วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม Bitcoin ยังสามารถดึงดูดการลงทุนทำให้ราคาพุ่งขึ้น 4.18% แตะที่ 50,947.94USD (1,556,510 บาท) เพิ่มขึ้นจากราคาปิดก่อนหน้า 2,043.31USD (62,425 บาท)

หลายคนมองว่า Bitcoin เป็นเหมือนทองคำดิจิทัลที่ช่วยลดความเสี่ยงในการถือเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จึงมีบริษัทเริ่มนำเงินทุนสำรองมาซื้อ Bitcoin เป็นสินทรัพย์และ PayPal ประกาศหนุนใช้ BitCoin และเหรียญสกุลเงินดิจิทัลซื้อขายในกระเป๋าเงินออนไลน์ ทำให้ 17 พฤศจิกายน Bitcoin ได้ทำราคาในระดับสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 17,868 USD อีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อ 20 ธันวาคม 2017

เดือนกุมภาพันธ์ Tesla เผยว่าได้ซื้อ Bitcoin มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ส่งผลให้ราคาใน 16 กุมภาพันธ์พุ่งถึง 50,602 ดอลลาร์ จากนั้น Bitcoin ได้รับการสนับสนุนจาก Mastercard, BNY Mello จนทำให้ราคาใน 21 กุมภาพันธ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 58,354 ดอลลาร์ (1,748,694 บาท)

22 กุมภาพันธ์ Bitcoin ราคาเริ่มร่วงลงมาจน 28 กุมภาพันธ์ร่วงต่ำสุดที่ 43,241.62 USD ราคาปิดที่ 45,137.77USD จากนั้น 1 มีนาคม MicroStrategy ได้ซื้อ Bitcoin ประมาณ 328 BTC มูลค่า 15 ล้านดอลลาร์ (453 ล้านบาท) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจช่วยหนุนให้ราคาของ Bitcoin แตะสูงสุดที่ 50,127.51USD ใน 2 มีนาคม

ราคา Bitcoin ยังคงผันผวนลงมาต่ำกว่าระดับ 50,000USD อีกครั้ง และ 5 มีนาคม MicroStrategy ได้ซื้อเพิ่มอีกประมาณ 205 BTC ด้วยเงินสดมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ (305 ล้านบาท) ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจมีส่วนทำให้ราคาเริ่มไต่แล้วกลับขึ้นมาที่ระดับ 50,000USD ในวันที่ 7 มีนาคม

อย่างไรก็ตาม Bloomberg Intelligence วิเคราะห์ว่า Bitcoin มีรากฐานที่มั่นคงซึ่งราคาในอดีตสามารถเป็นแนวทางบอกราคาในอนาคตได้ โดยนำเสนอว่าในปี 2013 Bitcoin ได้แตะราคา 1,000USD เป็นครั้งแรก จากนั้นปี 2017 ได้แตะที่ระดับ 10,000USD ดูแล้วเวลา 4 ปีราคาจะเพิ่ม 0 เข้ามาอีก 1 ตัว จึงคาดการณ์ว่าราวปี 2025 อาจจะเพิ่ม 0 มาอีกตัว คือแตะที่ 100,000USD (3 ล้านบาท)

ใครที่สนใจเกี่ยวกับ Bitcoin ก็ขอให้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคากันต่อไปว่าจะกลับมาเติบโตมากกว่านี้ หรือจะแตะที่ 100,000USD ตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ บางครั้งข้อมูลจากการคาดการณ์ของสำนักต่าง ๆ ก็อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้ เพราะถ้าแม่นขนาดนี้ก็คงรวยกันไปเยอะแล้ว

ที่มา : reuters และ bloomberg

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส