ควันหลงจากงาน WWDC 2019 ที่ผ่านมา หนึ่งในสิ่งที่แอปเปิ้ลได้ทำการเปิดตัวบนเวที และทำให้ผู้ใช้งานหลายต่อหลายคนได้รับรู้พร้อมกันก็คือ “Find My” ฟีเจอร์ที่สามารถค้นหาทั้งเพื่อน หรือบุคคลในครอบครัว และค้นหาอุปกรณ์ของแอปเปิ้ลที่เราใช้งานได้ และทีเด็ดคือสามารถค้นหาอุปกรณ์ได้แม้ปิดเครื่องอยู่

ซึ่งจริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่แอปเปิ้ลทำขึ้นมา แต่เป็นการหยิบฟีเจอร์การใช้งานที่มีอยู่แล้ว มารวมเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ Find My Friends ฟีเจอร์การแชร์และค้นหาตำแหน่งของเพื่อน หรือบุคคลในครอบครัว และ Fine My iPhone ฟีเจอร์การค้นหาอุปกรณ์ไอโฟน ในกรณีที่ลืม หรือทำเครื่องสูญหาย โดยใช้ตำแหน่งของจีพีเอสในการแสดงผล แต่ทว่าฟีเจอร์ Find My iPhone มีข้อเสียตรงที่ต้องใช้สัญญาณจากโทรศัพท์มือถือ และต้องเปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือเปิดการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟ  ซึ่งถ้าหากเครื่องถูกปิดลง หรือแบตเตอรี่หมด ก็ไม่สามารถค้นหาตำแหน่งอุปกรณ์ของเราได้

แน่นอนว่าเมื่อมีการรวมกันเป็นแอปเดียว ย่อมมีการใช้งานที่ดีกว่า และเพิ่มเติมจากเดิมแน่นอน

ข้อดีของการรวมฟีเจอร์ต่างๆ มาเป็น Find My นั้น เพื่อลดการสับสนในการใช้งานระหว่างสองแอปที่กล่าวมาข้างต้น นอกเหนือจากนี้ ทำให้เป็นแอปที่สามารถใช้งานทั้งสองบริการได้ในเวลาเดียวกัน เข้าแอปเดียว ได้ใช้ทั้งสองบริการ (แต่ไม่ได้นกสองตัวนะ…) อีกสิ่งที่แอปเปิ้ลเปิดเผยเพิ่มเติมในงาน WWDC นั้น คือการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งาน Bluetooth Beacon ในการค้นหาอุปกรณ์ ในกรณีที่อุปกรณ์ที่กำลังค้นหานั้น แบตเตอรี่หมด หรือถูกปิดเครื่องไว้

แล้ว Bluetooth Beacon คืออะไร

ตัวอย่างการทำงานของ Bluetooth Beacon กับการใช้งานในห้างสรรพสินค้า(Source: beaconstac)

Bluetooth Beacon คือการส่งสัญญาณบลูทูธโดยใช้พลังงานที่ต่ำ ส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือถือ หรือสมาร์ตโฟนที่เปิดบลูทูธไว้ เพื่อรับส่งข้อมูล หรือแจ้งข่าว ถ้าเป็นในระดับการค้า ก็จะใช้สัญญาณนี้ในการตรวจจับอุปกรณ์ที่เปิดบลูทูธ แล้วทำการแจ้งโปรโมชั่นไปยังเครื่องของผู้ที่เข้ามาใช้บริการ หรือถ้าเป็นในสำนักงาน การใช้ Beacon สามารถทดแทนการใช้เครื่องตอกบัตร หรือการสแกนนิ้วเข้างาน โดยหันมาใช้การระบุตำแหน่งของอุปกรณ์แทน

แล้วแอปเปิ้ลนำ Bluetooth Beacon มาใช้ในรูปแบบไหน

สำหรับ Fine My ที่แอปเปิ้ลนำ Bluetooth Beacon มาใช้นั้น มาใช้ในการค้นหาอุปกรณ์ที่มีการปิดเครื่อง หรือแบตเตอรี่หมดลง หลักการทำงานก็คือ เมื่อมีการกดค้นหาอุปกรณ์บน Find My ระบบจะทำการกระตุ้นการส่งสัญญาณ Bluetooth Beacon ไปยังเครื่องผู้ใช้งานในละแวกดังกล่าว และละแวกใกล้เคียง (คล้ายๆ กับการทำ Mesh หรือการให้อุปกรณ์แต่ละตัวมีการติดต่อและส่งข้อมูลให้กัน) หลังจากที่ส่งสัญญาณไปแล้ว ตัว Find My จะทำการแจ้งตำแหน่งของอุปกรณ์ของเราให้ได้ทราบว่าอยู่ที่ตำแหน่งใด

แน่นอนว่าเมื่อมีเรื่องของการใช้สัญญาณบลูทูธมาเกี่ยวข้องแล้ว การใช้แบตเตอรี่ในเครื่องจะถูกลดทอน หรือแบตจะถูกสูบไปมากน้อยขนาดไหน แอปเปิ้ลการันตีมาแล้วว่า การใช้พลังงานนั้นมีไม่เยอะ อินเทอร์เน็ตก็ใช้แค่เพียงนิดเดียว รวมไปถึงการเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่องที่หลายคนหวาดกลัวกันว่า จะมีการแอบดูดข้อมูล หรือกระทำการบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัวนั้น แอปเปิ้ลก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน เพราะตัวระบบนั้นจะไม่รู้ว่ามีเครื่องใดบ้าง เครื่องไหนเป็นของใคร และเครื่องไหนที่ส่งข้อมูลกลับมา

แล้วใช้ค้นหาแค่ iPhone เท่านั้นหรือ ?

สำหรับตัว Find My ที่พัฒนาใหม่นี้ แน่นอนว่าเมื่อทำได้มากกว่าแล้ว ก็ต้องรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่าเดิม จากเมื่อก่อน รองรับการค้นหาแค่เครื่องไอโฟนอย่างเดียว ตอนนี้สามารถค้นหาอุปกรณ์ของแอปเปิ้ลได้ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPod Touch, iPad, Mac, Apple Watch และ AirPods และในอนาคต อาจจะค้นหาสิ่งของที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ประเภทป้ายแท็กได้อีกด้วย (ซึ่งเรื่องป้ายแท็กนี้ยังเป็นเรื่องที่เขาลือกันอยู่ว่าแอปเปิ้ลกำลังทดลอง และอาจทำสินค้าออกมาจำหน่ายในสโตร…) ทั้งนี้ การใช้งาน Find My จะสามารถใช้งานได้เฉพาะอุปกรณ์ไอโฟนหรือไอพอดที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ iOS 13, ไอแพดที่ติดตั้ง iPadOS, เครื่องแมคที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ MacOS Catalina และ Apple Watch ที่ติดตั้ง Watch OS 6 ซึ่งระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ยังไม่เปิดให้ใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ (แต่นักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่อทดลองใช้งานได้) ส่วนผู้ใช้งานทั่วไป สามารถทดลองใช้งานได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ กับ Public Beta ที่ทางแอปเปิ้ลปล่อยออกมา ก่อนจะปล่อยให้ใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในเดือนกันยายนนี้ (พร้อมกับการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่นั่นเอง…)

ที่มา: The Verge