[รีวิว] ๔๐๐ นักรบขุนรองปลัดชู – จดหมายเหตุกรุงศรีฉบับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
Our score
1.8

๔๐๐ นักรบขุนรองปลัดชู

จุดเด่น

  1. ฉากไสยศาสตร์ดูขำๆเวอร์ๆดี

จุดสังเกต

  1. เล่าเรื่องได้น่าเบื่อมาก
  2. ยัดเยียดวัฒนธรรมท้องถิ่นเกิ๊น
  3. ยัดเยียดบทพูดรักชาติจนกร่อย
  4. ซีจีคือระดับเด็กพึ่งหัดใช้โปรแกรม
  5. ไม่ผูกพันกับตัวละครสักตัว
  • คุณภาพงานสร้าง

    0.0

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    3.0

  • ความแปลกใหม่

    0.0

  • ความสนุก

    3.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    3.0

Play video

ด้วยพม่ารามัญกรีฑาทัพมาประชิด และมีเพียงขุนรองปลัดชู เจ้าเมืองวิเศษไชยชาญกับเหล่านักรบชาวบ้าน 400 นายเท่านั้นที่ออกทัพจับศึกสร้างวีรกรรมปกบ้านป้องเมืองจนกลายเป็นตำนานในซอกหลืบของประวัติศาสตร์ชาติไทย



สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

เรื่องราวของขุนรองปลัดชูเคยถูกนำมาบอกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์ใช้ชื่อ ขุนรองปลัดชู วีรชนคนถูกลืม ฉายที่โรงหนังสกาล่าและช่องไทยพีบีเอสในปีพ.ศ. 2554 มาก่อน โดยในครั้งนั้นได้ สุทธิพงศ์ ธรรมวุฒิ หรือ เชน พิธีกรรายการคนค้นคน มารับบทนำ และได้รับคำชมทั้งการนำเสนอแบบหนังขาวดำจากการถ่ายภาพของพี่แดง ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ ( ตากล้องคู่บุญผู้กำกับ เป็นเอก รัตนเรือง) และการกำกับของสุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ อดีตนักร้องนำวงมาม่าบลูส์

ซึ่งพอมาในเวอร์ชั่นล่าสุดจากงานสร้างของ ไผ่ร้อยกอโปรดักชั่น ของเซียนพระเครื่อง พยัพ คำพันธุ์ ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์หนัง และการกำกับของ เจตนิพัทธ์ สาสิงห์ ผู้กำกับ มิดไมล์ เรซซิ่งเลิฟ (2554) หน้าหนังถูกปั้นให้ดูคล้ายหนังอิงประวัติศาสตร์ของท่านมุ้ยอย่างสุริโยไท ควบกับความแฟนตาซีแบบหนังธนิตย์ จิตนุกูลอย่าง บางระจัน หรือ ขุนแผน แต่โชคร้ายที่งานกำกับของ เจตนิพัทธ์ กลับล้มเหลวทั้งในแง่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องและจังหวะจะโคนที่ไม่รู้ว่าถูกบังคับให้ขายวัฒนธรรมอะไรนักหนา เริ่มต้นมาก็ขับเสภา อีกประเดี๋ยวเพลงแหล่ สักพักแถไปหัวล้านชนกัน จนหนังผ่านองค์แรกไปครึ่งนึงแล้ว ปมหลักของเรื่องอย่างการบุกโจมตีของพม่ายังมาไม่ถึงอย่างกับนั่งBTSในวันขัดข้องแหนะ



ซ้ำร้าย คือแทนที่หนังจะเลือกเล่าแบบเรียบง่าย ลำดับเหตุการณ์ค่อยเป็นค่อยไป แต่นี่กลับเลือกโชว์เหนือตัดสลับเล่า 2 เหตุการณ์ประหนึ่งเทพโนแลนเข้าสิง แต่เอาจริงๆพอหนังออกมานี่คนดูแทบอยากทำหน้าเหยเกแบบเทพเฟซบุ๊คไลฟ์. เพราะนอกจากจะดูแทบไม่รู้เรื่องแล้ว ความสะดุดยังพาให้อารมณ์ถูกกระชากขาดความต่อเนื่องจนน่ารำคาญซะอีก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบทหนังละเลยการปูพื้นตัวละครให้เราอยากเอาใจช่วย ต่อให้มีคำพูดปลุกใจอย่าง “ถึงข้าจะตาย แต่อโยธยาจะคงอยู่สืบต่อไป” ที่เวียนกันพูดทั้งกองร้อยก็ไม่ได้ทำให้เราสะเทือนใจกับชะตากรรมของเหล่าทหารกล้าเท่าใดนัก พาลแต่จะให้ถึงฉากที่พม่าฆ่าตัวเอกให้หมดเร็วๆซะอีก เฮ้อ….

เอาล่ะ เห็นขึ้นต้นมามีแต่ติ ทีนี้ขอชมบ้างว่า แม้หนังจะออกมาไม่ไหลลื่น ซ้ำร้ายฉากรบยังออกมายืดเยื้อ เหมือนคดีหย่าร้างที่หารมรดกไม่ลงตัวก็ตาม (อ้าว ไหนว่าจะชม) แต่ข้อดีที่ส่วนตัวมองว่าบันเทิงไม่น้อย คงหนีไม่พ้น บรรดาฉากอาคมต่างๆ ที่ครีเอตจริงจริ๊ง ทั้งการถ่ายทอดวิชาแบบเอาสายสิญจน์เป็นสายแลน ถ่ายทอดเลเซอร์ลงหัว หรือ ยันต์เกราะเพชร ที่กลายเป็นบาเรียกันกระสุนปืนใหญ่ก็ออกมาฮาไม่น้อย คือเข้าใจแหละว่าอยากทำให้มันเท่ ถูกใจเด็กดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่งานซีจี เทคนิคพิเศษ ไม่ได้จริงๆ ขนาดเลือดยังเหมือนปลั๊กอินโหลดฟรีในอาฟเตอร์เอฟเฟกต์เลยอ่าาาาา.

สรุปสุดท้าย คือใครหวังว่าจะได้ดูหนังอิงประวัติศาสตร์สนุกๆ หนังเรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์ฮะ แต่ถ้าคิดว่ามีเวลา 2 ชั่วโมงและไม่ได้สนเนื้อหาบนจอ โรงหนังจะกลายเป็นโรงแรมให้คุณ ‘พักสายตาเถอะนะคนดี’ ได้เลยจ้า

อย่าเพิ่งเชื่อแอดนะ ตีตั๋วไปพิสูจน์ความขลังของเก้าอี้ ณ.จังงัง ในเครือเมเจอร์กันดีกว่า คลิ๊กที่รูปเลยจ้าา.