เมื่อได้ยินคำว่า “หลุมดำ” เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงแรงโน้มถ่วงมหาศาลที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างของมัน ไม่แปลกนักที่ภาพจำเกี่ยวกับหลุมดำ จะเป็นไปในทางทำลายล้าง แต่แท้จริงแล้ว “หลุมดำ” ไม่ได้เป็นเพียงผู้ทำลายเท่านั้น แต่ยังเป็น “ผู้สร้าง” ได้อีกด้วย
เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ใจกลางของกาแล็กซีใหญ่ ๆ ทั้งหลาย รวมถึงกาแล็กซีทางช้างเผือกที่เราสังกัดอยู่ มีหลุมดำอยู่ที่ใจกลาง และด้วยแรงโน้มถ่วงมหาศาลนี่เอง ที่ส่งผลต่อตำแหน่งที่ตั้งของดวงดาวที่รายล้อม และในบางทฤษฎี นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่าหลุมดำเล็กๆ จำนวนมากอาจจะรวมตัวกัน กลายเป็นหลุมดำมวลยวดยิ่ง (Supermassive black holes) ที่ทรงพลังได้ด้วย


และที่ฝังอยู่ในดิสก์นี้คือหลุมดำขนาดเล็กสองหลุมที่กำลังรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างหลุมดำใหม่
Credit : Caltech/R. Hurt (IPAC)
นอกจากนี้ นักดาราศาสตร์ยังเคยสังเกตเห็นหลุมดำฉีกทึ้งดาวออกเป็นเสี่ยง ๆ ภาพลักษณ์ของหลุมดำจึงอยู่ในลักษณะทำลายล้างเรื่อยมา แต่แล้วนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่ามี หลุมดำมวลยวดยิ่งที่สร้างกระแสพลังมหาศาล “ป้อน” เข้าไปยังกลุ่มเมฆหนาทึบที่เป็นแหล่งก่อเกิดดาวฤกษ์
ที่จริงแล้ว การก่อเกิดของดาวฤกษ์นั้นมีอยู่ทั่วไปในกาแล็กซีขนาดใหญ่ แต่สำหรับกาแล็กซีแคระ (Dwarf galaxies) หรือ กาแล็กซีขนาดเล็กนั้น กลับหาหลักฐานได้ยากยิ่ง หากพิจารณาโดยผิวเผิน กาแล็กซีแคระมีความคล้ายคลึงกับกาแล็กซีเยาว์วัยที่เพิ่งเกิดไม่นานหลังจากรุ่งอรุณของเอกภพ ดังนั้น การศึกษาว่า หลุมดำมวลยวดยิ่งในกาแล็กซีแคระก่อให้เกิดดวงดาวได้อย่างไร จึงอาจให้คำตอบว่า กาแล็กซีในช่วงต้นของการกำเนิดเอกภพสร้างดวงดาวขึ้นมาได้อย่างไรด้วย
ในการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบกาแล็กซีแคระ Henize 2-10 ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 34 ล้านปีแสง ในกลุ่มดาวซีกฟ้าใต้ Pyxis จากการประเมินพบว่า กาแล็กซีแคระนี้มีมวลประมาณ 10 พันล้านเท่าของดวงอาทิตย์ (กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรามีมวลประมาณ 1.5 ล้านล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์)
นักวิจัย ซาชารี สกัตต์ (Zachary Schutte) และ เอมี ไรเนส (Amy Reines) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมอนตานา (Montana State University) สหรัฐอเมริกา มุ่งความสนใจไปที่กลุ่มก๊าซจากใจกลาง Henize 2-10 ที่มีความยาวประมาณ 490 ปีแสง ซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซไอออไนซ์ที่มีประจุไฟฟ้าไหลเร็วถึง 1.1 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง (1.8 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง) การไหลออกนี้สร้างการเชื่อมต่อระหว่างใจกลางกาแล็กซีไปยังแหล่งอนุบาลดาวฤกษ์ที่อยู่ในเมฆหมอกที่เต็มไปด้วยสสารต่าง ๆ ซึ่งมีขนาดประมาณ 230 ปีแสง
หากให้เปรียบเทียบเส้นทางการเชื่อมต่อนี้ก็เหมือนสายสะดือของมารดาที่ส่งต่อสารอาหารไปยังทารกนั่นเอง
(อ่านต่อหน้า 2 คลิกด้านล่างเลย)