ลูซี่ ดาคัส (Lucy Dacus) กลับมาพร้อมอัลบั้มชุดล่าสุด ‘Home Video’ ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 3 ของเธอแล้ว ในระดับโลกนับว่าลูซี่เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ คนหนึ่งและผลงานเพลงของเธอในทุกอัลบั้มต่างได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม ‘Home Video’ นับว่าเป็นผลงานที่บ่งบอกความเป็นลูซี่ ดาคัสได้ดีที่สุดเพราะเธอกลั่นเอาประสบการณ์ในช่วงวัยเยาว์ของเธอสะท้อนออกมาผ่านบทเพลงทั้ง 11 ของอัลบั้มด้วยความจริงใจ ซื่อสัตย์และงดงาม บทเพลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะพาเราไปสัมผัสกับชีวิตของเธอแล้วแต่มันยังเป็นสื่อที่ช่วยให้เราได้มีโอกาสหวนกลับไปทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตและได้เรียนรู้จากช่วงเวลาอันมีค่าเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

อัลบั้ม ‘Home Video’

เป็นโอกาสดีที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกับลูซี่แบบ exclusive ได้ฟังเธอแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ในการทำงานเพลงชุดนี้ รวมไปถึงเรื่องราวเบื้องลึกจากชีวิตของเธอ บทเรียนอันมีค่า หนังเรื่องโปรดและหนังสือดี ๆ ที่เธออยากแนะนำให้เราอ่านในช่วงเวลานี้ เพื่อน ๆ จะอ่านบทสัมภาษณ์นี้ก่อนแล้วค่อยไปฟัง ‘Home Video’ หรือจะฟังก่อนแล้วค่อยมาอ่านก็ได้ รับรองว่าถ้าได้สัมผัสกับเรื่องราวและบทเพลงของเธอแล้วจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน

ผมได้ฟังเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม ‘Home Video’ แล้ว ผมอยากจะบอกว่าผมรู้สึกประทับใจกับบทเพลงและการเล่าเรื่องของคุณมาก มันมีความเป็นส่วนตัวมาก ๆ คล้ายกับกำลังอ่านไดอารี่ที่มีความซื่อสัตย์ จริงใจและมีสีสันมาก ๆ อยากรู้ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณตัดสินใจเล่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านอัลบั้มใหม่ของคุณ

อย่างแรกเลยต้องขอบคุณจริง ๆ ที่คุณรู้สึกอย่างนั้น ฉันคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นเรื่องราวในอดีตอันห่างไกลเพียงพอที่ทำให้ตอนนี้ฉันสามารถเล่าถึงมันได้ในเพลงของฉัน ฉันยังคงรู้สึกเป็นเด็กอยู่มากในตอนที่ช่วงวัยเยาว์ของฉันมันได้จบสิ้นลงไปแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนฉันได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และได้ย้อนกลับไปมองช่วงเวลาเหล่านั้นและสะท้อนมันออกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะว่าตอนที่คุณยังเด็กอยู่คุณไม่รู้อะไรหรอกคุณก็แค่เผชิญกับปัญหาและพยายามผ่านมันไปให้ได้ในแต่ละวันโดยที่คุณไม่เคยรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ ฉันคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง เพื่อน ๆ หรือผู้คนที่อยู่ในชีวิตของฉันและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของฉันและนั่นล่ะมันก็กลายมาเป็นเพลงที่คุณได้ฟัง

ลูซี่ ดาคัส (Lucy Dacus)

ผมโดนใจกับเพลงอย่าง “Thumbs” มาก ๆ เลย มันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ รายละเอียดและบรรยากาศ มันอ่อนไหวมาก ๆ อยากรู้ว่าเพลงนี้มาจากประสบการณ์จริงในชีวิตคุณรึเปล่า

ใช่ค่ะ สิ่งที่อยู่ในเพลงนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตของฉันเลย แต่ฉันไม่ได้ฆ่าผู้ชายคนนั้นนะ ( I imagine my thumbs on the irises / Pressing in until they burst [ลูซี่ทำท่าเอานิ้วกดตา]) ฉันอยู่กับคนคนนึงที่วันนึงพ่อของเธอโทรมาหาเพื่อไปทานข้าวเย็นด้วยกันทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว ฉันก็เลยไปเป็นเพื่อนด้วย ฉันเกลียดผู้ชายคนนั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ฉันรู้สึกขึ้นมาในใจเลยว่าฉันควรจะเกลียดผู้ชายคนนี้ ฉันรู้สึกว่าจะต้องปกป้องเธอ ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเธอที่ต้องผ่านเรื่องแย่ ๆ นี้ไปให้ได้ทั้ง ๆ ที่เธอคงรู้สึกแย่ในแทบจะทุกวินาที มันทำให้ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก ๆ และเพลงนี้ก็เป็นเสมือนกับพินัยกรรมแห่งมิตรภาพของเราและก็เป็นคำขู่ต่อผู้ชายคนนั้นด้วย

มีเพลงหลายเพลงในอัลบั้มนี้ที่มีความเป็นส่วนตัวและอ่อนไหวมาก ๆ อย่างเช่นเพลง “Triple Dog Dare” หรือ “Partner in Crime” มันเป็นเรื่องยากไหมในการที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ออกมาอย่างมีรายละเอียดและซื่อสัตย์

ยากค่ะ โดยเฉพาะเพลง “Partner in Crime” ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนที่ฉันยังเด็ก ๆ และชอบคนคนนึงที่อายุแก่กว่าฉัน แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าฉันโตพอแล้วที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง มันเป็นเรื่องอิทธิพลที่คนคนนั้นมีต่อฉัน ซึ่งเขามีอายุเยอะกว่าฉันมาก มันเลยเป็นความรู้สึกอายที่ในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่า “โอ้ แม่ของฉันพูดถูก” ฉันยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่พอตอนที่ฉันอายุแค่ 16 และฉันก็รู้สึกอายที่ต้องยอมรับว่าฉันโกหกเหมือนที่ฉันเล่าไว้ในเพลงว่าฉันโกหกเรื่องอายุของฉันตอนที่เราทำความรู้จักกันครั้งแรก (When you asked my age, I lied) แต่ถึงแม้ฉันจะโกหกแต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นความผิดที่ฉันอยากจะได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจังเมื่อฉันอายุน้อยกว่าเขา ฉันคิดว่ามีคนเป็นจำนวนมากในช่วงอายุแบบนั้นที่มีแรงกระตุ้นในแบบเดียวกันกับฉัน ใช่ฉันรู้สึกอายแต่ฉันก็ไม่ได้ตัดสินตัวฉันเอง

คุณพูดถึงหนังหลายเรื่องในเพลง “Brando” ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนุกมากในการค้นหาว่าในแต่ละท่อนนั้นมาจากหนังเรื่องอะไร และคุณก็พูดถึงหนังโปรดของผมเรื่องนึงด้วยคือ “It’s a Wonderful Life” อยากรู้ว่าคุณเป็นคอหนังรึเปล่าครับและหนังเรื่องอะไรคือหนังเรื่องโปรดของคุณ

ฉันรักการดูหนังมาก ฉันดูหนังเป็นร้อยเป็นพันเรื่องเยอะแยะเลยล่ะ ฉันเคยดูหนังวันนึง 2 เรื่อง ตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เพราะฉันเรียนด้านภาพยนตร์ (ที่ Virginia Commonwealth University) ฉันเลยพยายามที่จะดูหนังที่สำคัญ ๆ ให้มากที่สุด แต่ตอนนี้หนังที่ฉันดูกับรูมเมตมักจะเป็นหนังอย่าง “Pirate of The Caribbean” “The Hunger Games” “Ocean Eleven” ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกหนังบล็อกบัสเตอร์หมดเลย ฉันรักหนังมาก ๆ เลย หนังเรื่องโปรดของฉันก็คือ “Amarcord” ของเฟรเดอริโก เฟลลินี (Federico Fellini) ฉันว่าหนังเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญของอัลบั้ม ‘Home Video’ เลยล่ะ เพราะมันมีความเป็นหนังอัตชีวประวัติ และในหนังเรื่องนี้เหมือนเฟลลินีกำลังกำกับตัวเองในวัยเด็กผ่านหนังเรื่องนี้และมองชีวิตของตนเองผ่านช่วงวัยเยาว์ ทำให้หนังมันมีความเหนือจริงอยู่ซึ่งฉันชอบมันมาก ๆ เลย

https://www.youtube.com/watch?v=GfMqxZ2cmyM

ในเรื่องของดนตรีของอัลบั้มนี้ มันมีองค์ประกอบใหม่ ๆ อย่างการใช้เครื่องดนตรีเช่น เปียโน กีตาร์อะคูสติกเข้ามามีบทบาทสำคัญ หรือมีบางสิ่งที่น่าสนใจเช่นการใช้ออโต้จูนในเพลง “Partner in Crime” อยากให้คุณเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการทำดนตรีของอัลบั้มนี้

ฉันมีความรู้สึกอยากได้ความรู้สึกที่มันอุ่น (warm) มาก ๆ อยากให้อัลบั้มนี้มีความรู้สึกเหมือนกับความทรงจำ อะไรบางอย่างที่กำลังซีดจาง และใช่เลยกีตาร์อะคูสติกเป็นส่วนสำคัญ เปียโนเป็นส่วนสำคัญ รีเวิร์บ (reverb) นั้นก็สำคัญมาก ๆ แต่ฉันไม่ได้อยากทำให้มันรู้สึกถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เฉพาะเจาะจง ไม่ได้อยากให้มันมีความเป็นอดีตอย่างดนตรียุค 70s, 80s หรือว่า 90s ฉันพยายามดูให้แน่ใจว่ามันไปถูกทางรึเปล่าในระหว่างที่กำลังทำมัน เพราะฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นการเอาแนวดนตรีในอดีตที่เคยมีมาแล้วมาทำใหม่

เพลงของคุณมีความคล้ายกับไดอารี่เพราะมันมีรายละเอียดมาก ๆ อยากรู้ว่าคุณเป็นคนที่ชอบเขียนไดอารี่รึเปล่าและมันส่งผลอย่างไรกับการเขียนเพลงของคุณ

อื้มใช่เลย ฉันมีสมุดไดอารี่ของฉัน…นี่ไง (ลูซี่หยิบสมุดไดอารี่สีเขียวของเธอออกมาให้ดู) แต่ตอนนี้ฉันอาจไม่ค่อยได้เขียนมันมากนัก เพราะชีวิตช่วงนี้ของฉันค่อนข้างยุ่งแต่ฉันพยายามที่จะบันทึกช่วงชีวิตของฉันลงบนกระดาษเพื่อที่ฉันจะได้จับถือมันได้ และการจับเรื่องราวต่าง ๆ คิดออกมาเป็นคำ มันทำให้ฉันสามารถบอกได้ว่าฉันกำลังรู้สึกอะไรอยู่ และมันทำให้ง่ายในการที่จะบอกว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร อย่างในเวลาที่ฉันกำลังมีปัญหาการเขียนไดอารี่มันคือการบำบัดที่ดีเลยล่ะ

อยากรู้ว่าขั้นตอนในการเขียนเพลงของคุณเป็นอย่างไรและคุณมีเทคนิคอะไรบ้างที่คุณมักจะใช้ในการทำงาน

ฉันมักจะคิดคำขึ้นมาก่อนและมักจะเขียนเนื้อเพลงกับเมโลดี้ไปพร้อม ๆ กัน และฉันมักเขียนเพลงเวลาที่ฉันเดินเล่นด้วยการร้องให้ตัวเองฟังออกมาดัง ๆ และพอมันเสร็จด้วยวิธีนี้ฉันก็จะกลับบ้าน หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นคอร์ด แต่หลายครั้งฉันจะคิดเพลงได้ตอนที่จำเรื่องบางเรื่องที่มันเฉพาะเจาะจงและเพลงก็จะเติบโตมาจากจุดนั้นอย่างเพลง​ “VBS” [VBS หรือ Vacation Bible School คือ ค่ายอบรมของศาสนาคริสต์ที่จัดขึ้นเพื่อสอนศาสนาให้กับเด็ก ๆ มักจัดขึ้นในช่วงซัมเมอร์] ที่ฉันนึกถึงตอนที่แฟนคนแรกของฉันกำลังสูดยาที่ทำมาจากลูกจันทร์เทศ ซึ่งมันประหลาดมากเลย และนั่นก็เป็นท่อนแรกที่ฉันคิดขึ้นมาในเพลงนี้ (“Back in the cabin, snorting nutmeg in your bunk bed / You were waiting for a revelation of your own.”) และตั้งแต่ต้นจนจบของเพลงก็มาจากจุดนั้น คล้าย ๆ กับคุณกำลังสาวเชือกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด คุณก็ดึงไปเรื่อย ๆ 

คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการเขียนเพลงเพลงนึง

ขึ้นอยู่กับแต่ละเพลงนะ อย่างเพลงที่ฉันชอบมาก ๆ ฉันก็ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีเท่านั้นเอง อย่างบางเพลงก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงแต่จากนั้นฉันก็พักมันไปเป็นปีเลย สุดท้ายก็ใช้เวลา 3 ปีถึงจะแต่งเสร็จ

เพลงใน ‘Home Video’ นั้นคล้ายกับว่าคุณย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลานั้นและเรียนรู้จากอดีตและถ่ายทอดมันออกมา อยากรู้ว่าอะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่คุณได้เรียนรู้จากในอดีตซึ่งส่งผลให้คุณกลายเป็นคุณในทุกวันนี้

อื้ม… ฉันต้องใช้เวลาคิดนิดนึง… (ลูซี่นิ่งคิด) ฉันคิดว่าบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้คือ คุณมี ‘ความเป็นตัวตนของคุณ’ อยู่แล้วถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้พยายามที่จะหามันก็ตาม เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครบางคนพูดว่าคุณยังดีไม่พอ คุณไม่รู้เรื่องนี้หรอก หรือคุณเองที่รู้สึกว่า‘ฉันยังดีไม่พอ’ ไม่ต้องไปสนใจมาตรฐานของใครทั้งนั้น คุณเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว และคุณไม่เคยขาดพร่องอะไรไปเลยในความเป็นตัวตนของคุณ ดังนั้นมันเลยเป็นสิ่งที่ค่อนข้างตึงเครียดเวลาที่ผู้คนคิดว่าคุณยังดีไม่พอ คุณเป็นตัวของคุณเองเสมอตั้งแต่วันแรกและเป็นเช่นนั้นเสมอมา

ผมรู้มาว่าคุณเป็นหนอนหนังสือคนนึงเลย ถ้ามีหนังสือสักเล่มที่คุณอยากจะแนะนำให้คนอ่านในช่วงเวลานี้ช่วงเวลาที่เรากำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคร้าย คุณจะแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มไหนครับ

ฉันอยากแนะนำหนังสือที่ชื่อว่า “Braiding Sweetgrass” โดย โรบิน วอลล์ คิมเมเรอร์ (Robin Wall Kimmerer) เธอเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันและนักชีววิทยา หนังสือเล่มนี้เกี่ยวภูมิปัญญาท้องถิ่นและนิทานพื้นบ้าน, ชีววิทยาและวิทยาศาสตร์, สิ่งแวดล้อมและก็ชีวิตของเธอด้วย ฉันได้อ่านมันตอนที่เริ่มมีการล็อกดาวน์ที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกและหวาดกลัว พอฉันได้อ่านหนังสือของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเพราะว่าวิธีที่เธอถ่ายทอดออกมามันทำให้รู้สึกว่าโลกใบนี้ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้นกว่าที่ข่าวสารทำให้เรารู้สึก และยิ่งเรากลับไปเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเราจะได้เรียนรู้วิธีการดูแลรักษาตัวเองและโลกใบนี้และมีความเมตตาต่อกัน

“Braiding Sweetgrass” โดย โรบิน วอลล์ คิมเมเรอร์ (Robin Wall Kimmerer)

ผมเชื่อว่ามีแฟนคลับของคุณเป็นจำนวนมากในประเทศไทย ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีโอกาสได้พบเจอกันแต่คุณมีอะไรอยากจะบอกกับแฟน ๆ ชาวไทยไหมครับ

ฉันอยากจะบอกว่าฉันอยากมาที่ประเทศไทยมาก ๆ ฉันมีเพื่อนที่เคยมาแล้วและกลับมาบอกว่าที่นี่เป็นที่ที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมาเลย ฉันหวังว่าจะได้มาแสดงที่นี่และได้พบกับทุกคนที่ได้มาฟังเพลงของฉัน ฉันหวังอย่างนั้นมาก ๆ เลยที่จะได้พบกันในสักวัน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส