News

ล้อมวงคุยถึงอนาคตของ #beartai กับ “ชลลี่ วจนานนท์” บก.บริหารคนใหม่และหนุ่ย พงศ์สุข CEO คนเดิม

07/05/2019

Table of Content :

Table of Content

ท่ามกลางความร้อนแรงในวงการสื่อสารมวลชน ที่เทคโนโลยีซัดพาความเปลี่ยนแปลงไปทุกหัวระแหง #beartai ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ก็ขอประกาศความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อคว้าตัว “ชล วจนานนท์” นักแสดงและผู้ประกาศข่าวมากฝีมือ มาร่วมทีมในฐานะบรรณาธิการบริหาร เพื่อดูแลภาพรวมเนื้อหาจากสื่อในเครือแบไต๋ โดยหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ก็ยังคงเป็น CEO เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ของบริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด บริษัทแม่ของ #beartai เช่นเดิม และบก.เอกพล ชูเชิดก็จะรับตำแหน่งเป็นบรรณาธิการด้านเทคนิค เพื่อดูแลรายละเอียดของเนื้อหาเชิงเทคนิคต่อไป

และในโอกาสนี้เราจึงนั่งล้อมวงกับหนุ่ย พงศ์สุข และชลลี่ วจนานนท์ คุยกันถึงอนาคตต่อไปของ #beartai ครับ

หนุ่ย พงศ์สุขพูดถึงชลลี่ วจนานนท์

ผมขอต้อนรับคุณชลลี่ เข้ามาเป็นบรรณาธิการบริหาร ของ #beartai และสื่อในเครือนะครับ เรามีความยินดีมากที่ได้คุณชลลี่มาร่วมงานด้วย ด้วยโปรไฟล์ที่น่าสนใจ อย่างการเป็นผู้ผลิตข่าวในสำนักข่าวชื่อดังในระยะใหญ่ ๆ รวมทั้งการสำเร็จการศึกษาด้านการสื่อสารโดยตรงจากซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ทำให้เราไม่แปลกใจถ้าสังคมหรือคนทั่วไปจะยังไม่เคยเห็นคุณชลลี่ในบทบาทของคนเทคโนโลยี โดย #beartai ใหม่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการพิสูจน์ทราบของใหม่ทุกเรื่อง ทุกวงการอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่คุณชลลี่มานั่งในตำแหน่งสำคัญ อย่างบรรณาธิการบริหาร ผมเล็งเห็นแล้วว่าเหมาะสมที่สุด

ชลลี่ วจนานนท์พูดถึงหนุ่ย พงศ์สุข

คุณหนุ่ยเป็นเหมือนโลโก้ เป็นภาพจำของแบไต๋เลย ก่อนที่จะมาร่วมงานกับ #beartai ก็มองว่าเป็นคนที่มี DNA คล้ายกัน เป็นรุ่นพี่ที่คล้ายกัน มีไฟในการทำงานอยู่เสมอ เน้นคุณภาพ และเป็นไอดอลเลย

ตอนที่พี่หนุ่ยเข้ามาทาบทามครั้งแรก ก็ตกใจว่าทำไมถึงเชื่อในศักยภาพของเราขนาดนั้น แต่พอมองไปก็ดีใจที่หลายๆ คนมองเห็นศักยภาพ ความคิดภายในของเราที่มากกว่าความเป็นดารา ซึ่งตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะบอกให้โลกรู้ว่าเรามีความสามารถซ่อนอยู่

ซึ่งความ sexy ด้านนอกก็สามารถไปด้วยกันได้กับความฉลาดภายใน

มอง #beartai เป็นอย่างไร

ชลลี่: ก่อนจะมาร่วมงานกับ #beartai ก็มองว่าแบไต๋เป็นเว็บและแพลตฟอร์มออนไลน์เกี่ยวกับเทคโนโลยี นวัตกรรมและวิทยาการ ที่มีศักยภาพในการต่อยอดจากระดับ Top of mind ของเอเจนซี่ต่างๆ ในประเทศสู่ต่างประเทศ มีศักยภาพในการเป็นสื่อระดับ Business insider หรือ CNET ได้เลยในอนาคต

ซึ่งหลายคนคงชินกับคำว่า disrupt ซึ่งสื่อถูก disrupt ไปเยอะมาก สื่อกลุ่ม TV จะต้องการมาเกาะออนไลน์มากขึ้น สื่อสิ่งพิมพ์ก็ต้องผันตัวมาทำออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน เรามองว่าสื่อออนไลน์คืออนาคต เพราะตอนนี้เม็ดเงินมากองอยู่ตรงนี้หมดแล้ว ทุกธุรกิจก็ต้องเกาะออนไลน์ ต่อไปสื่อจะไม่มีรอยต่อแล้วระหว่างสื่อเก่ากับสื่อใหม่ ซึ่งแบไต๋ก็จะล้อไปกับความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยการพัฒนาด้านเนื้อหา กึ๋นของคนเล่า โปรดักชั่นการผลิต ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นสูตรตายตัวของสื่อทุกวันนี้ เพียงแค่เราต้องฉลาดเล่น ตามโลก ตามอัลกอริทึมต่างๆ ให้ทัน

หนุ่ย: ที่ผ่านมาในยุคเดิมของแบไต๋ ตั้งแต่ที่เราปูมาเป็นไอทีตลก ภาพนี้จะก็เปลี่ยนแปลงเป็นยุคใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่าแฟน ๆ ที่ติดตามกันมานานก็น่าจะเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ ผมเองตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างสื่อดี สื่อที่มีประโยชน์ต่อสังคมไทย

อนาคตของ #beartai

หนุ่ย: ผมได้เลือกแล้วว่าเส้นทางต่อไปที่ผมจะไป จะมุ่งสู่การเป็นพรีเมียมแมส ก็คือการมุ่งสู่มวลชนจำนวนมาก ผู้เสพข่าวคุณภาพ เข้าถึงเนื้อหาที่เสพข่าวความล้ำสมัยของโลกวิทยาการถึงความก้าวหน้าของโลกและประเทศ ฉะนั้นเมื่อเรามีจุดร่วมเดียวกัน เราก็จะมุ่งสร้างแบไต๋ไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากเดิมที่อาจจะให้ความรู้บวกความบันเทิง ก็จะเป็นการให้ความรู้นานาสาระ แล้วก็เป็นประโยชน์ แต่แน่นอนต้องอยู่บนพื้นฐานของความสนุกด้วย และผมมั่นใจว่าคุณชลลี่ บรรณาธิการบริหาร จะพิสูจน์ตัวเองกับผู้อ่านและผู้ชม และทำสิ่งให้สำเร็จเป็นจริงได้แน่นอน

ชลลี่: จากมุมมองที่คุยกับ บก. เอกพล ที่คลุกคลีกับเนื้อหาของแบไต๋มานาน ก็มองว่าแบไต๋เป็นเพื่อนไอที ก็ยังคิดว่าเป็นคาแรคเตอร์ที่สำคัญ แต่ตอนนี้เราก็มีคู่แข่งที่กำลังฟิต เราจึงต้องฟิตมากขึ้นเพื่อรักษาแชมป์ให้ได้ ซึ่งแบไต๋จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของไอที การรีวิวสินค้าอีกต่อไป แต่เราสามารถยกระดับตัวเองไปสู่เนื้อหาอื่นๆ ที่อยู่ในกระแส ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใส่เรื่องวิทยาการที่เป็นลายเซ็นของแบไต๋เอาไว้ได้ด้วย

ปีนี้เรามีเป้าว่าต้องการที่จะขยายฐานผู้ติดตามสื่อต่างๆ ของเราออกไปให้มากขึ้น ถ้าเป็น Youtube ก็ตั้งเป้าให้ได้ Gold Button หรือสมาชิก 1 ล้านคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เชื่อว่าด้วยทีมแบไต๋ที่มีศักยภาพ เราจะไปในทิศทางนั้นได้

ตำแหน่งใน #beartai เปลี่ยนแปลงอย่างไร

หนุ่ย: นอกจากชลลี่ที่เข้ามาดูแลภาพรวมด้านเนื้อหาในฐานะบรรณาธิการบริหารแล้ว บรรณาธิการเอกพล ชูเชิด จะดูแลในเรื่องบรรณาธิการเทคนิค ซึ่งเป็นความถนัดที่ บก.เอกพล เป็นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นี่จึงถือเป็นจุดลงตัวมาก ๆ ที่เรามีเพื่อนร่วมงานเพิ่ม และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแฟน ๆ จะต้อนรับ แบไต๋ในรูปโฉมใหม่ ที่ชิงรีแบรนด์โลโก้ไปก่อนหน้านี้แล้ว และบรรณาธิการบริหารเพิ่งติดตามมาในวันนี้ ผมหนุ่ย พงศ์สุข ยังคงเป็น CEO ในบริษัทนี้เช่นเดิม ยังคงเป็นพิธีกรแบไต๋อยู่ด้านหน้าเช่นเดียวกัน ฉะนั้นไม่ได้หายไปไหน พร้อมทั้งดีใจที่มีคนมาร่วมงานเพิ่ม และหวังให้คุณผู้อ่านทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ครับ

ชลลี่: หน้าที่ของชลคือทุกเรื่องที่พัฒนาเนื้อหาของแบไต๋ให้เติบโต และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของคุณหนุ่ย ในขณะที่บก.เอกพล จะดูแลเรื่องของเทคนิค ความซับซ้อนของโลกเทคโนโลยีต่างๆ ให้ยังเข้มข้นเหมือนเดิม

อยากให้รอดูการเติบโตของแบไต๋นะคะ

Fun Fact ปิดท้าย

ความสัมพันธ์แบบจ๊ะเอ๋ลูกนก* ของ 2 บก.

หนุ่ย: เพิ่มเติมอีกนิดนึงเกี่ยวกับ Fun Fact ของบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการเทคนิค คุณชลลี่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอยู่ในแวดวงบันเทิงมาก่อน รวมทั้งแวดวงสื่อสารมวลขน งานก็เป็นงานสื่อสารบันเทิง เอาเป็นว่าต้องมาป๊ะกับ บก.เอกพล บรรณาธิการเทคนิค ที่จบการศึกษาจากวารสาร ธรรมศาสตร์ ทางด้านสื่อสารมวลชนโดยตรง และก็มีความชื่นชอบไอทีมาตั้งแต่สมัยเรียน จนทำให้มาฝึกงานกับแบไต๋ไฮเทคตั้งแต่สมัยเป็นจูเนียร์มาก ๆ แล้วก็ยังทำวิทยานิพนธ์กรณีศึกษาเกี่ยวกับการทำรายการแบไต๋ไฮเทคในยุคนั้นอีกด้วย

ฉะนั้นเมื่อ 2 คนนี้มาพบกัน มันจึงมีความน่าสนใจอีกประการนึง นอกจากจะเป็นเสือกะสิงห์จากวารสารธรรมศาสตร์ และนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์แล้ว (ชลลี่: จริงๆ ต้องเรียกว่าลูกพระเกี้ยวและลูกแม่โดมนะ) ยังสำเร็จความศึกษาในปีเดียวกันอีกด้วย ว่าง่าย ๆ คือเป็นคนเกิดปีเดียวกัน ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับที่ได้ทราบ Fun Fact ตรงนี้ หวังว่าทั้ง 2 คนนี้จะร่วมงานกันอย่างสนุกมาก ๆ เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้อ่านและผู้ชมของแบไต๋ครับ

* จ๊ะเอ๋ลูกนก เป็นกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ประจำปีระหว่างนิสิตนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับนักศึกษาวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งจะสลับกันเป็นเจ้าภาพระหว่าง 2 สถาบัน ทำให้ทั้ง 2 บก. เคยพบกันมาแล้วสมัยเรียนปี 1 แน่นอนว่าไม่มีใครจำใครได้ในตอนนี้