เมื่อพูดถึงซีรีส์เกมในตำนานที่ยังอยู่ในวงการเกมมาเกินกว่า 20 ปี ที่นักเล่นเกมรู้จักกันเป็นอย่างดีเราต้องคิดถึงซีรีส์ ‘Resident Evil’ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตลอดเวลา 20 กว่าปีของซีรีส์นี้ได้ลองทำมาเกือบทุกอย่างทุกแนวในวงการเกมแล้ว จนมันกลายเป็นการพาซีรีส์ตัวเองดิ่งลงเหวจากที่เคยยืนหนึ่ง (อันดับต้น ๆ ในวงการเกม) ก่อนที่ ‘Resident Evil’ จะค่อย ๆ ปีนจากปากเหวมายืนบนจุดสูงสุดอีกครั้ง และเมื่อตัวเกมก็อายุอานามขนาดนี้แล้วย่อมต้องมีทั้งแฟนเก่าที่ติดตามและเล่นเกมในซีรีส์นี้มาอย่างยาวนาน กับแฟนใหม่ที่เป็นเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่เพิ่งรู้จักเกมซีรีส์ ‘Resident Evil’ จนอยากลองหาเกมภาคเก่า ๆ มาเล่น แต่พอได้จับได้เล่นหลายคนก็ถึงกับเบือนหน้าหนีที่ไม่ใช่เพราะกราฟิกไม่สวย (มันเป็นไปตามยุคสมัย) แต่เป็นเพราะตัวระบบเกมที่เล่นไม่สนุกไม่โอเค ที่แม้แต่คนเล่นเกมยุคนั้นเองยังบอกว่าไม่สนุก เรามาดูกันดีกว่าว่ามีระบบการเล่นอะไรที่ทำให้คนเล่นยุคใหม่รู้สึกไม่โอเคกับ ‘Resident Evil’ จนบ่นว่าเกมซีรีส์นี้ในอดีตบางเกมไม่สนุกเลย ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมกระสุนกับปืนให้พร้อมแล้วก็มาย้อนอดีตไปดูพร้อมกันเลย

ปริศนาตั้งแต่โคตรยากไปจนถึงอะไรกันครับเนี้ย

Resident Evil

เริ่มต้นเรื่องแรกที่ทำให้แฟน ๆ เกม ‘Resident Evil’ ไม่อยากเล่นและเข้าไม่ถึงซีรีส์นี้ในภาคเก่า ๆ นั่นคือระบบการแก้ปริศนา ที่ปริศนาบางอันก็คิดชนิดที่ว่าคิดจนหัวแทบระเบิดเพื่อหาทางไปต่อ หรือบางทีปริศนาเหล่านี้มันก็ขัดกับเนื้อเรื่องที่ไม่รู้จะมีมาทำไม แถมไอ้บทจะง่ายก็ง่ายจนคนเล่นงงว่าจะทำมาเพื่ออะไร อย่างการหมุนสัญลักษณ์การส่องไฟตามจุดที่ง่ายจนไม่รู้ว่าจะใส่มาเพื่อ แต่ไอ้บทจะยากก็ยากขนาดต้องมาตีความหาความหมาย ลองใส่แล้วใส่อีกจนเด็ก ๆ ที่เห็นหรือเล่นมาถึงจุดนี้ก็คงจะเบือนหน้านี้ อย่างปริศนาการกดปุ่มรูปภาพใน ‘Resident Evil 1’ การเรียงสัญลักษณ์รูปภาพคนถูกประหารใน ‘Resident Evil 4’ ไปจนถึงการแก้ปริศนาประตูน้ำใน ‘Resident Evil 3’ ฉบับดั่งเดิม ที่แต่ละอันชวนหัวระเบิดแบบสุด ๆ เพราะเหตุนี้ใน ‘Resident Evil’ ฉบับใหม่ ๆ จึงตัดระบบพวกนี้ออกไป เหลือเพียงแค่เอาอันนั้นมาใส่อันนี้เพื่อเปิดทางกับปริศนาที่เข้ากับเนื้อเรื่องมากขึ้น ที่คนเล่นยุคนี้รับได้แต่มันก็ดันไปมีปัญหากับพวกรุ่นเก่า ที่บ่นว่าปริศนาน้อยไปไม่เหมือนในอดีตเสียอย่างนั้น เรียกว่าเอาใจยากจนไม่รู้จะไปทางไหนเลยทีเดียว

Resident Evil 4
Resident Evil 3

AI สุดน่ารักและกินกระสุน

Resident Evil 5

อีกหนึ่งระบบที่ต้องเรียกว่ามาก่อนกาลหรือความไม่ใส่ใจของทีมพัฒนาก็ไม่ทราบ เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งในวงการเกมจะมีกระแสเกมแนวคู่หูออกมามากมาย ที่เมื่อเป็นอย่างนั้นทางเกม ‘Resident Evil’ ของเราก็จัดเกมที่มีคู่หูออกมาหลายภาค ตั้งแต่ ‘Resident Evil 0’ จนถึง ‘Resident Evil 5-6’ และอีกหลายภาคที่พอทำออกมาแล้วมันกลับขาด ๆ เกิน ๆ เพราะเมื่อเรามีตัวละครคู่หูกระสุนหรือยาฟื้นพลังก็ต้องแบ่งกัน จนกลายเป็นว่ากระสุนที่เกมให้ไม่พอใช้ เพราะ ‘AI’ ของเรามันยิงดะยิงไม่ยั้งไม่สนใจกระสุนว่าจะมีพอไหม รวมถึงความฉลาดที่วิ่งไปตายข้างหน้าที่ถ้าตัวละครตายเราก็จบเกมด้วย นี่ยังไม่นับความเป็นธรรมชาติของเกมที่ ‘AI’ เราจะพูดประโยคเดิม ๆ หรือแค่วิ่งตามยิง ๆ เท่านั้น ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนเล่นที่เหมือนมีหุ่นยนต์เดินตามมากกว่าเป็นเพื่อนร่วมทาง ซึ่งหลายเกมในยุคนั้นก็มีระบบคู่หูที่ดีกว่า ‘Resident Evil’ ที่หลัง ๆ ‘Resident Evil’ ก็ทำดีขึ้นในภาคใหม่ ๆ แต่ภาคเก่า ๆ นั้นเอากลับมาเล่นกี่ครั้งก็หงุดหงิดบอกเลย

Resident Evil 0
Resident Evil 6
Resident Evil 4

เปลี่ยนตัวละครไปมา Resident Evil 0 และ Resident Evil Revelations 2

Resident Evil 0

คราวนี้ขอเจาะจงไปที่เฉพาะภาคกันบ้าง ซึ่งต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วกับระบบ ‘AI’ ที่แย่เกินทนเพราะมันกินกระสุนเราไปด้วย แถมตัวละคร ‘AI’ ก็ทำอะไรโง่ ๆ จนเกมจบ เมื่อเป็นอย่างนั้นทางทีมพัฒนาเลยเปลี่ยนมาให้เราควบคุมตัวละคร 2 คนไปเลยเพื่อตัดปัญหาใน ‘Resident Evil 0’ ที่เราจะได้ควบคุม รีเบ็คก้า แชมเบอร์ (Rebecca Chambers) กับ บิลลี่ โคเอน (Billy Coen) ไปพร้อม ๆ กันที่เมื่อเราไม่ได้ควบคุมตัวละครอีกคนเราสามารถสั่งให้เขาแค่วิ่งตามยิงช่วยสู้หรือไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ซึ่งระบบนี้มันเหมือนจะดีแต่พอเล่นจริง ๆ มันโคตรปวดหัว เพราะการมีเพื่อนร่วมเดินทางถ้าให้พี่แกสู้ ‘AI’ ก็จะยิง ๆ จนกระสุนหมด ถ้าไม่สู้ก็ยืนนิ่ง ๆ ให้ซอมบี้กัดที่แบบปวดหัวกว่าเดิมอีกครับพี่น้อง เมื่อเป็นอย่างนั้น ‘Capcom’ ก็ไม่ยอมแพ้ด่ามาก็สู้กลับด้วยการสร้างตัวละคร ‘AI’ ที่ฉลาดขึ้นไม่ต้องใช้ปืนไปเลยหนึ่งคน และสามารถสลับตัวไปมาได้ใน ‘Resident Evil Revelations 2’ แบบนี้พอใจรึยังวิ ที่ถ้าถามวิก็จะบอกว่าก็พอเล่นได้แต่ดูเกมอื่น ๆ เขาทำดีกว่านี้แล้วนะลุง และด้วยระบบที่พัฒนาช้ากว่าชาวบ้านแบบนี้ เลยทำให้แฟนใหม่เข้าไม่ถึงภาคเก่าของ ‘Resident Evil’

Resident Evil 0 
Resident Evil Revelations 2

Quick time event เยอะไปไหน Resident Evil 6

Resident Evil 6

อีกหนึ่งระบบที่ทำเอาคนเล่น ‘Resident Evil’ รุ่นใหม่บ่น โดยเฉพาะคนเล่น ‘Resident Evil 6’ นั่นคือระบบ ‘Quick time event’ ที่เป็นการพัฒนาต่อยอด (ให้แย่ลง) จาก ‘Resident Evil 4’ ที่มีระบบ ‘Quick time event’ ที่กดสนุกลุ้นแบบสุด ๆ จนบางทีก็เล่นเอาหัวร้อนไปเลย แถมตัวเกมก็ใส่ ‘Quick time event’ มาได้ไม่มากไม่น้อย (แม้บางอันใส่มาทำไมก็ตาม) แต่ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียดเมื่อเทียบกับ ‘Resident Evil 6’ ที่ใส่ ‘Quick time event’ แบบเยอะเกินปุยมุ้ย ไม่ว่าจะเป็นการหลบระเบิด เปิดประตู สู้ซอมบี้ ไต่เชือก ขับรถ ควบคุมเครื่องบิน คลานบนพื้น หลบรถไฟ และอีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องมีแต่ทาง ‘Resident Evil 6’ ก็ใส่มาเยอะจนน่ารำคาญ ที่ในภาคหลัง ๆ ทาง ‘Capcom’ แทบจะตัดระบบนี้ออกไปเลย ที่อย่าว่าแต่แฟนรุ่นใหม่ไม่อยากไปหามาเล่น แฟนรุ่นเก่าหลาย ๆ คนยังบ่นจนถึงทุกวันนี้

Resident Evil 6

ระบบออนไลน์ที่เล่นไม่สนุกซ้ำซาก Resident Evil Resistance และ Resident Evil Re Verse

Resident Evil Resistance

จะเรียกว่าข้อเสียหรือไม่ยอมคิดพัฒนาตัวเองของ ‘Capcom’ ดี เพราะถ้าเรามองย้อนกลับไปในเกมต่าง ๆ ของ ‘Resident Evil’ ทาง ‘Capcom’ ก็ลองผิดลองถูกมามากมาย กับการนำเกม ‘Resident Evil’ มาเป็นเกมแนวต่าง ๆ อย่างเกมแถมที่ไม่มีคนเล่นอย่างในซีรีส์ ‘Resident Evil Resistance’ กับ ‘Resident Evil Re Verse’ ที่ถ้าทำแบบดี ๆ จริง ๆ จัง ๆ ใส่ใจกว่านี้เชื่อว่าทั้งสองเกมนี้มันต้องสนุกน่าเล่นอย่างแน่นอน ดูอย่าง ‘Resident Evil Outbreak’ ที่ทำออกมาได้ดีน่าสนใจ กับการเอาชีวิตรอดของผู้คนในเมืองแร็กคูนในฉากขนาดใหญ่ที่เราผู้เล่นต้องช่วยกันแก้ปริศนา ที่ในสมัยนั้นมันยังเร็วไปที่จะเล่นแบบออนไลน์ แต่ยุคนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วแต่ทางเฮียแคบหมูกลับไม่ทำแต่ไปทำ ‘Resistance’ กับ ‘Re Verse’ เพื่อให้แฟนเก่าด่าและแฟนใหม่ที่มาเห็นระบบการเล่นซ้ำ ๆ กับฉากเล็ก ๆ ที่แค่ไล่ยิงกับการแก้ปริศนาเดิม ๆ แฟนใหม่เลยไม่สนใจจนหามาเล่น รวมถึงแฟนเก่าที่เล่นครั้งเดียวก็เลิกเล่นเพราะมันไม่สนุก

Resident Evil Resistance 
Resident Evil Re Verse

ความยากที่เกินพอดีไม่ก็ง่ายไป

Resident Evil

ถ้าตัดเรื่องของกราฟิกทิ้งไปเพราะมันเป็นเรื่องของยุคสมัยที่ต่างกัน ความยากก็คือหนึ่งในเหตุผลที่แฟนใหม่หลายคนเข้าไม่ถึงซีรีส์ ‘Resident Evil’ ที่ถ้าคุณคือมือใหม่ที่เพิ่งเคยจับซีรีส์ ‘Resident Evil’ ในภาคแรก ๆ สิ่งที่คุณจะได้เจอคือความยากชนิดที่เรียกว่าท้อจนไม่อยากเล่น เพราะจำนวนกระสุนยารักษาจำนวนซอมบี้มันไม่เพียงพอสำหรับการเล่นจบ จนมันเกิดเป็นความเครียดที่ต่างกับเกมยากแนวอื่นอย่าง ‘Dark Souls’ ที่แม้มันจะยากแต่เราก็สู้ได้ แต่ของ ‘Resident Evil’ ถ้าคุณกระสุนหมดเหลือแค่มีดคุณไม่มีทางรอดจนจบเกมแน่ ๆ ยิ่งเป็นมือใหม่หรือคนเล่นไม่เก่ง ที่พอเป็นอย่างนั้นหลายคนเลยเลิกเล่นและบ่นว่า “ไม่เล่นมันแล้ว ยาก ‘CPU’ หายแบบนี้ใครจะไปเล่นได้” เมื่อเป็นอย่างนั้นทางทีมพัฒนาเลยปรับให้เกมง่ายขึ้นในภาค 4 ถึง 6 ที่มันก็ง่ายไปนะครับพี่ แบบกระสุนที่มีในเกมมันเยอะขนาดยิงได้ทั้งกองทัพ รวมถึงยาฟื้นพลังที่มีให้เยอะจนต้องไม่เก็บก็มีเหลือใช้ ที่หลัง ๆ ความยากในเกมซีรีส์นี้ก็ดีขึ้น ที่เป็นแบบแกว่ง ๆ เดี๋ยวยากเดี๋ยวง่ายตามฉากต่าง ๆ สลับไปที่แฟน ๆ รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ชอบ แต่ภาคเก่า ๆ คือยากเสมอต้นจนจบเกม ไม่เชื่อลองไปถามแฟน ๆ รุ่นใหม่ดูว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่เล่นเกมซีรีส์นี้ หนึ่งในนั้นมีความยากรวมอยู่ด้วยแน่นอน

Resident Evil 1
Resident Evil 2 
Resident Evil 0

เป็นเกมแนวยิงที่ไม่สนุก Resident Evil Survivor กับ Resident Evil The Darkside Chronicles

Resident Evil The Darkside Chronicles

สิ่งหนึ่งที่ทาง ‘Capcom’ พยายามทำมาตลอดมาอย่างยาวนาน นั่นคือการขายเกม ‘Resident Evil’ ให้นักเล่นเกมหน้าใหม่เล่น หรือสร้างฐานแฟนเกมรุ่นใหม่ให้มาเล่นเกมซีรีส์นี้ในแนวเกมต่าง ๆ ขณะที่แฟนเก่าก็เหมือนของตาย ที่แม้ทาง ‘Capcom’ จะตบจูบเราเหมือนจำเลยรักทำเกม ‘Resident Evil’ ออกมาแย่ขนาดไหนเราก็ยังกอดขาตามเล่นมันทุกภาค เมื่อเป็นอย่างนั้นทางแคบหมูจึงมองหาแฟนใหม่ให้มาสนใจ ด้วยการทำเกมลงบนเครื่องอื่น ๆ เปลี่ยนเกม ‘Resident Evil’ ให้เป็นระบบต่าง ๆ อย่างแนวยิงที่ก็มีซีรีส์ ‘Resident Evil Survivor’ กับ ‘Resident Evil The Darkside Chronicles’ ออกมา เพื่อเอาใจแฟนใหม่ให้หันมาเล่นเหมือนการล่อซื้อ แต่ก็ไม่ลืมแฟนเก่ากับการใส่เนื้อเรื่องเสริมใหม่ ๆ ลงไป ที่ก็ดูดีน่าสนใจในแง่เนื้อเรื่องแต่มันเล่นไม่สนุกในด้านระบบเกม จนสุดท้ายโครงการนี้ก็ไม่ได้ไปต่อเพราะมันเรียกได้แค่แฟนเก่าที่ซื้อมาแล้วบ่น (แต่ก็ซื้อ) ส่วนแฟนใหม่ก็ได้แต่มองแฟนเก่าของ ‘Resident Evil’ บ่น แล้วบอกว่า พวกลุง ๆ ป้า ๆ นี่ง้องแง้งกันจริง ๆ

Resident Evil The Darkside Chronicles
Resident Evil Survivor

เอามาลงเครื่องเกมพกพาเพื่ออะไร Resident Evil Gaiden กับ Resident Evil Deadly Silence

Resident Evil Gaiden 
Resident Evil Deadly Silence

ปิดท้ายกับความพยายามให้นักเล่นเกมรุ่นใหม่ (ในตอนนั้น) สนใจ ‘Resident Evil’ ที่ในสมัยนั้นเกมพกพาของปู่นินอย่าง ‘Nintendo DS’ กับ ‘Game Boy’ โด่งดัง ทางเฮียแคบหมูก็ลูบปากเบา ๆ และสั่งทีมพัฒนาว่าไปทำเกมเพื่อลงสองเครื่องนี้ เพื่อว่าจะได้ฐานแฟนเกมรุ่นใหม่จากสองเครื่องนี้ ที่เมื่อได้รับงานมาแบบนี้พนักงานของบริษัทก็ประชุมกันหัวระเบิดว่าจะยัดเกม ‘Resident Evil’ ลงไปได้อย่างไร จนสุดท้ายก็ออกมาเป็น ‘Resident Evil Gaiden’ ลงบนเครื่อง ‘Game Boy Color’ กับ Resident Evil Deadly Silence’ ที่ลง ‘Nintendo DS’ นี่ยังไม่นับเกมที่ลงบนโทรศัพท์มือถืออีกนะอย่าง ‘Resident Evil 4 Mobile Edition’ และอีกมากมายเพื่อเรียกฐานแฟน ๆ เกมรุ่นใหม่ แต่สุดท้ายก็นั่นละครับท่านผู้ชม เพราะสุดท้ายคนที่ซื้อก็เป็นแค่แฟนเก่าที่ซื้อมาเล่นแล้วก็ด่า (แต่ก็ซื้อ) ส่วนแฟนใหม่ก็ยิ่งยี้กว่าเดิมเพราะมันขาด ๆ เกิน ๆ เล่นไม่สนุกจนแฟน ๆ บ่นออกมาดัง ๆ ว่าทำมาเพื่อ (แต่ก็ซื้อ)

Resident Evil Gaiden 
Resident Evil Deadly Silence

เป็นอย่างไรกันบ้างกับการย้อนอดีตดูระบบการเล่นของ ‘Resident Evil’ ภาคเก่าที่ทำเอาผู้เล่นใหม่เมินไม่อยากเล่น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่เราหยิบมานำเสนอ ซึ่งสำหรับแฟน ‘Resident Evil’ รุ่นเก่าน่าจะเข้าใจดีว่าถ้าไม่นับเรื่องของกราฟิกกับการควบคุมที่เป็นไปตามยุคสมัย เกมซีรีส์ ‘Resident Evil’ ก็พัฒนาตัวเองน้อยมาก ๆ จนบางทีก็ถูกเกมใหม่ ๆ แซงไปแล้ว ที่กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเดินช้าเพราะหลงกับความสำเร็จเดิม ๆ แถมยังหลงทางกับการลืมจิตวิญญาณของตัวเอง ที่กว่า ‘Resident Evil’ จะหาเจอก็เล่นเอาเกมสยองขวัญอื่น ๆ แซงหมดไปแล้ว แต่ในตอนนี้เกม ‘Resident Evil’ ได้ตั้งไข่ตั้งหลักใหม่ที่เรียกแฟนเก่าและแฟนใหม่มาได้มากขึ้นกับเกมภาคใหม่ ๆ รวมถึงการเอาภาคเก่ามาเปลี่ยนให้เข้ายุคสมัย ที่ต้องรอดูกันว่า ‘Resident Evil 4 Remake’ จะเรียกแฟนใหม่ให้มาเล่นได้มากน้อยแค่ไหน มารอดูไปพร้อมกัน 24 มีนาคมนี้ และถ้าคุณชอบเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘Resident Evil’ เราก็มีบทความมากมายรอคุณอยู่ ย้อนกลับไปอ่านไปฟังได้ยาว ๆ ไม่รู้เบื่อแน่นอน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส