนังอย่าง Insidious จะทำให้คนดูจินตนาการไปถึงหนังผีที่หลุดเข้าไปในโลกวิญญาณ หนังอย่าง The Strangers นั้นก็คือหนังบุกรุกบ้าน (home invasion) ที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่ง แม้ว่าจะห่างหายไปถึง 10 ปีจากภาคแรก แต่คอนเซปต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนที่เคยได้ดูเช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมเคยย้อนกลับไปหาดูภาคแรกเหมือนกัน แต่กับภาคนี้แล้วแอบรู้สึกว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้ผู้กำกับ ไบรอัน เบอร์ติโน ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ ชารอน เทต อดีตเมียคนที่ 2 ของผู้กำกับออสการ์ โรมัน โปลันสกี้ ที่ถูกฆาตกรรมแบบตายท้องกลมสุดสยองในบ้านพักจากกลุ่มลัทธิของ ชาร์ลส์ แมนสัน (แมนสันแฟมิลี่) ฆาตกรวิปริตในยุค 60 (เพิ่งตายในคุกไปเมื่อปีที่แล้วเอง อายุยืนเนาะ!) [1]

วกกลับมาที่ The Strangers: Prey at Night ซึ่งในภาคนี้เนื้อหาไม่มีความเกี่ยวพันใด ๆ กับภาคแรกอยู่แล้ว นอกเหนือจากแก๊งหน้ากากฆาตกรโรคจิตที่กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้เรื่องเริ่มจากครอบครัวหนึ่งได้ตัดสินใจเดินทางมาบ้านพักตากอากาศ ซึ่งหลังจากที่ 4 คนพ่อแม่ลูกเดินทางมาถึงบ้านพักดังกล่าวแล้ว ก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อพบว่าท่ามกลางความมืดมิดในหมู่บ้านแห่งนี้กลับไม่มีใครอยู่เลย

ตัวหนังเปิดหัวมาแบบไม่ต้องพูดพล่ามอะไรกันมาก ขายของกันทันทีซึ่งก็คือความหลอนตั้งแต่การปรากฏตัวมาเคาะประตูบ้านของฆาตกร พร้อมกับคำถามซิกเนเจอร์ว่า ‘ทามาร่า อยู่ไหม?’

แต่ก่อนจะพูดถึงหนัง ผมสะดุดกับ คริสติน่า เฮนดริคส์ มาก หลายคนก็คงคุ้นหน้าเธอมาบ้างจากซีรีส์ Mad Men บอกตามตรงว่าเสน่ห์เธอล้นเหลือเฟือ (จริง ๆ ) สำหรับผมเธอจะปังมากหากได้วิ่งหนีฆาตกร แล้วล้มกลิ้งล้มหงาย คลุกดินคลุกฝุ่นเสียหน่อย The Strangers มันจะกลายเป็นหนัง MILF Horror ไปเลย (ฮา)

อย่างที่เรารู้แหละว่า หนังแนวนี้ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก นอกจากรสชาติของการไล่ฆ่า ความโรคจิต ให้คนดูหลอนระทึกกันเยี่ยวเหนียว ซึ่งในภาคนี้ที่บอกว่าแตกต่างจากภาคแรกก็คือ มันมีความสัมพันธ์ของครอบครัวมาเกี่ยวข้องทั้ง พ่อ แม่ พี่ชาย น้องสาว และก็จะไม่ได้ไล่ฆ่ากันอยู่แค่ในบ้านให้คนดูอึดอัดเท่าภาคแรกแล้ว ยังมีพื้นที่ให้วิ่งหนีไปบ้านอื่่น ๆ ในละแวกใกล้เคียง ตามถนน ที่ทั้งเรื่องยังคงคอนเซปต์ใช้ความมืดมิด การถูกตัดขาดการโลกภายนอก สร้างบรรยากาศคอยกดดันให้คนดูรู้สึกไม่ไว้วางใจตลอดทั้งเรื่องและมีการเพิ่มเพลงป๊อบจากยุค 80 มาประกอบ [2] สร้างกลิ่นอายให้ดูคล้ายหนังผียุค 70-80 เช่นพวก Halloween ของป๋า จอห์น คอร์เพนเตอร์ อะไรเทือก ๆ นั้น ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นส่วนผสมที่ยิ่งทำให้แต่ละฉากเพิ่มอัตราความหลอนมากขึ้นหลายสิบตีนถีบ

การไล่ล่าครั้งนี้ ดู ๆ ไปแล้วเหมือนนั่งดู ‘น้องพี่ที่รัก’ ในเวอร์ชันที่ต้องวิ่งหนี เจสัน ศุกร์ 13 ทั้งเรื่อง ซึ่งทั้ง คินซีย์ (เบลีย์ เมดิสัน) น้องสาว และ ลุค (ลูวิส พูลแมน) พี่ชาย ที่ไม่ค่อยถูกกันก็ต้องมาช่วยกันเอาชีวิตรอดให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้เห็นฉากอันไม่สมเหตุสมผลของตัวละครออกมาเป็นพัก ๆ เรียกว่าใครเป็นผู้ถูกล่าในหนังเรื่องนี้นี่สติสตางค์ไม่อยู่กับตัวสักคน เหมือนเป็นเครื่องมือความทรมาน ความซาดิสต์ ความโรคจิต ของอีฆาตกร แบบไร้ทางสู้ บางทีดู ๆ ก็ไปคิด ‘นี่มึงจะวิ่งหนีอย่างเดียวทั้งเรื่องเลยเรอะ!’ แต่ก็ต้องยอมรับว่า อินเนอร์ ของน้อง เบลีย์ ที่ถูกจับแต่งเป็นสาวพังค์ ๆ แรง ๆ ทำได้ดีเลย ดูหลอน หวีดแรงทั้งเรื่อง (รู้สึกเหนื่อยแทน-ฮา)

The Strangers: Prey at Night ในภาคนี้ก็ถือว่าหลอนระทึกได้ทั้งเรื่อง ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรตามคอนเซปต์หนังของเขา สาเหตุที่มันมาฆ่าก็ง่าย ๆ คือ เพราะเอ็งอยู่ในบ้านแค่นั้นแหละ หนังขายความระทึก หวีดสยองได้โอเค มีหลายฉากที่ฆาตกรเลี้ยงเหยื่อไว้ แค่มองดูเหยื่อดินกระเสือกระสน แต่ไม่ลงมือฆ่า ก็ทำให้หลอนระดับอุทานว่า ‘เยียดเปียด’ ได้หลายฉาก จะยิ่งพีคก็ไปดูรอบดึก ๆ หน่อย ก็จะเพิ่มดีกรีความหลอนมากขึ้น แต่ถ้าใครที่สตรองกับหนังแนวนี้มาเยอะแล้วก็ถือว่าเบา ๆ มาก (ฮา)

Play video