เมื่อปีกรกฎาคม 2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายสนับสนุนให้ประเทศก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำงานวิจัยด้าน AI ภายในปี 2030 แต่ดูเหมือนว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นจริงเร็วกว่ากำหนดแล้ว

เป็นที่รู้กันดีว่าอเมริกาเป็นประเทศที่มีงานวิจัย และงานพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์มากที่สุดในโลกนั่นทำให้อเมริกา เป็นผู้นำด้าน AI เป็นเวลาหลายปี แต่ภายหลังจากที่รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายดังกล่าวออกไป ทำให้งานวิจัย AI ของจีนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในด้านการพัฒนา AI มากขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลที่เอื้ออำนวยต่องานวิจัยทั้งสถานศึกษา และ เอกชน ทำให้หลายภาคส่วนของจีนผลิตงานวิจัยออกมาได้เป็นจำนวนมาก

ในปี 2006 งานวิจัย AI ของจีนมีจำนวนมากจนแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว แต่หลายคนแย้งว่า ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ การที่มีงานวิจัยจำนวนมากออกมาไม่สามารถชี้วัดถึงความสำเร็จในการพัฒนา AI ได้ แต่ผิดคาด! เพราะคุณภาพงานวิจัยจากจีนกลับมีคุณภาพมากขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าระบบภายในจะมีการโกงกันบ้างก็ตาม

ภายใต้การวิเคราะห์งานวิจัย AI กว่า 2 ล้านฉบับที่ถูกตีพิมพ์จนถึงสิ้นปี 2018 ของสถาบัน Allen Institute พบว่า ในปีนี้มีงานวิจัยที่ถูกใช้อ้างอิงจากอเมริกา 50% และลดลงเหลือ 10% ในปีหน้า และเหลือเพียง 1% ในปี 2025 ซึ่งสัดส่วนงานวิจัยของอเมริกาลดลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่สัดส่วนงานวิจัย AI จากจีนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากถึง 26.5% ในปีที่ผ่านมา


Oren Etzioni ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Allen Institute กล่าวว่า ถึงแม้อัตราการอ้างอิงงานวิจัยจะสูงขึ้นเพราะนักวิทยาศาสตร์จีนอ้างอิงงานให้กันและกันก็ตาม แต่งานวิจัยจากจีนหลายฉบับการันตีคุณภาพด้วยรางวัลต่างๆ นั่นแสดงให้เห็นว่างานวิจัยจากจีนไม่ได้มีดีแค่ปริมาณ แต่มากด้วยคุณภาพเช่นกัน และหากอเมริกายังต้องการที่จะรักษาความเป็นผู้นำทางด้าน AI ของโลกก็ควรจะต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้แล้ว

อ้างอิง