นี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบอย่างเป็นทางการของ ‘สงครามสตรีมมิ่ง’ ที่เชือดเฉือนกันมาตั้งแต่ปี 2019

การแข่งขันระหว่างบริษัทสตรีมมิงออนไลน์และบันเทิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะเพิ่มจำนวนสมาชิกได้จบลงไปแล้ว จากที่ผ่านมาแม้จะทราบดีว่าลูกค้ามีเงินไม่มากเพียงพอที่จะเป็นสมาชิกทุกแห่ง แต่ละเจ้าก็งัดเอาโปรโมชันลด แลก แจก แถม สร้างคอนเทนต์ดี ๆ มานำเสนอในราคารายเดือนที่ล่อตาล่อใจ จริงอยู่ว่าตอนนี้เจ้าใหญ่ ๆ ในตลาดก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไป แต่ก็ไม่มีดูเหมือนว่าไม่มีเจ้าไหนที่จะพยายามเผาเงินเพื่อเอาชนะ…อีกต่อไป

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เราเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับบริการสตรีมมิงที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่ 2 แห่งอย่าง Netflix และ Disney+ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่จากสมาชิกในปัจจุบัน แถมยังมีโอกาสที่จะลดจำนวนสมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาสมัครด้วย

ด้าน Netflix เพิ่มนโยบายเข้มงวดเรื่องการแชร์พาสเวิร์ด คนที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันไม่สามารถใช้ร่วมกันได้แล้ว หรือจะแชร์ก็ได้แต่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นบัญชี ๆ ไป ส่วน Disney+ ก็ปรับขึ้นราคารายเดือนจาก 99 บาท เป็น 289 บาท เรียกแพ็กเกจใหม่ว่า Disney+ Premium ส่วนแพ็กเกจ 99 บาท ก็ยังมีอยู่แต่จะลดคุณภาพของภาพลงและใช้ดูได้แค่บนมือถือหรือแท็บเล็ตเท่านั้น [สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ และ ที่นี่ ครับ]

ซึ่งต่อจากนี้ Amazon Prime ถ้าหมดช่วงโปรปีแรกที่เข้าไทยก็จะเริ่มขึ้นราคา และ HBO Go ก็คงจะตามมาอีกในไม่ช้าเมื่อคนอื่น ๆ พร้อมใจกันปรับราคาขนาดนี้

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ดูเหมือนว่าจู่ ๆ สงครามสตรีมมิงที่ฟาดฟันกันด้วยราคาจู่ ๆ ก็จบลงซะแล้ว

จำนวนสมาชิกที่ถึงทางตัน

ในไตรมาสล่าสุด Disney ประกาศว่าบริการสตรีมมิ่ง Disney+ สูญเสียสมาชิกไปทั้งหมด 4 ล้านคนของปีนี้ ทำให้สมาชิกโดยรวมลดลงจาก 161.8 ล้านคน เหลือเพียง 157.8 ล้านคนเท่านั้น

โดยในจำนวนคนที่หายไป 4 ล้านคนนี้ มาจากฝั่งของเอเชียที่ใช้บริการ Disney+ Hotstar หายไปกว่า 4.6 ล้านคน แต่ได้สมาชิกในอเมริกาและแคนาดาเพิ่มมา 6 แสนคน เพราะฉะนั้นรวมทั้งหมดเลยติดลบไป 4 ล้านคน

ทางด้านของ Netflix เองจำนวนสมาชิกก็ถือว่าทรงตัวช่วงกลางปี 2022 มีลดลงไปบางไตรมาส แล้วในไตรมาสล่าสุดก็ขยับขึ้นมา 1.75 ล้านคน จนตอนนี้มีสมาชิกทั่วโลกราว ๆ 232.5 ล้านคน ส่วนของ Warner Bros เจ้าของสตรีมมิง HBO ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านคนในช่วงเดียวกัน ตอนนี้มีรวมทั่วโลกประมาณ 97.6 ล้านคน ส่วนของ Amazon Prime เติบโตได้อย่างดีตอนนี้กลายเป็นสตรีมมิงอันดับ 2 รองจาก Netflix มีสมาชิกทั่วโลกประมาณ 205 ล้านคนไปแล้ว

แม้หลายแห่งยังเติบโตได้ เพียงแต่ว่าตัวเลขการเติบโตนี้ขึ้นแบบช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ทุกอย่างชี้ให้เห็นเลยว่ามันกำลังมาถึงทางตัน พร้อมชนเพดานที่ไปต่อได้ไม่มากกว่านี้อีกแล้ว

ระยะเผาเงินเพื่อดึงลูกค้าจบแล้ว

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถดึงลูกค้าเข้ามาได้เยอะเหมือนเดิม ช่วงระยะของ ‘High Growth’ ที่เผาเงินเพื่อเติบโตให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดของธุรกิจก็กำลังจบไป ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสร้างกำไรคืนให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น จึงไม่แปลกใจที่หลัง ๆ เราจะเห็นข่าวธุรกิจสตรีมมิงทั้งหลายพยายามจะหาทางสร้างกำไรให้มากขึ้นเรื่อย ๆ Warner Bros. ประกาศว่าปีนี้ทั้งปีน่าจะทำกำไรได้ ส่วน Netflix ก็เริ่มทำกำไรได้ในช่วงโควิดระบาด ส่วน Disney ก็ขาดทุนลดลงจาก 887 ล้านเหรียญเป็น 659 ล้านเหรียญ

นอกจากปรับราคาค่าสมาชิกและเข้มงวดเรื่องการแชร์พาสเวิร์ดกันมากขึ้นกว่าเดิม ธุรกิจสตรีมมิงทั้งหลายก็ลดงบประมาณในการสร้างคอนเทนต์แล้ว และลดจำนวนพนักงานลงอีกหลายพันตำแหน่งเพื่อประหยัดรายจ่าย คริสติน มักคาร์ที (Christine McCarthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของ Disney ก็ออกมาประกาศว่าจะ “ผลิตเนื้อหาในปริมาณที่น้อยลง” ส่วน บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ซีอีโอของบริษัทก็คาดว่านี่จะไม่กระทบกับการเติบโตของจำนวนสมาชิกทั่วโลก (ซึ่งอาจจะผิดก็ได้)

ราคารายเดือนที่เพิ่มขึ้น ลดจำนวนพนักงาน ลดงบสร้างคอนเทนต์ แพ็กเกจที่คุณภาพลดลง ที่มาพร้อมโฆษณาแบบราคาถูก ตอนนี้ทุกอย่างชี้ให้เห็นแล้วว่ากลยุทธ์และเป้าหมายของบริการสตรีมมิงไม่ใช่เป็นการล่อให้คนเข้ามาสมัครสมาชิกอีกต่อไป แต่เป็นการขยายเม็ดเงินของกำไรให้ได้มากที่สุดจากสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งก็หวังว่าจะมากเพียงพอให้นักลงทุนมีความสุข โดยที่สมาชิกจะไม่ลดลงไม่มากเกินไปนัก

ช่วงที่มาถือเป็น “Golden Age of Streaming” ก่อนหน้านี้ ซีรีส์หรือหนังแต่ละเรื่องกว่าจะออกสู่สาธารณะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักแสดงหน้าใหม่ ๆ กว่าจะได้รับโอกาสแสดงและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองจนมีผู้ติดตามก็เป็นความท้าทายอย่างมาก ธุรกิจสตรีมมิงได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมบันเทิงที่เคยมีอยู่ไปอย่างสิ้นเชิง แต่มันกำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด

การแข่งขันจะลดลง​ ซีรีส์ไหนก็ตามที่ไม่เป็น “Instant Hit” ได้รับความสนใจทันทีในระดับใหญ่ก็มีโอกาสจะถูกตัดงบทันที เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะได้ดูซีรีส์ดี ๆ ในราคารายเดือนแสนถูกคงเป็นการยาก ต่อไปหลายคนอาจจะเลือกไปใช้แพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณาแทน หรืออาจจะเลือกเหลือไว้เพียงแค่อันหรือสองอันเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ทุกอย่างจะแพงขึ้นและไม่เหมือนเดิม

ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของสตรีมมิงกำลังจะผ่านไป นี่คือปีแห่งความเปลี่ยนแปลงที่จะ “ของถูกและดี” จะกลายเป็นเพียงอดีตในความทรงจำเท่านั้น

ที่มา:
The Verge CNBC
CNBC CNBC
Investing CNBC

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส