[Review] Asus Zenbook Duo โน้ตบุ๊กจอคู่ Intel Gen 10th ที่มาพร้อมกับนิยามใหม่ “สมาร์ตบุ๊ก”
Our score
8.5

Asus Zenbook Duo UX481

จุดเด่น

  1. ScreenPad Plus ที่เปลี่ยนประสบการณ์การใช้งาน Laptop ให้เหนือขึ้นอีกระดับ
  2. หน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยม ทำให้มีความผิดเพี้ยนน้อยมาก
  3. วัสดุตัวเครื่องคุณภาพสูง ผ่านการทดสอบระดับ Mlitary Standard
  4. มีมาให้ IR Camera ใช้งานผ่านทาง Windows Hello ได้อย่างดีเยี่ยม
  5. รองรับ WiFi6 ใหม่ล่าสุด ที่รองรับความเร็วสูงสุดมากกว่า 1 Gigabyte

จุดสังเกต

  1. ความร้อนที่ค่อนข้างสูงเอาเรื่อง หากทำงานแบบ Full Load
  2. ไม่มี Port Thunderbolt 3 มาให้ ทั้งๆที่มันควรจะมีได้แล้ว
  3. ด้วยต่ำแหน่งการวางแป้นคีย์บอร์ดแปลกๆ ทำให้ผู้ใช้งานต้องปรับตัวสักพัก
  • รูปลักษณ์ การออกแบบ

    9.0

  • คุณภาพการใช้งาน

    9.0

  • สเปกเครื่อง ประสิทธิภาพ

    8.5

  • ซอฟแวร์

    8.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ถ้าหากพูดถึงโน้ตบุ๊กที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือการสร้าง Content แล้วล่ะก็ ส่วนมากผู้ใช้งานก็มักที่จะเลือกใช้ Laptop อย่าง Macbook กันเสียมากกว่า สำหรับ Windows PC เองนั้นก็ได้มีการพยายามออกแบบให้เจ้าโน้ตบุ๊กนั้นมีความสามารถสูงกว่าหรือเทียบเท่า Macbook ให้ได้ แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของ Hardware เอง หรือ Software แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้ใช้ส่วนมากเลือกที่จะใช้ Windows PC ด้วยสาเหตุที่มันเป็น Windows OS นั่นล่ะครับ

 

วันนี้ผมจะมาพูดถึง Asus Zenbook Duo ตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งวางขายไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของโน้ตบุ๊กตัวนี้เลยก็คือ ตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับขุมพลัง CPU Gen ใหม่ล่าสุดของ Intel อย่าง Core i 10th Gen พร้อมกับ WIFI6 ที่รองรับการเชื่อมต่อในระดับ Gigabyte อีกทั้งยังมีการนำเสนอนวัตกรรมการใช้งานใหม่แบบ Duo Screen หน้าจอตัวที่สองเป็นระบบสัมผัส “ScreenPad Plus” ที่รองรับการใช้งานแบบ Multitasking ได้เต็มรูปแบบ

โดยเจ้าตัว Asus Zenbook Duo ตัวนี้ หากเรามองดูสเปกหรือฟีเจอร์ของมันแล้วก็อาจจะคิดว่า มันใช่ “Project Athena” ของ Intel หรือไม่ จริง ๆ แล้วผมต้องบอกเลยว่ามันยังไม่ใช่ครับ แต่ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่อัดแน่นอยู่ในเจ้า Zenbook ตัวนี้ ก็ทำให้ผมถึงกับว้าว เพราะไม่คิดว่าโน้ตบุ๊กมันจะพัฒนาและมีประสิทธิภาพมากขึ้นขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวเครื่องเองก็ได้มีฟีเจอร์ที่ Project Athena มีอยู่บ้าง และ Review ในครั้งนี้ผมจะพูดถึง การใช้งานจริงของผมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา แน่นอนว่าข้อมูลนั้นต้องอัดแน่นไปด้วยสาระแน่นอน


Design


Asus Zenbook Duo จะมาพร้อมด้วยกัน 2 รุ่นก็คือ UX581 ที่จะมาพร้อม CPU Core i 9th Gen และ RTX2060 พร้อมกับหน้าแบบ OLED 4K 15.6 นิ้ว ที่มีราคาโคตรสูงถึง 109,990 บาท แต่อย่าเพิ่งกดปิดหน้าเว็บไปนะครับ เพราะตัวที่ผมใช้รีวิวในวันนี้ก็คือรุ่น UX481 ที่ใช้ CPU Core i 10th Gen และ nvidia MX250 หน้าจอ 14 นิ้วแบบ Full HD โดยมีราคาเพียงแค่ 39,990 บาทสำหรับ Core i7 และ 34,990 บาทสำหรับ Core i5 ครับ

เรามาดูที่การออกแบบกันก่อน เจ้า Zenbook Duo ตัวนี้มีขนาดที่เล็กกะทัดรัดมากครับ อีกทั้งตัวเครื่องยังเบาบางกำลังดี 1.5 กิโลกรัม ให้ผมถือมันเดินไปไหนมาไหนได้ทั้งวันโดยที่ไม่เมื่อยแขนเลย อีกทั้งตัวเครื่องนั้นก็ยังมาพร้อมกับซองหนังพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับใส่ตัวเครื่องที่ขนาดพอดีกันอีกด้วย เรียกได้ว่าออกแบบมาสำหรับการพกพาโดยเฉพาะครับ

ตัวเครื่องโดยรวมนั้นถูกออกแบบมาให้ดูเรียบง่ายและทันสมัย โดยจะมีการเก็บเข้ามุมเป็นแบบเหลี่ยม สิ่งที่ผมชอบมาก็คือวัสดุงานประกอบจะเป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูงมาก ๆ ที่ผ่านการทดสอบระดับ MIL-STD 810G? Mlitary Standard ให้นอกจากว่าตัวเครื่องจะแข็งแรงมาก ๆ อีกแล้ว ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานนั้นดูดีขึ้นมาอีกเท่าตัวเลยล่ะ (เอาใช้ที่ไหนก็ดูสวยหรูเท่ไม่แพ้ Macbook แน่นอน)

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Zenbook Duo ตัวนี้ ก็คือหน้าจอแบบ NanoEdge ที่บางเฉียบ และมีพื้นที่การใช้งานเยอะมาก ๆ สำหรับตัวที่ผมใช้รีวิวนั้น เป็นจอแบบ IPS ขนาด 14 นิ้ว โดยมีความละเอียดภาพที่ 1920 x 1080 พิกเซล ตามมาตรฐาน Full HD พร้อมรองรับ HDR โดยแสดงผลของสีระดับใกล้เคียงกับ sRGB เลยทีเดียว

และถึงแม้ว่าหน้าจอจะบางหรือมีพื้นที่ใช้งานมากแค่ไหน ด้านบนสุดของจอก็ยังติดตั้ง Webcam และ Microphone แบบคู่มาให้ พร้อมกับ IR Camera ที่เอามาใช้งานกับระบบ Windows Hello ช่วยให้เราเปิดใช้งาน Laptop ได้ทันทีหลังจากเปิดฝาพับมา ซึ่งคุณภาพโดยรวมของ Webcam นั้นทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในสภาพแบบไหน ตัวกล้องก็สามารถสแกนหน้าผมได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งจะปิดไฟห้องจนมืดสุด ๆ มันก็ยังอุตส่าห์รู้ว่าเป็นผมได้

ฝาหน้าและฝาหลังเครื่องแน่นอนว่าเป็นวัสดุเดียวกันทั้งหมด อีกทั้งยังมีการใช้ลวดลายบนแผ่นโลหะ พร้อมกับ Logo คำว่า Asus อยู่ทางด้านขวาของฝาหน้า สำหรับตัวบานพับนั้นเป็นแบบ ErgoLift เมื่อกางฝาพับออกมาจนสุด ตัวบานพับก็จะดันตัวเครื่องให้เอียงสูงขึ้นมาอีก ซึ่งแน่นอนว่ามันเหมาะสมสำหรับงานเอกสารเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการระบายความร้อนอีกด้วย

โดยส่วนตัวแล้วผมนั้นทั้งชอบและไม่ชอบในจุดนี้ครับ เวลาใช้งานจริง ถ้าหากผมวางตัวเครื่องไว้กับโต๊ะหรืออะไรตามแต่ แน่นอนว่ามันจะใช้งานง่ายขึ้นมาก แต่ประเด็นก็คือลักษณะการใช้งานของผมส่วนมากก็นำเอาตัวเครื่องมาวางไว้บนตัก แล้วพิมพ์งานเสียมากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้เอง ทำให้ผมรำคาญเจ้าบานพับ ErgoLift เป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรกับการใช้งานจริงสักเท่าไร แต่ผมก็รู้สึกว่าบานพับแบบปกตินั้น เหมาะสำหรับการใช้งานแบบวางไว้บนตักมากกว่า

เรามาดูต่ำแหน่งคีย์บอร์ดกันบ้างครับ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงงานเอกสาร คีย์บอร์ดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แน่นอนว่าตำแหน่งของชุดคีย์บอร์ดนั้นจะแปลกกว่าชาวบ้านไปทันที เนื่องจากว่ามันมี ScreenPad Plus ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ชุดคีย์บอร์ดถูกหดให้เล็กลง อีกทั้งยังถูกขยับตำแหน่งมาไว้ล่างสุด และเลื่อนเอา Touchpad ไปไว้ด้านขวามือนั้นเอง ตัวแป้นนั้นมีไฟ LED สีขาวปรับได้ 3 ระดับมาให้ แน่นอนว่าการตอบสนองของแป้นนั้นทำมาได้ดีมาก เหมาะสำหรับงานเอกสารจริง ๆ พิมพ์กันให้มันไปเลยล่ะ

แต่จากการใช้งานจริงแล้ว ผมต้องบอกเลยว่าช่วงแรกๆ ของการใช้งานนั้น ทำเอาผมคลั่งเลยทีเดียว เพราะตำแหน่งของแป้นมันอยู่ผิดที่มาก ๆ ด้วยการที่ผมเป็นคนนิ้วค่อนข้างใหญ่ ทำให้การพิมพ์แต่ละตัวอักษรมักจะกดผิดตัว หรือไม่ก็กดทับไปโดนอีกตัวกันเลย แต่หลังจากผ่านการใช้งานมาอย่างนาน ก็จะทำให้เกิดความเคยชินขึ้นครับ และทำให้พิมพ์งานได้อย่างลื่นไหล แม้กระทั่งตอนนี้ที่ผมกำลังเขียนรีวิว ก็กำลังใช้เจ้า Zenbook ตัวนี้นี่แหละ เรียกได้ว่าใช้กันสด ๆ ไปเลย

มาดู Touchpad กันบ้าง พูดตามตรงเลยก็คือผมไม่ได้หวังอะไรกับ Touchpad ของ Laptop Windows PC สักเท่าไร แต่สำหรับเจ้า Zenbook Duo ตัวนี้ได้ทำให้ผมรู้สึกโอเคกับมันขึ้นมาได้บ้าง และรู้สึกสบายที่จะใช้มันครับ ตัว Pad นั้นมีความลื่นไหลที่กำลังดีเลย เวลาใช้จึงไม่ติดขัดอะไร แต่ที่ผมชอบมากก็คือการแยกปุ่มคลิกซ้ายขวาออกมา ที่การกดจะให้ความรู้สึกเหมือนกัดแป้นคีย์บอร์ด ที่มีการเด้งรับอย่างประทับใจ และหาที่ไหนไม่ได้ในโน้ตบุ๊กรุ่นอื่น ๆ แน่นอน

พอพูดถึงคีย์บอร์ดกันไปแล้ว เรามาดูเจ้า ScreenPad Plus กันบ้างครับ เนื่องจากว่ามันกินพื้นที่เกือบครึ่งนึง ทำให้วางคีย์บอร์ดแบบปกติไม่ได้ แล้วมันจะออกมาดีอย่างที่คิดไหม??

คำตอบคือ ดีมาก ครับ ก่อนอื่นเรามาดูเจ้าตัว ScreenPad Plus กันก่อน ตัวจอเองเป็น IPS ครับ ความละเอียดหน้าจอจะอยู่ที่ 1920 x 515 อัตราส่วน 32:9 รองรับการสัมผัสทั้งนิ้วหรือปากกา โดยในชุด Asus เขาก็ได้แถมปากกามาให้อีกด้วย (ใช้ถ่านนะเออ)

โดยเราสามารถใช้ ScreenPad Plus เป็นหน้าหน้าจอตัวที่สองได้เลย อีกทั้งเรายังสามารถใช้งาน Application แบบ Multitasking ไปควบคู่กับการใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ได้ เช่นถ้าหากเราต้องการดู Youtube ไปพร้อมๆ กับการพิพม์งาน เราก็สามารถทำได้ โดยเลือกว่าจะให้หน้าจอ Youtube ไปอยู่จอบนหรือจอล่าง โดยที่เรายังก็สามารถใช้คีย์บอร์ดพิมพ์งานได้ตามปกติ หรือเราจะแบ่งหน้าต่างของโปรแกรมต่าง ๆ เป็น 2-3 หน้า และแสดงให้เห็นพร้อม ๆ กันก็สามารถทำได้

เวลาใช้งานจริง ภาพรวมจะเป็นแบบนี้

การท่องเว็บไซต์ผ่าน Browser ต่าง ๆ เคยไหมว่าบางครั้งเราอยากจะใช้นิ้วไปเลื่อนดู หรือกดเลือกเอาแบบในสมาร์ตโฟนเสียเลย แน่นอนว่าเจ้า ScreenPad Plus นี้สามารถทำได้ครับ นอกจากนี้เรายังสามารถใช้งานแบบ Extended Screen ได้ โดยการขยายหน้าต่างให้เต็มทั้งสองหน้าจอ และใช้การสัมผัสเลื่อนหน้าจอเอาได้แบบสบาย ๆ

เราสามารถสลับเปลี่ยนการใช้งานโปรแกรมไปมาระหว่างหน้าจอหลัก และ ScreenPad Plus ได้สะดวก รวดเร็ว และทำได้ง่าย ๆ โดยการกดปุ่มเดียว ทำให้การใช้งานนั้นลื่นไหล และไม่จำเป็นต้องมานั่งกด Alt + Tap หรือเปลี่ยนแท็บใหม่ใน Browser บ่อย ๆ อีกต่อไป และผมยินดีที่จะบอกว่า Application ของ Windows ทุกตัว สามารถใช้งานได้กับ ScreenPad Plus โดยไม่จำเป็นต้องมีการรองรับอะไรทั้งนั้น เพราะเราอย่าลืมว่า จริง ๆ แล้ว ScreenPad Plus มันก็คือ Second monitor เวอร์ชันสัมผัสได้นั้นเองครับ

นอกจากนี้ยังไม่พอ Asus ได้ร่วมมือกับ developer ต่าง ๆ เพื่อส่งมอบ Application ที่ทำงานร่วมกับ ScreenPad Plus ให้ดีที่สุดออกมามากมาย โดยหนึ่งในนั้นที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวเลยก็คือ Overwolf ที่จะทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของเรานั้น เหนือขึ้นไปอีกระดับ เพราะเราจะสามารถใช้เจ้า ScreenPad Plus ร่วมกับเกมที่เราเล่นอยู่ได้ โดยตอนนี้เกมที่รองรับได้แก่ League of Legends, Dota 2, Fortnite, CS:GO ครับผม


Performance


Asus Zenbook Duo ที่ผมใช้รีวิวในครั้งนี้คือรุ่น UX481 ที่ใช้ CPU Core i 10th Gen มาพร้อมกับ Nvidia MX250 โดยมีแรมอยู่ที่ 16GB 2133MHz LPDDR3 มาพร้อมกับ HDD ขนาด 1TB แบบ G3X4 SSD โดยโปรแกรมที่ผมใช้ Benchmark ในครั้งนี้นั้นมีไม่มาก และเนื่องจากตัวเครื่องไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการเล่นเกม ผมก็เลยข้ามการ Becnhmark สำหรับการเล่นเกมไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันเล่นไม่ได้เลยนะครับ เพราะ Nvidia MX250 ก็สามารถเล่นเกมได้ดีอยู่ระดับนึงเลยทีเดียว

PC Mark

Cinebench R20

RealBench

เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็น่าจะเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจมากที่สุด นั้นก็คือ “ความร้อน” และ “Battery Life” ครับ

Battery ของ Zenbook Duo ตัวนี้ถูกฝังไว้ภายในตัวเครื่องครับ โดยมีความจุอยู่ที่ 4440mAh เวลาใช้งานจริงนั้น สามารถใช้ยาวนานได้ถึง 8 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการดู Youtube เปิดเน็ตท่องเว็บ หรืองานเอกสารธรรมดา แน่นอนว่าเราสามารถปิดการใช้งาน ScreenPad Plus ได้ เนื่องจากว่าเจ้าตัวนี้มันทำงานเป็นหน้าจอที่ 2 ทำให้ใช้พลังงานมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามอายุของ Battery นั้นมันขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเสียมากกว่า โดยผมได้ลองใช้แบบ Power Saving Mode และปิด ScreenPad Plus ก็พบว่าตัวเครื่องใช้ได้เกือบ 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ความร้อนของเจ้า Zenbook Duo นั้น ปกติจะอยู่ที่ 40-50 องศาเซลเซียส แต่ถ้ามีการใช้งานแบบ Full Load ก็จะพุ่งสูงสุดถึง 99 องศาเซลเซียส กันเลยทีเดียว สำหรับการใช้งานด้านกราฟิก การ์ดจอเวลาทำงานหนัก ๆ ผมเห็นว่ามันจะร้อนสุด ๆ อยู่ที่ 69 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งนี้ผมใช้ในห้องนอนของตัวเอง ที่ไม่ได้เปิดแอร์ และมีอุณหภูมิห้องอยู่ที่ 29-32 องศาเซลเซียสครับ สรุปแล้วระบบความร้อนของ Zenbook Duo ตัวนี้ก็ทำออกมาได้ดีแล้วล่ะ เพราะอย่าลืมว่าการทำงานแบบ Full Load มันคงไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แน่ กับโน้ตบุ๊กประเภทนี้ เพราะผู้ใช้งานน่าจะคงไม่เอามันไปใช้อะไรโหด ๆ แน่นอน


สรุป


ส่วนตัวแล้วผมชอบเจ้า Zenbook Duo ตัวนี้มาก ๆ แน่นอนว่าผมเป็นผู้ใช้งานประเภทงานเอกสารเป็นหลัก เพราะฉะนั้นหากผมจะหาโน้ตบุ๊กดี ๆ สักตัวไว้ใช้งาน เจ้า Zenbook Duo สามารถตอบโจทย์ผมได้ดีมาก ๆ สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คือ ScreenPad Plus ที่เอาเข้าจริงแล้วมันมีประโยชน์มาก ๆ ไม่ใช่แค่เราสามารถเปิด Youtube ดู หรือเล่น Social Network ไปพร้อม ๆ กับการพิมพ์งาน แต่มันสามารถเซ็นเอกสารผ่าน PDF File ได้ง่าย ๆ อีกด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ก็คือความสะดวกในการใช้งานเจ้า Zenbook Duo เครื่องนี้ครับ อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่าตัวเครื่องมันมีน้ำหนักไม่มาก ทำให้ผมสามารถเดินถือมันเดินรอบห้างสรรพสินค้าได้สบาย ๆ และยิ่งเป็นช่วงงาน Thailand Game Show 2019 ที่ผ่านมา เจ้า Zenbook Duo เครื่องนี้ช่วยให้ผมสามารถติดตามข่าว และปล่อยบทความลงเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก สบาย รวดเร็วอีกด้วย

หากพูดถึงผู้ใช้งานแบบ Production ที่เน้นการตัดต่อวิดีโอ หรือแม้แต่งานของเหล่าโปรแกรมเมอร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ต้องการใช้งานแบบ 2 หน้าจอกันทั้งนั้น โดยเจ้า Zenbook Duo ตัวนี้จะเหมาะกับพวกเขาเป็นอย่างมาก ด้วยโน้ตบุ๊กสองหน้าจอตัวแรกของโลกที่ไม่มีเจ้าอื่นเขาทำกัน อีกทั้งราคาก็ยังไม่สูงมาก และมาพร้อมกับ CPU Gen 10th ของ Intel ผมบอกเลยว่า นิยามของคำว่า “สมาร์ตบุ๊ก” ที่ Intel กล่าวเอาไว้ มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วครับ

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส