[รีวิวซีรีส์] The Umbrella Academy – ซีรีส์ข้ามเวลากู้โลกของเหล่าฮีโร่ใจบอบช้ำ
Our score
7.2

The Umbrella Academy

จุดเด่น

  1. เป็นซีรีส์ฮีโร่ที่เน้นด้านมืดของครอบครัวได้อย่างถึงแก่น
  2. โรเบิร์ต ชีฮาน เล่นได้มีเสน่ห์มาก
  3. เอลเลน เพจ กลับมารับบทฮีโร่ที่มีด้านดราม่าที่แข็งแรง

จุดสังเกต

  1. ซีรีส์ปูเรื่องราว 5 ตอนแรกด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยขาดความเป็นเอกภาพไปหน่อย
  2. ดูแล้วก็ยังไม่ค่อยผูกพันกับตัวละครนัก
  3. ไม่ปูปมสำคัญๆของตัวละครให้คนดูติดตามและเอาใจช่วยตัวละคร
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • ความสมบูรณ์ของงานสร้าง

    8.0

  • ความแปลกใหม่

    7.0

  • ความสนุก บันเทิงแบบซีรีส์ทั่วไป

    7.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการชม

    7.0

Play video

  • สร้างสรรค์โดย สตีฟ แบล็คแมน
  • เหมาะสำหรับ ผู้ชื่นชอบงานแฟนตาซีที่มีปมดราม่าจริงจัง
  • สตรีมมิงทั้ง 10 ตอนแล้วทาง Netflix
1 ตุลาคม 1989 เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อสาวบริสุทธิ์ให้กำเนิดบุตรและธิดารวม 43 คน โดยเด็กทุกคนจะมีพลังพิเศษแอบแฝงอยู่แต่มีเด็ก 7 คนที่ เซอร์ เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์  (คอล์ม ฟิออร์) ได้อุปถัมภ์และก่อตั้ง อัมเบรลลา อคาเดมี เพื่อฝึกให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่พิทักษ์โลกได้แก่ อาร์เธอร์ (ทอม ฮอปเปอร์) หรือหมายเลข 1 นักบินอวกาศผู้มีพละกำลังอันแข็งแกร่ง ,ดิเอโก (เดวิด แคสตานีดา) หรือหมายเลข 2 มือมีด, อลิสัน (เอมี เลเวอร์ แลมป์แมน) หรือหมายเลข 3 ดาราดังผู้สามารถบิดเบือนความจริงด้วยคำโกหก, เคลาส์ (โรเบิร์ต ชีฮาน) หรือหมายเลข 4 ผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้, หมายเลข 5 (ไอแดน กัลลาเกอร์) เด็กชายไร้ชื่อผู้สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ และวานย่า (เอลเลน เพจ) หรือหมายเลข 7 ผู้ถูกตีตราว่าไร้พลังแต่คอยบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขาเป็นหนังสือ และด้วยบาดแผลในวัยเด็กของพวกเขาก็ทำให้แต่ละคนแยกย้ายไปตามทาง แต่หลังการตายของ เซอร์เรจินัลด์ พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการตายของพ่ออุปถัมภ์และต้องร่วมมือกันหยุดยั้งหายนะโลกที่ถูกบงการโดย เดอะคอมมิชชั่น

The Umbrella Academy เดิมทีเป็นคอมิกในค่าย ดาร์ค ฮอร์ส คอมิก ที่มีซูปเปอร์ฮีโร่ดังอย่างเด็กนรก Hellboy และ The Mask หน้ากากเทวดา เป็นหัวหอกของค่าย ซึ่งคอมิกค่ายนี้มักเน้นเรื่องราวของตัวละครเอกที่มีด้านมืดหรือเกิดจากผลกระทบบางอย่างจากสังคมเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่เว้น The Umbrella Academy ผลงานการสร้างสรรค์เรื่องราวโดย เจอร์ราด เวย์ ผ่านลายเส้นของ แกเบรียล บาร์ โดยแรกเริ่มเป็น คอมิกแบบ 6 ฉบับจบระหว่างปี 2007 – 2008 และได้รับรางวัล ไอส์เนอร์อวอร์ด สาขาลิมิเต็ดซีรีส์คอมิกยอดเยี่ยม และคอมิกซีรีส์ที่ 2 ก็เพิ่งวางแผงเล่มแรกจาก 3 ฉบับไปเมื่อปี2018ที่ผ่านมา โดยโครงการดัดแปลงคอมิกชุดนี้เป็นซีรีส์ได้เริ่มต้นในปี 2015 หลังจากล้มเหลวในการดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และในที่สุดมันก็ได้กลายเป็นซีรีส์ของทาง Netflix และเริ่มสตรีมมิง 10 ตอนไปเมื่อวันที 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั่นเอง

สำหรับการดำเนินเรื่องในซีรีส์ต้องยอมรับว่า คนดูอาจต้องปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่าเรื่องไปพอสมควร และยิ่งบทสร้างปมไว้เยอะเหลือเกินทั้งปมใครฆ่าพ่อของเหล่าเด็กกำพร้าซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ยังมีปมที่หมายเลข 5 พยายามหาทางหยุดยั้งวันสิ้นโลกตามที่เขาได้เดินทางข้ามเวลาไปพบเจอให้ได้ ซึ่งการแบ่งเนื้อหาใน 10 ตอน ขอสารภาพว่าตัวซีรีส์ไม่ได้ช่วยให้คนดูเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้นเลย เพราะมันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยมากมาย แถม 10 ตอนที่ถูกปล่อยมาตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่มาของพลังจากเหล่าฮีโร่แต่ละตัวมากนัก แต่จะเน้นไปที่บาดแผลทางจิตใจที่เซอร์ เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์ ได้ทิ้งไว้ในใจพวกเขา โดยเหตุการณ์ใน 10 ตอนนี้มีการบอกเล่าถึงตัวละครหลัก 6 ตัวได้แบบกระท่อนกระแท่นและอาจไม่ปะติดปะต่อนัก เดาว่าคงพยายามคุมโทนของคอมิกเอาไว้ซึ่งก็อาจไม่ถูกใจคนดูในวงกว้างมากนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ใน 5 ตอนแรกที่ซีรีส์เอาเวลาไปบอกเล่าเรื่องราวยิบย่อยมากกว่าประเด็นหลัก โดยเฉพาะ 2 ปมหลักอย่างการหาสาเหตุการตายของเซอร์ เรจินัลด์ ก็ดันมีแค่ สเปซบอย คนเดียวที่ให้ความสำคัญและปมนี้ก็จบลงอย่างง่ายดายทั้งที่มันเป็นปมเปิดซีรีส์ ก่อนที่ตอนท้ายเราจะได้พบปมที่แท้จริงได้แก่ ปมที่หมายเลข 5 พยายามหยุดยั้งหายนะโลก ที่กว่าซีรีส์จะทำให้ปมนี้กลายเป็นปมที่รวมเหล่าตัวละครฮีโร่ก็ปาไปตอนที่ 4 แล้ว แถมเมื่อถึงตอนที่ 6 ซีรีส์ก็ดันใช้พลอตเดินทางข้ามเวลามาหักล้างทุกอย่างที่ปูไว้ใน 5 ตอนแรกแบบแทบไม่มีปมสำคัญอะไรมาสานต่ออีกแล้วนอกจากแค่แนะนำตัวละครว่าใครเป็นใครเท่านั้นเอง เพราะผ่านมา 5 ตอนเราก็ยังไม่ค่อยรู้จักตัวละครแต่ละตัวเท่าไหร่นักเลย

ลำพังแค่ข้อมูลพื้นฐานอย่างพลังแต่ละคน บางทีก็ยังไม่ชัดเจนนัก เช่น ทำไมหมายเลข 1 ถึงต้องเรียกว่าสเปซบอย นอกจากแค่เรื่องที่เขาถูกพ่อส่งไปอยู่บนดวงจันทร์ แถมยังถูกฉีดเซรุ่มที่ทำให้เขามีขนรุงรังกลายเป็นลิงกอริลล่าอีก และที่หนักสุดคือหมายเลข 3 ดาราดังที่สามารถใช้คำโกหกของตัวเองบิดเบือนความเป็นจริง ซึ่งซีรีส์ก็ไม่ได้ทำให้เห็นชัดเจนนัก ว่ามันส่งผลกับเรื่องราวยังไง เช่นเดียวกับ เคลาส์ ที่กว่าเราจะได้เห็นประโยชน์ของการคุยกับวิญญาณได้ก็ปาไปเกือบจบซีซันแล้ว ที่สำคัญคือการที่ซีรีส์ไม่ได้ปูปมความคับแค้นใจของ วานย่า หรือหมายเลข 7 มาตั้งแต่ต้นและให้ความสำคัญกับการค่อยๆถักทอความขัดแย้งกับเหล่าพี่น้องให้เป็นรูปธรรมจนมาไปถึงตอนที่ 8 ที่พอซีรีส์จะหาปมสนุกๆอะไรให้เราติดตามได้ก็เกือบหมดซีซันแล้ว จึงกลายเป็นว่าตัวซีรีส์หมดเวลาไปกับการสร้างฉากกวนๆพยายามให้ขำเพื่อสร้างเสน่ห์ให้ตัวละคร แต่กลับแป๊ก แทนที่จะเอาเวลามาปูปมสำคัญให้เราสามารถเอาใจช่วยหรือรู้สึกร่วมไปกับตัวละครจนอยากเอาใจช่วยไปอย่างน่าเสียดาย

แต่กระนั้นก็ใช่ว่า The Umbrella Academy จะไร้ซึ่งความสนุกไปเสียทีเดียว เพราะพอเรื่องราวถูกปูมาดีแล้ว ตอนที่ 7 เป็นต้นไป ซีรีส์ก็เสิร์ฟฉากแอ็คชั่น และความโหดเลือดสาดกันแบบบึ้มบั้มไม่เกรงใจใครดีเหมือนกัน แถมยังโชว์สเปเชียล เอฟเฟกต์ เจ๋งๆได้แบบไม่น้อยหน้าหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ฉายโรงเลย แม้ว่าจะมีบางจุดที่เอฟเฟกต์ดู บ๊ง บ๊ง ไปหน่อยก็ตาม ส่วนนักแสดงต้องขอชื่นชมที่สุดเห็นจะเป็น เอลเลน เพจ ที่ยังคงฝีไม้ลายมือในการแสดงบทดราม่าได้ดีมาก ส่วน โรเบิร์ต ชีฮาน ก็รับบทตัวละคร LGBTQ อย่างเคลาส์ได้อย่างมีเสน่ห์น่าชื่นชม ต่างจากตอนได้ดูหนังใหญ่อย่าง Mortal Engine (2018) ที่ไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของเขาเท่าบท เคลาส์ เด็กจิตสัมผัสที่โตมาแล้วต้องพึ่งพายาเสพย์ติดเพื่อไม่ให้เห็นภาพน่ากลัวติดตาจนเราอดเห็นใจตัวละครไม่ได้