ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีสในวันที่ 1 มิถุนายน 2017 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา โดยไม่ฟังคำเตือนจากหลายฝ่าย รวมถึงจากซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่างทิม คุก และอีลอน มัสก์ ด้วย

ความตกลงปารีส เป็นข้อตกลงระดับนานาชาติเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สภาวะเรือนกระจก และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยมี 195 ประเทศทั่วโลกร่วมลงนามในความตกลงนี้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2015

The Washington Post รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีส ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญและผู้นำจากต่างประเทศหลายท่านพยายามเตือนว่าอย่าถอนสหรัฐออกจากความตกลงดังกล่าวนี้ รวมไปถึง ทิม คุก ซีอีโอของบริษัทแอปเปิล และ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท Tesla และ SpaceX ด้วย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าความตกลงดังกล่าวนี้จะทำให้ชาวอเมริกันต้องสูญเสียงานถึง 2.7 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2025 แต่นายเคนเนธ จิลลิ่งแฮม นักเศรษฐศาสตร์จากเยล ได้แย้งว่าตัวเลขดังกล่าวนั้นไม่ตรงความจริงมากนัก

ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล และผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายท่าน ได้ร่วมกันวิพากษ์การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยทิม คุก ได้ส่งอีเมลถึงพนักงานในบริษัทว่า

“ผมได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2017 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา) เพื่อให้โน้มน้าวให้ท่านประธานาธิบดียังคงสถานะของสหรัฐอเมริกาในความตกลงปารีสเอาไว้…แต่มันยังไม่ดีพอ”

ทางด้านอีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla และ SpaceX ก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่งในสภาที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ประธานาธิบดีได้ประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีส และได้ทวีตข้อความว่า

“ผมได้ออกจากสภาที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแล้ว ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพถูมิอากาศนั้นสำคัญ การถอนตัวออกจากความตกลงปารีสจะไม่ส่งผลดีต่อทั้งสหรัฐอเมริกาหรือต่อโลกใบนี้”

ในขณะเดียวกัน นายแอนดรูว์ คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค, นายเอ็ดมันด์ บราวน์ จุเนียร์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย และนายเจย์ อินสลี ผู้ว่าการรัฐวอชิงตัน ซึ่งต่างก็พยายามลดปัญหาสภาวะเรือนกระจกในรัฐของตนอย่างจริงจังมาหลายปี ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนต่อการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ว่า

“การประกาศของประธานาธิบดีในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายและไม่รับผิดชอบต่อการแก้ปัญหาภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในรัฐและเมืองต่างๆของประเทศนี้ การปกป้องโลกของเรานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา ทางรัฐได้ดำเนินการในเรื่องนี้มาตลอด และจะยังคงดำเนินการต่อไป”

ข้อมูลอ้างอิง : businessinsidertheverge(1), theverge(2) และ theverge(3)