จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับคอนเสิร์ต  ‘VERY LIVE : WAVE TO EARTH’ ซึ่งจัดขึ้นที่ BCC Hall เซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยผู้จัดคือ The Very Company นี่คือคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในไทยของ ‘Wave to Earth’ วงดนตรีอินดี้ร็อกจากเกาหลี ที่มีเอกลักษณ์จากบทเพลงที่ผสานท่วงทำนองอันอ่อนหวานนุ่มนวลชวนฝันในกลิ่นอายดนตรีป๊อป ร็อก แจ๊ส และ lo-fi ให้เข้ากับเนื้อร้องที่เชื่อมโยงความรักให้เข้ากับธรรมชาติและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างงดงามและลุ่มลึก ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หนุ่ม แดเนียล คิม (Daniel Kim) – ร้องนำ,กีตาร์  ชิน ดงกยู (Shin Donggyu) – กลอง และ ซุนจอง ชา (Soonjong Cha) หรือ จอห์น ชา (John Cha) – เบส

23 สิงหาคม 2019 เป็นจุดเริ่มต้นของ Wave to Earth ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิล “wave” จากนั้นมาบทเพลงละมุนแต่เข้มข้นในอารมณ์ของวงก็ค่อย ๆ ทยอยถูกปล่อยออกมาเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบทเพลงที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษทำให้เข้าถึงฐานแฟนเพลงในวงกว้างได้ง่าย ปัจจุบันวงอยู่ภายใต้สังกัด ‘WAVY’ ค่ายเพลงอินดี้ ฮิปฮอป อาร์แอนด์บี ของเกาหลีที่ก่อตั้งโดย Colde

บรรยากาศของงานเป็นไปอย่างครึกครื้น เหล่าแฟน ๆ ชาวไทยมารวมตัวกันเพื่อชมวงโปรดวงนี้ที่เชื่อว่าหลายคนรอคอยที่จะให้มีคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบมานาน ยิ่งหากใครได้ไปชมวงแสดงใน Very Festival 2022 เมื่อปลายปีที่แล้วยิ่งรู้ว่าวงแสดงสดได้ดีงามน่าประทับใจแค่ไหน ก็คงจะไม่พลาดคอนเสิร์ตในครั้งนี้อย่างแน่นอน

Wave to Earth พร้อมมอบความสุขและความประทับใจให้กับแฟน ๆ แล้ว

และเมื่อเวลา 20.00 น. Wave to Earth ก็ไม่ปล่อยให้แฟนเพลงต้องรอนาน ขึ้นเล่นตรงเวลาตามที่แจ้งเอาไว้เลย เปิดตัวด้วยท่วงทำนองอันน่าหลงใหลที่ดึงดูดผู้ชมได้ตั้งแต่แรกเริ่มด้วยเพลงที่ปลุกอารมณ์เราให้เคลิบเคลิ้มกับบทเพลง “pink horizon” เป็นการอินโทรอารมณ์อันกลมกล่อมแต่ทว่าเข้มข้นของวงได้เป็นอย่างดี และมาต่อด้วยอีกบทเพลงชวนเคลิ้ม “pink” อย่างไม่รอช้าในเพลงนี้ท่อนโซโลชวนฟินมากแดเนียลเริ่มก่อนด้วยกีตาร์ ก่อนที่มือแซกโซโฟนจะเล่นในไลน์เดียวกันเติมเข้ามาอย่างโรแมนติกละมุน ทั้ง 2 เพลงนี้เป็นบทเพลงจากอัลบั้มเต็มชุดแรกที่เพิ่งปล่อยออกมาให้ฟังกันไม่นานนี้คือชื่อ ‘0.1 Flaws and All’ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของวงในการสร้างสรรค์บทเพลงที่สัมผัสใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี

ตามมาด้วยการหยิบเพลงฮิตของวงมาใส่ในเซตลิสต์ชนิดที่เรียกว่าเอาใจแฟนเพลงกันสุด ๆ  ไม่ว่าจะเป็น “nouvelle vague” บทเพลงที่มีท่วงทำนองและอารมณ์เท่ ๆ ต่อด้วย “bonfire” ที่วงค่อย ๆ ขึ้นเพลงมาอย่างช้า ๆ พาใจละมุนกับบทเพลงอารมณ์เศร้าหวานเพลงนี้ อย่างไม่มีสะดุดในอารมณ์วงก็พาเราเข้าสู่อีกหนึ่งบทเพลงเศร้าเหงาเคล้าโรแมนติกที่อย่าง “love.” เพลงนี้มีท่อนโซโลประสานกีตาร์ 2 ตัวอย่างเท่เลย คลื่นอารมณ์ที่วงซัดใส่ทำให้ผู้ชมรู้สึกฟินและอยากดูอยากฟังการแสดงของวงต่ออย่างใจจดจ่อ โน้ตแต่ละตัวจาก Wave to Earth พาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งบทเพลงที่ลึกซึ้งและดึงดูดใจแฟน ๆ ด้วยการแสดงที่ยากจะลืมเลือน

แฟน ๆ มาให้กำลังใจกันเพียบ

เปลี่ยนอารมณ์มาสัมผัสท่วงทำนองหวานโรแมนติกกันบ้างใน “sunny days” ที่พาเราล้นไปด้วยความอิ่มเอมใจอย่างแท้จริง จากนั้น Wave to Earth ก็พาเรามาสู่บทเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟน ๆ ชาวไทย นั่นคือ “peach eyes” บทเพลงแทนใจสู่สายตาอ่อนหวานอันอบอุ่นจากแฟนเพลงชาวไทย บทเพลงที่ไพเราะและมีความหมายดี ๆ เพลงนี้ได้พาใจแฟน ๆ ให้เคลิ้มไปเลย

สีสันและแสงไฟที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์เพลง

สิ่งที่ทำให้คอนเสิร์ตของ Wave to Earth มีความโดดเด่นอย่างแท้จริงคือความสามารถในการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้ชมอย่างใกล้ชิด เสียงร้องที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของแดเนียล ผสมผสานกับการตีกลองที่ลื่นไหลของดงกยู และเบสไลน์ที่หนักแน่นแต่พลิ้วไหวของจอห์น ก่อให้เกิดการผสานกันที่น่าอัศจรรย์ อีกทั้งความเป็นกันเอง และการสื่ออารมณ์มาสู่ผู้ฟังได้สร้างบรรยากาศของความสนิทสนมกันและแบ่งปันความรักในเสียงดนตรีระหว่างวงกับแฟน ๆ นอกจากนี้ปกติแล้ว Wave to Earth จะมีกันอยู่ 3 คนแต่ในเวลาโชว์จะมีอีก 2 สมาชิกคือ จองมิน (Jeon Min) และ โช จองกึน (Cho Jonggeun) เข้ามาเติมในตำแหน่งของแซกโซโฟนและคีย์บอร์ดช่วยเติมเต็มท่วงทำนองเพิ่มความละมุนอารมณ์และเข้มข้นเร้าใจให้กับทุกท่วงทำนองของพวกเขา

ทุกครั้งที่เสียงแซ็กเข้ามามันได้อารมณ์จริง ๆ
เสียงนี้ที่ขาดไปไม่ได้ เติมเต็มความสมบูรณ์ของบทเพลง
ความเท่ของแดเนียลและจอห์น
ดงกยูมือกลองอารมณ์ดี

เมื่อเรากำลังตื่นเต้นกันขึ้นเรื่อย ๆ ท่วงทำนองของ “wave”  ซึ่งเป็นซิงเกิลเปิดตัวของวงก็ดังขึ้นเป็นเพลงต่อมา พาเราเพลินไปกับบทเพลงอันไพเราะบนท่วงทำนองที่ทำให้เราได้รู้จักกับพวกเขา จากนั้น Wave to Earth ก็พาเราไปสนุกกันต่อกับ “surf” ที่มีจังหวะและลูกเล่นดนตรีที่เท่ ๆ ในขณะที่กำลังเพลินกับการล่องไหลไปในห้วงแห่งอารมณ์ Wave to Earth ได้ขับกล่อมผู้ชมด้วยเพลง “bad” อีกหนึ่งบทเพลงเพราะ ๆ ที่ถือได้ว่าฮิตสุด ๆ เลยของวง เพลงนี้แฟน ๆ ร้องตามกันสนั่นฮอลล์เลยทีเดียว

เชื่อมต่อเซตเพลงต่อไปด้วย “akira” บทเพลงบรรเลงที่แดเนียลวางไมค์และเปลี่ยนไปเล่นคีย์บอร์ดผสานไปกับไลน์เบสแน่นหนึบของจอห์นและกลองที่ลื่นไหลของดงกยู เติมสีสันด้วยแซกโซโฟนและคีย์บอร์ดในท่วงทำนองกลิ่นแจ๊ซละมุนแต่ชวนพิศวงหลงใหล จากนั้นก็เข้าสู่เซตบทเพลงอันร้อนแรงและเข้มข้นอย่าง “so real” ที่ท้ายเพลงนี่จัดกันเต็มเหนี่ยวเลย ต่อด้วย “dried flower” บทเพลงอารมณ์เซ็กซี่เข้มลึก ตามมาด้วย “sunburn” ที่เร่าร้อนสมชื่อ และมาจบที่บทเพลงอารมณ์เข้มเหงาลึกอย่าง “homesick” ขับเคลื่อนผู้ชมให้เข้าสู่ภาวะดิ่งลึกเต็มพิกัด

แดเนียลวางไมค์และเปลี่ยนไปเล่นคีย์บอร์ด
กีตาร์ผสานแซกโซโฟน ฟินกันสุด ๆ

ก่อนที่จะเข้าสู่เพลงต่อไป Wave to Earth ก็พักพูดคุยกับแฟน ๆ ก่อน แดเนียลได้หยอดคำหวานกับแฟน ๆ ว่า “นี่คือประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตของผมเลย” หลักจากพาใจแฟน ๆ ฟูฟ่องแล้ว อีกหนึ่งโมเมนต์น่าประทับใจก็เกิดขึ้น เมื่อท่วงทำนองแรกของเพลงต่อมาดังขึ้นพร้อมกับประกายจากกระดาษสีทองที่ระเบิดล่องลอยทั่วฮอลล์ ต้อนรับท่วงทำนองของเพลง “light” ที่แฟน ๆ รอคอย ซึ่งเป็นเพลงฮิตที่แฟน ๆ ร้องตามกันได้ทั้งฮอลล์ ตามมาด้วยท่วงทำนองอันน่าหลงใหลของเพลง “daisy.” ซึ่งเป็นเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เชื่อมความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างวงกับแฟนเพลง และมาต่อด้วย “ride” ที่พอได้ฟังสด ๆ แล้วเพลงนี้มีพลังมากเลย

สาดอารมณ์ร็อกกันซะหน่อย
เป็นวงที่ละมุนก็ได้เร้าใจก็โดน
โมเมนต์มันส์ ๆ ของดงกยู

เพลงนี้ Wave to Earth บอกว่าเป็นเพลงสุดท้าย (ตามสูตร) ก่อนที่จะลาแฟน ๆ หายไปหลังเวที แต่เพียงไม่นานวงก็กลับมาพร้อมเสียงกรี๊ดต้อนรับจากแฟน ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะพาเราไปสู่ช่วง encore สุดสะใจเพราะวงใส่เพลงมาอีกเพียบ เปิดด้วยบทเพลง “seasons” บทเพลงสุดละมุน ไพเราะและลุ่มลึกหนึ่งในช่วงเวลาไฮไลต์ (สำหรับเรา ผู้รอคอยบทเพลงนี้อย่างใจจดใจจ่อ) นับว่าการมาปล่อยเพลงนี้ในช่วงเปิด encore เป็นจังหวะที่ลงตัวดีแท้ จากนั้นก็มาถึงเวลาของเพลง “evening glow” บทเพลงจากอัลบั้ม  ‘0.1 flaws and all’ ที่นับว่าเป็นช่วงเวลาน่าประทับใจสุดเซอร์ไพรส์ของโชว์เลย เพราะจอห์น ชา เป็นคนร้องในเพลงนี้ แฟน ๆ หลายคนกรี๊ดดีใจ เพราะว่าอยากเห็นจอห์นร้องเพลงสด ๆ สักครั้ง ด้วยความน่ารัก เป็นกันเอง และความเอาใจใส่ที่ชอบสรรหาคำไทยมาพูดกับแฟน ๆ เสมอ ทำให้แฟน ๆ นั้นชื่นชอบเขามาก ๆ ในเพลงนี้แดเนียลเปลี่ยนไปเล่นเบสแทน และจอห์นได้มาอยู่ตรงตำแหน่งกลางเวทีสะพายกีตาร์และร้องเพลง “evening glow” ไปอย่างอบอุ่นและน่าประทับใจ เป็นโมเมนต์ที่แฟน ๆ รู้สึกฟินกันจริง ๆ 

จอห์น ชา ผู้น่ารักของแฟน ๆ

ในช่วง encore ปกติศิลปินก็จะมาเพียงเล่นเพียง 2-3 เพลง แต่สำหรับ Wave to Earth แล้วพวกเขาจัดเต็มซัดเราด้วยคลื่นบทเพลงอีกหนึ่งชุด เพลงแรกคือ “pueblo” เพลงที่มาพร้อมท่วงทำนองและจังหวะสบาย ๆ พาใจเบิกบาน ก่อนจะจบด้วยบทเพลงที่เล่นไปแล้วแต่แฟน ๆ ก็ยังอยากฟังอีกอย่างแน่นอน นั่นคือ “daisy.” , “bad” และ “light” เป็นอะไรที่ดีไม่น้อยเลยเพราะหลายครั้งวงต่าง ๆ ที่มาแสดงโชว์มักจะไม่ค่อยได้นำเพลงที่เล่นไปแล้วมาเล่นซ้ำอีก แต่กับ Wave to Earth นี่จัดเต็มกันถึง 3 เพลงเรียกได้ว่าพาฟินสุด ๆ เป็นการเลือกชุดเพลงเพื่อจบโชว์ได้อย่างลงตัวและก็เป็นการจบโมเมนต์ได้อย่างน่าประทับใจ มอบช่วงเวลาดี ๆ ส่งท้ายโชว์ให้แฟน ๆ กลับบ้านอย่างมีความสุข  

แดเนียล ‘ลูกรักพระเจ้า’
โมเมนต์ฟิน ๆ ที่แดเนียลลงไปหาแฟน ๆ มีหยิบโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่ให้แฟน ๆ เองด้วย

ตั้งแต่ต้นจนจบ ‘Wave to Earth’ ได้มอบความสุขและความประทับใจให้กับแฟน ๆ ชาวไทยในทุกท่วงทำนองที่พวกเขาได้เล่นในโชว์นี้ ความทุ่มเทของวงฉายแววผ่านทุกโน้ตที่พวกเขาเล่น ทำให้ผู้ชมฟินกันมาก ๆ  เป็นประสบการณ์ที่อันน่าประทับใจที่แฟน ๆ ของวงได้สัมผัสกับ Wave to Earth อย่างใกล้ชิดและได้สัมผัสการแสดงของวงที่ได้แสดงศักยภาพอันล้นเหลือ นับเป็นหนึ่งเวทีที่สำคัญและเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจไม่เพียงแต่สำหรับแฟนเพลง แต่สำหรับวงเองก็คงเป็นดังที่แดเนียลได้บอกไว้ว่าโชว์นี้คือช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตของเขา และมันก็เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจของแฟน ๆ ด้วยเช่นกัน ไว้เจอกันในคอนเสิร์ตหน้านะ ‘Wave to Earth’

แชะ ! เก็บภาพความประทับใจกันซะหน่อย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส