[Review] Digimon World: Next Order (PS4 Version): ภาคล่าสุดที่พาให้คิดถึง “ภาพวันวาน”
Our score
7.5

Digimon World: Next Order

จุดเด่น

  1. ตัวเกมมีความกระชับกว่าภาคแรก (ต้องยกภาคแรกมาเทียบเคียงเพราะอ้างอิงระบบภาคแรกแทบจะยกชุด)
  2. ตัวเกมไม่ซับซ้อน (เลยแม้แต่นิดเดียว)
  3. ฟาร์ม! ฟาร์ม! ฟาร์ม! (ผลตอบแทนจากการฟาร์มคุ้มค่า ทำให้ผู้เล่นสามารถสนุกไปกับการฟาร์ม)
  4. มีคุณค่าให้กลับไปเล่นซ้ำ (หลายรอบ)
  5. ไม่ได้พอร์ตมาแบบลวกๆ

จุดสังเกต

  1. กราฟิกดูล้าสมัยไปหน่อย
  2. เฟรมเรตมีตกอยู่บางจังหวะ
  3. เกมไม่มีความท้าทาย
  4. ฟาร์ม! ฟาร์ม! ฟาร์ม! (ไม่สามารถดิ่งลุยเนื้อเรื่องรวดเดียวจบได้)
  • กราฟิก

    7.0

  • เกมเพลย์

    8.0

  • ความแปลกใหม่

    7.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

  • ภาพรวม

    7.5

หากถามถึงดิจิมอนฉบับเกมที่เกมเมอร์หลายคน “รู้จัก,รักและสนุกกับมันที่สุด” ผู้เขียนเชื่อเลยว่า Digimon World ภาคแรกที่ลงให้กับเครื่อง PlayStation 1 นั้นต้องเป็นคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของใครหลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย) โดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการรื้อฟื้นความจำเลยแม้แต่นิดเดียว  นั่นก็เพราะเกมภาคดังกล่าวได้สร้างปรากฎการณ์แบบย่อมๆ ที่มาพร้อมยอดขายใหญ่ยักษ์กว่า 250,000 ชุดในบ้านเกิดประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแม้ในปัจจุบันซีรีส์เกม Digimon World จะเข็นภาคต่อออกมามากมายเพียงใด แต่ดูเหมือนจะยังคงไม่มีภาคไหนผลัดเปลี่ยนตำแหน่งความขลัง (และยอดขาย) ภาคแรกลงไปได้ “แต่!” ณ ตอนนี้ภาคล่าสุดของเกมซีรีส์ดังกล่าวที่ถูกพอร์ตมากจาก PS VITA ที่มีชื่อว่า “Digimon World: Next Order” อาจจะเป็นผู้ที่ “ใกล้เคียงที่สุด” ที่จะมีศักยภาพในการรับไม้ต่อจากเกมภาคแรกก็เป็นได้ แต่อะไรที่ทำให้เกมภาคนี้มีคุณสมบัติขนาดนั้น เชิญลองอ่านได้ในรีวิวนี้ได้เลยครับผม 🙂


อืม… เนื้อเรื่องของเกมในภาคนี้ ก็ยังคงไม่มีความหวือหวาอะไรเช่นเคยครับ แต่อย่างว่าแหล่ะนะ ส่วนหนึ่งคือแฟรนไชส์ดิจิมอนมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชนล่ะมั้ง ส่วนของเนื้อเรื่องจึงไม่ต้องการความซับซ้อนเพื่อเข้าถึงอะไรมาก เน้นแก่นเดียวแก่นเดิมของแฟรนไชส์ก็พอ (มิตรภาพ, ความมุ่งมานะ สไตล์โชเน็นนั่นแหล่ะครับ) แต่… ถึงจะว่างั้นก็เถอะนะ ตัวละครหลายตัวในเกมก็ดราฟท์ออกมาซะสะบึ้มเชียว (แซวเล่นๆ นะ 555) อ่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ

ในภาคนี้ผู้เล่นจะสามารถเลือกตัวละครเอกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ครับ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกตัวไหนก็จะไม่มีผลกับเนื้อเรื่องภายในเกม หากแต่ความชอบส่วนตัวของผู้เล่นว่าอยากเลือกบังคับตัวละครเพศใดเท่านั้น ซึ่งเมื่อเลือกตัวละครได้แล้ว ตัวละครเอกของเราก็จะหลุดเข้าไปในโลกที่มีแต่ดิจิมอน โดยในขณะเดียวกันนั้นเองโลกใบดังกล่าวก็ได้ถูกรุกรานด้วยไวรัสบางอย่าง ตัวเอกของเราจึงต้องตามดิจิมอนที่ปลีกตัวไปตามแต่ละสถานที่ให้กลับมายังหมู่บ้านของ jijimon และกอบกู้โลกของดิจิมอนใบนี้ให้กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม พร้อมกับคู่หูดิจิมอนของเราที่ในภาคนี้สามารถเลี้ยงดูปูเสื่อพร้อมกันได้ถึง “2 ตัว” 

ก็ต้องขอบอกอย่างตรงๆ ว่าเนื้อเรื่องของเกมมันไม่ดึงดูดอะไรเลยให้ผู้เขียนอยากจะตามสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็เหมือนโดนบังคับให้ไปต่ออยู่ดี (เอ้า! ไม่ทำแล้วมันจะจบเกมไหมล่ะ…) เพราะสิ่งต่างๆ ในเกมจะถูกปลดล็อคให้ผู้เล่นได้เข้าถึงเป็นบทๆ (Chapter) ไปครับ โดยภายในเกมจะมีทั้งสิ้น 3 บท ซึ่งแต่ละบทก็ใช้เวลาประมาณ 10 -15 ชม. แล้วแต่ความเอื้อระเหยของผู้เล่น (5555) เพราะฉะนั้นในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นมันไม่ใช่สาระสำคัญของเกมซีรีส์นี้อยู่แล้วล่ะ แต่ “รูปแบบการเล่น” ต่างหากล่ะที่สำคัญ!


ทำไม Digimon World ภาคแรกถึงเป็นตำนาน
สิ่งที่ทำให้ Digimon World ภาคแรกถูกยกให้เป็นภาคที่ดีอันดับต้นๆ ของซีรีส์ ก็คือรูปแบบการเล่นนี่แหล่ะครับ ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่โดดเด่นของเกมภาคแรกคือความแปลกใหม่ของตัวเกมในยุคนั้นใช่ไหมเอ่ย จริงๆ มันก็ถูกส่วนหนึ่งนะ แต่ผู้เขียนเองมีแนวความคิดอีกรูปแบบหนึ่งครับ คือจุดที่เด่นและพีคที่สุดของ Digimon World ภาคแรกนั้น มันคือการยกระดับการเล่นแบบพอดีคำน่ารักๆ กระทัดรัดบนเครื่องเล่นดิจิไวซ์ (digivice) ที่เป็นแค่เม็ดภาพพิกเซลไป “ดัดแปลงและพัฒนาเพิ่มเติม”  ให้ออกมาเป็นตัวละครสามมิติที่ในยุคนั้นถือว่าสวยมาก นอกนั้นยังไม่พอ ผู้เล่นยังได้บังคับตัวละครเอกของเกมที่เป็นตัวแทนของผู้และดิจิมอนคู่ใจได้ออกเดินทางไปยังแต่ละสถานที่ภายในเกมที่มีการออกแบบให้เข้ากับธีมดิจิตอลอีก ใครจะไปคิดว่าแผงวงจรของคอมจะกลายเป็นต้นไม้และเสาไฟฟ้าได้ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเหมือนเติมเต็มจินตนาการของผู้เล่นนั่นเองครับ ไหนจะระบบเลี้ยงดูดิจิมอนของเราที่มันยังคล้ายกับของเดิมบนเครื่องดิจิไวซ์ แต่คราวนี้เราจะได้เห็นกิริยาของดิจิมอนตามแต่ละตัวที่หลากหลายเลยครับ ไล่ตั้งแต่ท่ากิน ท่านอน ท่าต่อสู้ ยันท่าอึ ซึ่งไอสิ่งเหล่านี้มันยิ่งทำให้ผู้เขียนอยากที่จะได้เลี้ยงดิจิมอนทุกตัวในเกมที่สามารถเลี้ยงได้เพื่อที่จะได้ตามดูแอนิเมชั่นเหล่านั้นครับ และปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ภาคแรกนั้นขึ้นหิ้ง คือรางวัลในการทำภารกิจของเกมที่คุ้มค่าครับ โดยใน Digimon World ภาคแรกจะเป็นการออกผจญภัยเพื่อตามเหล่าดิจิมอนทั้งหลายที่เคยอยู่ในหมู่บ้านของ jijimon กลับมา โดยในทุกครั้งที่การตามพวกเขากลับมาได้ พวกเขาก็จะกลับไปยังหมู่บ้านและมอบความสะดวกหรือเป็นตัวช่วยในด้านต่างๆ ให้กับผู้เล่นครับ เช่นหากเราตาม agumon กลับมาได้เขาก็จะให้เรารับฝากสิ่งไอเทมต่างๆ, หากตาม angemon มาได้เขาก็จะไปเปิดคลีนิกในหมู่บ้านให้ผู้เล่นรักษาดิจิมอนที่ป่วยได้ ไม่ต้องไปรตามหาไอเทมรักษา (ที่หายากและแสนจะแพงในต้นเกม) ฯลฯ เป็นต้นครับ ซึ่งเมื่อรวมกันกับทุกปัจจัยแล้วนั้นก็ถือได้ว่า Digimon World ภาคแรกถึงได้สนุกและโดนใจเกมเมอร์หลายๆ คนนั่นเอง

หากไม่นับซีรีส์อื่นๆ ของแฟรนไชส์เกมดิจิมอน (Rumble Arena, Digital Card Game) ก็ถือได้ว่าในภาคหลังๆ ของซีรีส์ Digimon World นั้นมีการปรับเปลี่ยนแนวเกมของตัวเองไปหลายทิศทางมาก มีตั้งแต่ RPG แบบจ๋าๆ (Digimon World 2,3,Data Squad, และภาคอื่นอีกล่ะมั้ง ผู้เขียนเล่นแค่เท่านี้) ไปจนถึงแนว Action – Adventure แบบเพียวๆ ในภาคที่ 4 จะมีก็เพียงแต่ Digimon World: Digitize ที่มีระบบการเล่นแบบภาคแรก แต่กระนั้นก็ไปไม่สุดสักทาง แต่สำหรับ Digimon World: Next Order นั้นคือการกลับไปหารูปแบบการเล่นที่แฟนๆ คุ้นชินกันอย่างดีแถมยังเพิ่มระบบใหม่ๆ เข้ามาทำให้ผู้เล่นติดภาคนี้เป็นตังเมได้เลยทีเดียว! (เช่นผู้เขียนเป็นต้น 555)

Digimon World: Next Order ได้นำรูปแบบ Simulator ที่เป็นรากเหง้าของตัวเองแบบในภาคแรกมาใส่เข้าไว้ในภาคนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะครับ หากแต่เป็นเพียงการเติมเต็มค่าสถานะการเลี้ยงดูดิจิมอนต่างๆ เช่น หากหิวก็ให้อาหาร หากปวดอึก็พาไปปลดทุกข์ หากเจ็บไข้ได้ป่วยก็พาไปหาหมอ ฯลฯ เป็นต้น ส่วนที่เหลือก็จะใช้รูปแบบของเกมแนว RPG เป็นฐานรองการเล่นของเกมไว้ทั้งหมดครับ และไอส่วนหลังนี่แหล่ะมันได้ทำให้ทั้งเกม “กระชับขึ้น” ดังนี้

  • ในภาคนี้ผู้เล่นจะไม่ต้องงมหรือสุ่มกับการได้ร่างขั้นต่อไปของดิจิมอนอีกแล้ว เพราะทุกๆ ตัว/ร่างพัฒนาจะมีค่าสถานะที่ต้องการอยู่ ยกตัวอย่างเช่นหาก Agumon ต้องการจะเปลี่ยนเป็น Greymon ก็จะต้องมีค่าสถานะ Str 1000, Agi 800, ระดับความสัมพันธ์ 80 เป็นต้น โดยค่าสถานะต่างๆ ที่ดิจิมอนต้องการนั้น ผู้เล่นจะต้องปลดล็อคเพื่อให้เห็นค่าสถานะต้องการด้วยการเลือกชุดคำสั่งสอนหรือปลอบโยนดิจิมอนของเราที่จะโผล่มาแบบสุ่มเมื่อผู้เล่นพาดิจิมอนออกไปต่อสู้, ฝึกฝนเพิ่มค่าสถานะเป็นระยะเวลาหนึ่ง, เมื่อดิจิมอนฝืนคำสั่งของผู้เล่น ฯลฯ
  • การต่อสู้ภายในภาคนี้จะเป็นระบบ AI เหมือนภาคแรก (ไม่ต้องสั่งมาก เดี๋ยวเข้าไปตีเอง!) แต่ไม่มีคำสั่งยืดหยุ่นและหลากหลายมากนัก (โจมตีด้วยท่าระยะไกลเพียงอย่างเดียว, โจมตีด้วยธาตุที่ศัตรูแพ้ ฯลฯ) จะรวบตึงให้เหลือเพียง ใช้ stamina อย่างประหยัด, ใช้ให้หมด, ป้องกันการโจมตีอย่างเดียว และก็ในขณะที่ดิจิมอนของเราโจมตีด้วย AI อยู่เราสามารถเลือกท่าที่ต้องการจะให้ใช้ได้ แต่เมื่อกดใช้ปั้บ สกิลจะออกปุ้บ… ออกในที่นี้คือออกอยู่ตรงที่ๆ ดิจิมอนเราได้รับคำสั่งนั่นแหล่ะครับ ถ้าศัตรูไม่อยู่บริเวณนั้นก็จะไม่โดนความเสียหาย ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างรู้สึกว่าชุดคำสั่งนี้มันขัดๆ กับระบบ AI ดิจิมอนของเราอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
  • สามารถร่วมร่างและใช้ท่าไม้ตายได้ด้วยนะในภาคนี้ แต่ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรนัก แต่ถ้าใครชอบดู Cutscene ตอนดิจิมอนใช้ท่าไม้ตายหรือรวมร่าง ในส่วนนี้ถือเป็นกำไรของผู้เล่นเลยทีเดียว เพราะมันเท่ใช้ได้เลยล่ะ
  • การทำภารกิจต่างๆ ในภาคนี้จะมีข้อความ (ในเกมเรียกว่า digimail) เขียนบอกผู้เล่นว่าภารกิจดังกล่าวต้องการให้ทำอะไร ต่างจากภาคแรกที่หากลืมเมื่อใด นู้นครับ ขี่ birdramon แล้วกลับไปถามเจ้าของภารกิจลูกเดียว…
  • สิ่งอำนวยความสะดวกในภาคนี้ที่สามารถอัพเกรดให้สามารถช่วยเหลือผู้เล่นได้เยอะกว่าเดิมมากๆ โดยจะมาในรูปแบบของการอัพเกรดฐานทัพ ซึ่งผู้เล่นจะต้องออกไปหาทรัพยากรเพื่อนำกลับมาอัพเกรดการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ที่สนใจหรืออยากจะมุ่งเน้น (เช่น อาจจะอยากเน้นฝึกดิจิมอนก็อัพเกรด Training Hall เป็นต้น) ซึ่งจะแตกต่างจากภาคแรกที่สิ่งอำนวยความสะดวกของผู้เล่นจะมีเพียงจำกัดและจะไม่ดูเป็นปัจจัยหลักเหมือนในภาคนี้ แต่กระนั้นในภาคแรกหลายภารกิจผู้เล่นก็สามารถไปทำได้เลย (ถ้าไหวนะ) แต่ในขณะที่ภาคนี้จะทำภารกิจได้เป็นบทๆ (Chapter) ไป 
  • ภาคนี้มีระบบต่อสู้กันบนออนไลน์ โดยหากชนะก็จะสามารถนำแต้มมาแลกเป็นไอเทมต่างๆ ช่วยในการเล่นเนื้อเรื่องหลักได้ แต่การต่อสู่บนออนไลน์นั้น จะไม่ได้เห็นดิจิมอนในฉบับ 3 มิติหรอกนะครับ หากแต่ดิจิมอนของเราจะถูกย่อส่วนและกลายเป็นพิกเซลวัดกันที่ค่าสถานะที่ผู้เล่นปั้มมาล้วนๆ ก็ไม่รู้ว่าในส่วนนี้ Bandai Namco แกจงใจจะให้ย้อนวัยเยาว์หรือ “ขี้เกียจ” กันแน่ แต่ก็เอาเถอะครับ มันไม่ได้ส่งผลกระทบกับการเล่นหลัก

จะเห็นได้ว่าระบบและรูปการเล่นของเกมในภาคนี้นั้นจะเป็นการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเกมยุคใหม่ๆ ที่ต้องมีระบบแบ่งเบาภาระของผู้เล่น แต่กระนั้นก็ยังเอาใจผู้เล่นรุ่นเก่าที่รักในเกมภาคแรก ด้วยการนำรูปแบบ “Simulator” กลับมา ที่แม้จะไม่ได้เป็นองค์ประกอบหลักเหมือนในภาคแรก แต่ผู้เขียนว่ามันก็ยังพอชื่นใจอยู่บ้างนะ เพราะแม้ทั้งเกมจะถูกทำให้กระชับและง่ายขึ้น แต่เอกลักษณ์ในภาคแรกๆ หลายอย่างก็ยังคงอยู่ ภารกิจยังคงมีรางวัลที่คุ้มค่าแก่การทำ,ดิจิมอนของเรายังคงกลาย Numemon ได้อยู่หากเลี้ยงดูไม่ดี, ฯลฯ

กระนั้นข้อดีของเกมหลายๆ จุดก็สามารถกลายเป็นข้อเสียได้เช่นเดียวกัน ตัวเกมนั้น “บังคับ” ให้ผู้เล่นต้องฟาร์มครับ นั่นหมายถึงผู้เล่นไม่สามารถเคลียร์เกมได้ภายในดิจิมอนรุ่นแรกที่ผู้เล่นได้รับเพราะช่วงชีวิตของดิจิมอนนั้นมีจำกัด (ประมาณ 20 – 25 ขวบก็น่าจะปลิวแล้วล่ะ) ทำให้ผู้เล่นอาจจะต้องเห็นดิจิมอนที่เราเลี้ยงมา ตายแล้วตายเล่า ซึ่งกว่าจะตะลุยไปถึงจบเกมได้ก็น่าจะเป็นดิจิมอนรุ่นที่ 8 โดยประมาณ เพราะฉะนั้นเกมเมอร์สายพุ่งดิ่งทั้งหลายอาจไม่เหมาะกับเกมนี้สักเท่าไหร่ครับ หนำซ้ำเกมยังไม่มีความท้าทายใดๆ หากดิจิมอนของผู้เล่นไม่สามารถสู้ดิจิมอนศัตรูในแมพนี้ได้ ก็แค่กลับไปปั้มค่าสถานะแล้วกลับไปสู้ใหม่ หรือจะตุนไอเทมรักษาพลังชีวิตไว้เยอะๆ แล้วปาฮีลดิจิมอนเราเข้าไปจนกว่าจะชนะ… แต่ก็อย่างว่าแหล่ะนะครับเกมที่เป็น/มีส่วนผสมของ RPG (โดยเฉพาะของฝั่งญี่ปุ่น) ความสนุกคือการปั้มเลเวล/ไอเทม/ค่าสถานะให้เยอะๆ แล้วไปอัดบอสตายในดาบเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว


ทุกครั้งที่ผู้เขียนเขียนรีวิวเกมมา ก็มักจะออกตัวก่อนเสมอว่า “ไม่สันทัด” ด้านนี้ แต่โชคดีที่ Digimon World: Next Order เป็นเกมที่พอร์ตมาจากเครื่อง PS VITA ทำให้ผู้เขียนยังพอจะนำเรื่องกราฟิกมาเปรียบเทียบได้ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็ต้องบอกเลยครับว่า “ดีขึ้นเยอะ” เพราะจะเห็นได้ชัดว่า Texture (รายละเอียดด้านพื้นผิว) ของเกมถูกพัฒนาขึ้นมาก และในบางพื้นที่ก็แทบจะเปลี่ยนรายละเอียดของสิ่งของประกอบฉากเกือบจะทั้งหมด ทำให้เห็นได้ว่าการพอร์ตครั้งนี้ไม่ได้สุกเอาเผากินนะวัยรุ่น

Play video

ลองดูตัวอย่างการเปรียบเทียบภาพในวีดีโอคลิปนี้ได้เลยครับผม

แต่กระนั้นสิ่งที่ยังคงมองเห็นได้ตาเปล่าแล้วรู้สึกว่ามันล้าสมัยก็ยังคงเป็น Texture ที่ถึงแม้จะปรับปรุงและพัฒนามาจากฉบับ PS VITA แค่ไหน กราฟิกในส่วนนี้ก็ดูจะล้าสมัยกว่าที่ในตอนนี้ควรจะเป็น แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องงานภาพว่าจะต้องสวยตามมาตรฐานเกมร่วมสมัยในยุคนี้ ก็ถือว่ากราฟิกของเกมนี้โอเคอยู่นะ ส่วนทางด้านความลื่นไหล (Seamless) สำหรับเครื่อง PS4 นั้น ถ้าไม่ใช่เกมที่มาจากค่าย Exclusive ของ PS4 โดยตรงอย่าง Naughty Dog, Sony Interactive Entertainment, SIE Japan Studio (ค่ายนี้ขอยกเว้น The Last Guardian ไว้เกมหนึ่งละกันนะ 555) หรือโปรเจกต์ใหญ่ๆ จริงของค่ายพัฒนาเกมชั้นนำอื่นๆ เช่น Quantic Dream ฯลฯ ปัญหาเฟรมเรตตกจึงเป็นเรื่อง “ธรรมดา” ครับ จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ซึ่ง Digimon World: Next Order นั้นต้องบอกเลยว่า….น้อยครับ อาจเป็นเพราะ Object ในแต่ละพื้นที่ของเกมนี้ไม่ได้มีโค๊ดอะไรที่ซับซ้อนหรือทับซ้อนกันล่ะมั้ง ปัญหาดังกล่าวจึงเกิดแค่ในช่วงแรกๆ ที่เข้าพื้นที่ต่างๆ ของเกมหลังจากที่เพิ่งโหลดเข้าเล่น เพราะฉะนั้นด้านประสิทธิภาพของเกมนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่ย่ำแย่ครับ


สุดท้ายนี้ Digimon World: Next Order อาจจะไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดในซีรีส์เกมดังกล่าว แต่กระนั้นก็ยังคงพาให้ผู้เล่นหน้าเก่าทั้งหลายที่รักและคิดถึงในเกมภาคแรกได้พอกลับไปย้อนวันวานได้ แต่หากใครที่คาดหวังความเป็นต้นตำรับแบบในภาคแรก 100% ก็อาจจะผิดหวังพอสมควร เพราะความท้าทายต่างๆ ที่เคยมีในภาคแรกได้หายไปและทดแทนด้วยความกระชับ/รวดเร็วในการเล่น พร้อมด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกแก่ผู้เล่นอีกมากมายที่สามารถตอบโจทย์เกมเมอร์ยุคใหม่แทน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าหากเกมเมอร์ยุคเก่าลองเปิดใจและสัมผัสภาคนี้ดู ไม่แน่บางทีความผูกพันที่เคยมีไว้ในภาคแรกอาจจะหวนคืนมาก็เป็นได้ ดิจิมอนยังพัฒนาขั้นต่อไปได้เลย แล้วทำไมเกมเมอร์อย่างเราๆ จะปรับและเปลี่ยนบ้างไม่ได้ล่ะ ฮ่าๆ