[รีวิวเกม] Wonder Boy Returns ตำนานคนป่าเก็บไข่ กลับมาอีกครั้งบน PS4
Our score
5.4

Wonder Boy Returns

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์เหมือนต้นฉบับ
  2. เลือกเล่นได้ทุกฉากเลยตั้งแต่ต้น
  3. มีหลายตัวละครให้ปลดล็อก

จุดสังเกต

  1. กราฟิกตกยุค
  2. เพลงประกอบสุดเชย
  3. เกมเพลย์ธรรมดามาก
  • กราฟิก

    4.5

  • เกมเพลย์

    6.5

  • ความแปลกใหม่

    5.0

  • ความคุ้มค่า

    5.5

  • ภาพรวม

    5.5

ในยุค 80 นอกจากเกมลุงหนวดมาริโอ จะเป็นหนึ่งในตำนานเกม 2 มิติแล้ว เกมคนป่าเก็บไข่ก็เป็นอีกซีรีส์เกมที่โดดเด่น ที่เชื่อว่าใครเกิดทันยุคนั้นต้องเคยเล่นกันแทบจะทุกคน เพราะด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายแต่มีความยากและท้าทายให้ได้สัมผัส บวกกับตัวละครที่น่ารักน่าชังทำให้มันเป็นอีกหนึ่งเกมที่คอเกมจำได้ขึ้นใจ

โดยเกม Wonder Boy เป็นการสร้างโดยค่าย SEGA และเป็นต้นแบบของเกม Adventure Island (คนป่าเก็บไข่) ของค่าย Hudson Soft ที่ออกตามมาภายหลัง มีรูปแบบหลักๆของเกมที่คล้ายกันมาก และหลังจากนั้นก็ได้แตกแยกย่อยออกมาอีกหลายภาค แต่หลังจากนั้นมันก็เงียบหายไปนาน จนล่าสุดมันกลับมาอีกครั้ง บน PS4 (และบน PC ด้วย)ในชื่อ Wonder Boy Returns

และสัมผัสแรกคุณอาจจะตะลึงกับกราฟิก ไม่ใช่เพราะความงาม แต่เพราะคุณภาพของมันแทบจะเหมือนกับเกมโหลดฟรีบน สมาร์ทโฟน ที่ดูเชยมากสำหรับเกมบน PS4 กราฟิกเหมือนกับกระดาษตัดแปะที่เรียบไร้มิติ แม้ว่าจะมองว่าเป็นเกมย้อนยุค แต่ก็น่าจะมีการลงทุนมากกว่านี้หน่อย เช่นเดียวกับเสียงประกอบที่ดูเชยตามกราฟิกแทบไม่มีอะไรที่สื่อถึงความคลาสสิกในอดีตเลย ยิ่งมาออกบนเครื่องรุ่นใหม่ที่เน้นกราฟิกอย่าง PS4 ทำให้มันเหมือนผิดที่ผิดเวลา น่าจะไปออกบนเครื่องพกพามากกว่า

อย่างไรก็ตามในฐานะที่ผู้เขียนเองเป็นแฟนซีรีส์ Wonder Boy และ Adventure Island และเล่นมาตลอดเกือบทุกภาค ทำให้การเล่นในครั้งแรกมีความประทับใจกว่าที่คิด เพราะรูปแบบการเล่นแทบจะถอดแบบมาจากต้นฉบับ ที่เป็นแอ็คชั่น 2 มิติมุมมองด้านข้าง ที่ตัวเอก Wonder Boy ต้องออกวิ่งไปในฉากที่เต็มไปด้วยศัตรู อุปสรรค และกับดัก ที่เป็นมาตรฐานของเกมในอดีต ที่หากคุณไม่เคยเล่นมาก่อนคงจะรู้สึกเฉยๆและคงมองว่ามันคือเกมสำหรับเด็ก

แต่หากเล่นจะรู้ว่าจิตวิญญาณของเกมโดยเฉพาะในเรื่องความยากนั้นยังคงอยู่ครบ เพราะเกมนี้ตัวละครของเราโดนโจมตีครั้งเดียวก็ตายแล้วและไม่มีพลังชีวิต แต่มีค่าพลังความหิวที่จะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ เราต้องหาอาหารที่มีอยู่ในฉากมากินกันตลอด ไม่เช่นนั้นหากพลังหมดเราก็หิวตาย ทำให้มันดูยุ่งยากกว่าเกมแอ็คชั่นในปัจจุบันมาก

เรียกว่าเด็กรุ่นใหม่มาเจอเกนนี้อาจส่ายหน้าหนี และอาจบ่นว่ามันโหดและวุ่นวายกว่าเกมยุคนี้มาก แต่หากจับจังหวะของศัตรูได้ก็จะผ่านไปได้ไม่ยากนัก ที่เป็นรูปแบบของเกมยุคเก่าที่ผู้เล่นต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีของศัตรู มากกว่าจะสนใจที่กราฟิก ส่วนไอเทมในเกมก็ดูเหมือนว่าจะยกมาจากต้นฉบับทั้งขวานหินในตำนาน หรือสเก็ตบอร์ด ที่ทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หรือไอเทมนางฟ้าที่เหมือนดาวของเกม Super Mario โดยไอเทมจะอยู่ในไข่ (เป็นที่มาของชื่อ คนป่าเก็บไข่) เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

อย่างไรก็ตามพอหลังจากได้เล่นไปสักพักต่อให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ และชอบเกมเก่าๆ ก็จะเริ่มเบื่อ เพราะตัวเกมไม่มีอะไรใหม่มากกว่าการเปลี่ยนรูปแบบของฉากที่มีภูมิประเทศที่แตกต่างกันเท่านั้น ศัตรูในเกมก็ซ้ำไปซ้ำมา บอสที่มีหลายตัวถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่รูปแบบก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเท่าไร

สิ่งที่ทำให้มันดูแปลกๆหน่อยคือ เราสามารถเลือกฉากเล่นได้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเกม โดยไม่ต้องรอปลดล็อก คุณจะเลือกเล่นด่านสุดท้ายได้ทันทีตั้งแต่เริ่มเกม ทำให้ขาดความท้าทายไปมากแต่ถ้ามองโลกในแง่ดีมันก็สะดวกดี แต่อะไรก็ไม่แปลกเท่าในเมนูมีเราจะเลือกดูฉากจบได้เลย แบบนี้ก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไม ยังดีที่เกมมีการเก็บไอเทมที่เป็นตุ๊กตาตัวละครในเกมที่อยู่ตามฉากที่ไม่ได้เก็บกันง่ายๆเพราะเกมใช้รูปแบบที่ไม่สามารถเดินย้อนหลังไปเก็บของที่พลาดไปแล้วได้ดังนั้นต้องกะจังหวะกันให้ดี

ยังดีที่เกมยังมีอะไรใหม่ๆใส่เข้ามาบ้างเช่นการ เก็บไอเทมเพื่อปลดล็อกตัวละครใหม่ ที่เป็นสาวน้อย Tina นางเอกในเกม ที่นำมาเล่นได้ และยังมี Wonder Boy รุ่นคลาสสิกที่กราฟิกเป็นพิกเซลมาให้เลือกเล่นด้วย นอกนั้นเกมแทบไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้ อีกทั้งการเล่าเรื่องก็ทำได้ย้อนยุคเกินไป เพราะเป็นภาพนิ่งแบบตัดแปะ เสียงพากย์ก็ไม่มี ทำให้มันยิ่งตอกย้ำว่ามันน่าจะเป็นเกมบนสมาร์ทโฟนเข้าไปอีก

สรุปแล้วหากจะเทียบเกมแนวย้อนยุคด้วยกันอย่าง New Super Mario หรือ Rayman การกลับมาลงสนามอีกครั้งของ Wonder Boy ถือว่าด้อยกว่ามาก แต่หากมองว่ามันเป็นเกมที่ขายแบบดาวน์โหลดในราคาไม่แพงถือว่าพอรับได้ และหากคุณยังคงคิดถึงเกมที่เหมือนกับที่คุณเล่นตอนยังเด็กมันก็พอจะมีความสนุกให้คุณค้นหาอยู่บ้าง

Play video