[รีวิว] Higher Power: พื้นฐานคือนิยายไซไฟที่ดี แต่หนังลืมใส่ความสนุก
Our score
5.4

Higher Power มนุษย์พลังฟ้าผ่า

จุดเด่น

  1. พิจารณาจากตัวเนื้อหา จริงๆน่าสนใจและน่าจะทำหนังได้สนุกเลยล่ะ
  2. เอฟเฟกต์อัดเต็ม เยอะมาก
  3. เนื้อหาไซไฟ-ปรัชญาดี

จุดสังเกต

  1. คนทำเล่าไม่เก่ง ทำให้บทที่น่าจะดีกลายเป็นหนังน่านอน
  2. เอฟเฟกต์ดูโบราณ ๆ สมจริงแบบยุค 90
  3. คัดเลือกนักแสดงมาไม่เหมาะกับบท
  4. เข้าใจยาก และพยายามทำให้ยากเกินเหตุ
  5. หนังไม่สนุก
  • นักแสดง การแสดง

    6.0

  • เทคนิคภาพเสียงเอฟเฟกต์ งานสร้าง

    7.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • ความสนุก

    3.0

  • ความคุ้มค่าดูราคาเต็ม

    4.0

เรื่องย่อ

โจเซฟ สตีดแมน (รอน เอลดาร์ด) คือพ่อที่ล้มเหลว เขาทิ้งลูกสาวทั้ง 2 คนไปหลังภรรยาตาย เมื่อเขารักษาโรคซึมเศร้าจนดีขึ้นเขาก็หวังจะกลับมาสานสัมพันธ์กับลูก ๆ อีกครั้ง แต่ก็สายไปแล้ว ลูกคนเล็กของเขากลายเป็นคนติดยา ส่วนลูกสาวคนโตก็เกลียดเขาจนไม่อยากเข้าใกล้ แล้ววันหนึ่งโจก็ถูกชายปริศนาจับตัวไปฝังบางอย่างในหัวเขา เสียงปริศนาสั่งให้เขาต้องก่ออาชญากรรมหลายอย่างโดยข่มขู่ว่าไม่งั้นจะฆ่าลูกสาวทั้ง 2 คนของเขา นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อจะทำเพื่อลูกได้ แต่ระหว่างที่เขาต้องทำภารกิจที่ไม่รู้เป้าหมายทั้งหลายนั้น ร่างกายเขาก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เขาเครียดถูกกดดันหรือโกรธเกรี้ยว ในขณะที่อีกด้านรังสีแกมม่าที่เกิดจากดาวฤกษ์ระเบิดก็กำลังพุ่งตรงมาทำลายโลก ….หรือบางทีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวพันกันในทางใดทางหนึ่งโดยที่โจไม่รู้ตัว

Play video

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

หนังจากการกำกับครั้งแรกของมือวิช่วลเอฟเฟกต์ระดับฮอลลีวู้ดนาม แมทธิว ชาร์ลส ซานโตโร่ ที่เคยทำเอฟเฟกต์พิเศษให้หนังอย่าง X-Men: The Last Stand (2006), 300 (2006), The Incredible Hulk (2008) และเรื่องนี้ซานโตโร่ก็ทุ่มสุดตัว ทั้งกำกับ ร่วมเขียนบท และร่วมทำงานเอฟเฟกต์ด้วย

คือเรียกว่าถ้าไม่ดีสมใจอยาก ก็แย่แบบโทษใครไม่ลงไปเลย

พูดกันตามตรงคือ หน้าหนังก็ทำได้ภาพเกรดบีมาก ทั้งดาราที่ไม่ได้คุ้นหน้านักแต่ก็เคยผ่านงานหนังในบทตัวรองมานับไม่ถ้วน ทั้งเทคนิคพิเศษที่ดูเว่อวังจัดเต็มแต่ก็ไม่ได้เนี้ยบมากขนาดจะบอกว่าเป็นหนังทุนสูงบล็อกบัสเตอร์ คือจัดเต็มขนาดว่าน่าจะเอาทุกคำสั่งในโปรแกรมทำเอฟเฟกต์อย่าง อาฟเตอร์เอฟเฟกต์มาใช้แล้วล่ะ แต่กระนั้นก็ยังได้ความสมจริงในระดับหนังยุค 90 คือสวยแบบโบราณ ๆ หน่อย ด้านเนื้อหานี่ต้องชมนะ คือทะเยอทะยานสุดแบบไม่สนใจทุนสร้างเลย เอาจริงถ้าดูจากเรื่องที่เขาอยากเล่านะมันต้องใช้โปรดักชั่นอีกระดับหนึ่งน่ะ มันต้องสไตล์พวก Contact อะไรพวกนั้นมากกว่าล่ะ

อันนี้ลองย้อนดูประวัติที่ผ่านมาผู้กำกับที่โตมาจากสายเอฟเฟกต์เพียว ๆ นี่ก็มีผลงานเยี่ยม ๆ หลายคนนะ อย่าง กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส ก็ทำหนังเรื่องแรก Monsters (2010) ที่กลายเป็นไซไฟอินดี้ขวัญใจผู้ชม, นีล บลอมแคมป์ ก็ทำ District 9 (2009) ได้สุดยอด ส่วนคนล่าสุด ทิม มิลเลอร์ ก็สร้างเรื่องแรกคือ Deadpool (2016) ไว้อย่างน่าประทับใจ แต่ก็นะหนังที่เอาทะเยอทะยานอย่างเดียวแต่ไม่สนุกเอาซะเลยจากผู้กำกับที่มาจากสายเอฟเฟกต์นี่ก็มากเสียจนไม่ต้องเอ่ยนามก็ได้ และสำหรับซานโตโร่ผมให้ไปทางหลังสัก 70%-80% นะ แต่ถ้าเทียบกับงานอย่าง Skyline ที่ผู้กำกับบ้าเอฟเฟกต์เหมือนกัน หนังเรื่องนี้ยังได้เนื้อได้หนังมากกว่าจมเลยนะ

หนังเข้าฉายที่อเมริกา เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา เปิดตัวด้วยโรงฉายจำนวนทั้งสิ้นทั้งประเทศ 3 โรง ทำเงินไปได้จนตอนนี้เพียง 528 เหรียญสหรัฐ (16,955 บาท) แถมผู้ชมและนักวิจารณ์ก็ไม่ค่อยมีใครอยากรีวิวถึงด้วยซ้ำน่ะ

ส่วนตัวผมมองว่าหนังไม่ถึงขั้นเลวร้ายทำลายชาติ มันเป็นหนังที่มีทั้งความพยายาม ความตั้งใจ มีโครงเรื่องที่ดีด้วย แต่มันเล่าได้โคตรจะไม่สนุกเลย คือเรื่องย่อด้านบนนี่ผมพยายามเล่าใหม่ให้มันน่าสนุกขึ้นนิดหนึ่งแล้วนะ เพราะเอาจริง ๆ หนังเปิดตัวด้วยเสียงปริศนาคุยกันแบบคำศัพท์ยาก ๆ งง ๆ มาตรึม ต่อมาก็เปิดตัวโจที่มาแบบดราม่ารัว ๆ ตามติดชีวิตครอบครัวนี้ซ้ำ ๆ ขยี้ปมสัมพันธ์แบบไม่แคร์ว่าคนอยากรู้มั้ยอยู่กว่า 30 นาที กว่าจะเข้าส่วนที่น่าสนใจอย่างการถูกจับไปบังคับให้ทำภารกิจ แบบพวก 13 เกมสยอง โดยไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเสียงปริศนา และแม้ถึงจะเข้าเนื้อหาส่วนแอ็กชั่นนี้แล้ว หนังก็ยังไปวนเวียนกับภาพดราม่าที่รียูสย้ำ ๆ เอาจากช่วงแรก จนเราหาวแล้วหาวอีก

ซึ่งจริง ๆ แล้วเนี่ยอย่างที่บอกโครงเรื่องมันดีมากเลยนะ มันว่าด้วยพ่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ถูกบังคับให้ช่วยโลกด้วยการข่มขู่ว่าจะฆ่าลูกสาวโดยองค์กรรัฐบาล คือจุดที่มันต้องขยี้ มันจะเป็นอารมณ์แบบหนัง Armageddon แบบนั้นอ่ะ แต่หนังกลัวจะธรรมดาเลยพยายามเล่นท่ายากเล่าสลับ ซ่อนปมไปเยอะ ๆ ใส่ช็อตกราฟิกล้ำ ๆ เยอะ ๆ แบบไม่จำเป็นเลย ถ้าเล่าตรง ๆ เน้นจุดเรื่องพ่อห่วย ๆ ไถ่โทษให้ลูกสาว แล้วมีหักมุมบางอย่างตอนท้ายแบบในหนังก็ยังไปได้น่ะ น่าเสียดายมาก ข้อเสียอีกอย่างที่ชัดมากคือ หนังพยายามเล่นปริศนา แต่ใส่รายละเอียดไอ้แก๊งนี้ไว้เยอะมากคือเปิดเรื่องก็มาแล้ว แล้วมาตลอด ๆ ทั้งเรื่องบางช่วงควรเป็นมุมมองพระเอกที่ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ พี่แกก็เอาไปให้เป็นมุมมองคนร้ายเล่ากลายเป็นไม่มีความน่าสงสัยอะไรเหลือรอดมาเลย

หลัก ๆ คือคนทำด้อยประสบการณ์ในการเล่าเรื่องนั่นล่ะ

ด้านนักแสดงก็แสดงกันโอเคเลยนะ ตามมาตรฐานที่ควรเป็นล่ะ แต่เหมือนมันผิดฝาผิดตัวมาแต่ต้นมันเลยไม่ค่อยอินไปกับตัวละคร เอลดาร์ด แสดงเป็นพ่อที่อายุดูไม่ห่างจากลูกเลยจนเราแทบไม่รู้สึกว่ามันเป็นพ่อลูก ความอวบท้วมอุดมสมบูรณ์ของเขาก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันผ่านชีวิตยากลำบากมา หรือจะมองไปทางคนห่วย ๆ ตุ้ยนุ้ย ๆ ตลก ๆ มันก็ไม่ได้เล่นไปทางน่ารัก มันเลยกลายเป็นตัวละครที่ไม่มีเสน่ห์อะไรให้เราอยากอินกับมันเลย

ถามว่าพอดูได้เพลิน ๆ มั้ย น่าเสียดายครับ ถ้ามันเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เกรดบี ผมว่ายังพอมีอะไรให้สนุกกับมันมากกว่า แต่เพราะมันเป็นไซไฟที่ค่อนข้างจริงจังพอสมควรประกอบกับหนังเล่าได้ไม่สนุกเอาซะเลย มันเลยอาจจะเหมาะกับคนรักนิยายวิทยาศาสตร์แบบเข้มข้นอยากเก็บให้มากที่สุด ไม่สนใจความสนุกบันเทิงนัก เท่านั้นเอง

ดูรอบหนัง จองตั๋ว ซื้อตั๋ว กดที่ภาพได้เลยจ้า