[รีวิวเกม] ‘Disgaea 7: Vows of the Virtueless’ เกมวางแผนการรบตะลุยโลกใต้พิภพ
Our score
8.0

Disgaea 7: Vows of the Virtueless

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์เข้าใจง่าย รวดเร็ว
  2. งานออกแบบและกราฟิกดูดีในแบบการ์ตูน
  3. ระบบการเล่นสนุก ฉากออกแบบดี

จุดสังเกต

  1. รูปแบบการเล่นเชยและค่อนข้างเป็นเกมเฉพาะกลุ่มไปแล้ว

หากจะพูดถึงซีรีส์ ‘Disgaea’ หลายคนคงจะนึกถึงเกมวางแผนการรบที่อาจจะดูเชยไปแล้ว แต่ก็มีแฟนประจำอยู่มากพอที่จะทำให้ทีมงานจะสร้างภาคต่อมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบนคอนโซลหรือบนสมาร์ตโฟน แม้ว่าอาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับเกมอื่นแต่ก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่ขายได้เรื่อย ๆ

และภาคล่าสุดอย่าง ‘Disgaea 7: Vows of the Virtueless’ ที่วางขายบนคอนโซล PlayStation 5, PlayStation 4, Nintendo Switch รวมทั้งบน PC ด้วยตามชื่อภาคที่มันเป็นการกลับมาครั้งที่ 7 หลังจากออกภาค 6 ไปไม่นานนัก และหากเคยเล่นภาค 6 มาก่อนคงจะจำได้ว่ามันเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ของซีรีส์เพราะมีการเปลี่ยนกราฟิกตัวละครให้เป็น 3 มิติเต็มรูปแบบ และภาคล่าสุดก็ยังคงสานต่อใช้กราฟิกแบบเดิมที่ทำให้เกมดูดีไม่เชย

ส่วนเนื้อเรื่องในภาคนี้จะเกิดขึ้นใน “Hinomoto Netherworld Cluster” โลกใต้พิภพที่คราวนี้จะเกิดความวุ่นวายเพราะว่าผู้บัญชาการปีศาจนาม ‘Opener’ ทำให้ตัวเอกต้องออกรวบรวมเหล่าผู้กล้าทั่วสารทิศเพื่อออกค้นหาอาวุธในตำนานเพื่อมาต่อสู้กับปีศาจร้าย โดยรวมเนื้อเรื่องเล่าแบบไม่ซับซ้อนและมีการใช้การ์ตูนภาพนิ่งที่ดูดีงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์มาตั้งแต่ภาคแรกอยู่ครบ

กราฟิกดูง่ายผสม 2D และ 3D ได้ลงตัว

อย่างที่บอกไปว่าตั้งแต่ภาค 6 ตัวเกมได้ปรับเปลี่ยนภาพของตัวละครให้กลายเป็น 3D แบบเซลเฉดที่สามารถจำลองภาพการ์ตูนที่มาแบบอนิเมะได้ดี ตัวละครมีเอกลักษณ์และมีงานออกแบบที่โดดเด่น แม้ว่าโดยรวมมันจะดูธรรมดา และงานออกแบบฉากดูเรียบ ๆ ไปหน่อยแต่หากมองถึงความลื่นไหลในการเล่นถือว่ายอมรับได้

ในส่วนของคัตซีนก็มีการใส่เข้ามาให้ชมด้วยแต่จะมีไม่มากนัก หลัก ๆ เกมจะใช้ภาพนิ่งของตัวละครมาเดินเรื่อง แต่เชื่อว่ามันเป็นรูปแบบหลักของเกมแนวนี้อยู่แล้วแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเกมบนสมาร์ตโฟนไปหน่อยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มีการลงทุนใส่เสียงพากย์เข้ามาตลอด ส่วนดนตรีประกอบทำได้ดีตามมาตรฐานซีรีส์ ‘Disgaea’ ที่อาจไม่โดดเด่นติดหูแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

เกมเพลย์แนววางแผนแบบคลาสสิก

หากคุณเคยเล่นซีรีส์ ‘Disgaea’ ก็คงไม่ต้องอ่านรีวิวต่อเพราะเกมเพลย์มันเหมือนเดิม ให้ไปหามาเล่นได้เลยหากชอบแนวทางเดิม ๆ ที่ผู้สร้างนำเสนอ แต่หากไม่เคยเล่นมาก่อนก็อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่ามันมาแนววางแผนการรบที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค 90S ที่นำเสนอด้วยมุมกล้องแนวเฉียงมองจากด้านบนคล้ายกับเกมในตำนานอย่าง ‘Final Fantasy Tactics’

ผู้เล่นจะได้กดใส่คำสั่งเพื่อบังคับตัวละครให้เดินโดยจะแบ่งเป็นช่อง ๆ คล้ายกับตารางหมากรุก เพื่อนำตัวละครสู่สมรภูมิสงครามแล้วต่อสู้กับศัตรู และจะใช้ระบบการใส่คำสั่งเพื่อโจมตีและใช้ท่าไม้ตาย รวมทั้งเติมพลังด้วย ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่นที่ดูเชยแต่ก็เข้าใจง่ายใคร ๆ ก็เล่นได้ และเนื่องจากผู้สร้างได้ใส่ความลื่นไหลในการเล่นทำให้เกมเพลย์เดินไปอย่างรวดเร็วทำให้ไม่น่าเบื่อ แฟนเกมรุ่นใหม่ก็เล่นได้โดยไม่รู้สึกว่าเกมมันช้าแบบเกมยุคเก่า

ไม่ได้ง่าย ๆ ต้องวางแผนกันให้ดี

ความสนุกของเกมไม่ได้มีแค่ระบบของเกมที่เข้าใจง่าย ยังมาพร้อมกับการวางแผนที่ต้องคิดวางแผนให้ดี จะเดินตัวละครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะศัตรูจะเข้ามารุมเราตายอย่างง่ายดาย ดังนั้นผู้เล่นต้องคิดวางแผนให้ดี และเลือกใช้ท่าไม้ตายให้ถูกกับตัวละครเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และยังมาพร้อมกับการแพ้ทางกันด้วย รวมทั้งยังมีการวางกลยุทธ์เพื่อให้เกิดท่าประสานที่มีความรุนแรงด้วย แม้จะไม่ใช่ของใหม่ของเกมแนวนี้แต่ก็ทำให้เกมสนุกขึ้นมาก

และจุดเด่นของซีรีส์คือระบบการโยนตัวละครที่ทำได้ทั้งฝ่ายเราและศัตรูก็ยังคงมีและทำให้เกมสนุกกว่าเดิม เพราะหากวางแผนดี ๆ ก็จะผ่านไปได้ไม่ยาก และระบบนี้ยังใช้ในการยกสิ่งของที่อยู่ในฉากได้ ซึ่งเมื่อยกแล้วจะสามารถเปิดทางหรือแก้ปริศนาเล็ก ๆ ในด่านด้วย ถือว่ายังคงเป็นโหมดที่ทำหน้าที่ได้ดีและทำให้มีความแตกต่างจากเกมวางแผนอื่น

ดังนั้นการวางแผนจำเป็นมาก และยังมีระบบอัปเกรดตัวละครที่เรียบง่ายมีระบบเลเวลเพื่อเพิ่มค่าพลังในส่วนต่าง ๆ และเพิ่มท่าไม้ตายใหม่ รวมทั้งซื้ออาวุธเครื่องป้องกันหรือยาเติมพลังซึ่งเป็นรูปแบบเดิม ๆ ที่เกมไหนก็มี ฟังดูอาจจะเชยแต่ก็เป็นระบบที่เข้าใจง่าย และความดีงามอีกอย่างคือระบบสกิลในเกมที่ใส่เข้ามาให้ใช้งานเยอะมาก และจะส่งผลกับการต่อสู้ได้หลากหลายยิ่งบวกกับตัวละครที่มีให้เลือกเล่นมากมายทำให้เราสามารถอยู่กับเกมได้ยาวนานแค่ในส่วนของโหมดตั้งค่า ใครชอบระบบที่มีอะไรให้ทำมากต้องชอบ

ส่วนระบบการเข้าฉากต่อสู้ในเกมที่ไม่ยุ่งยาก เพราะมีฉากหลักในเมืองเหมือนเป็นฐานทัพของเราและจะค่อย ๆ ปลดล็อกส่วนที่จะต้องไปทำภารกิจไปเรื่อย ๆ จนจบถือว่าเป็นรูปแบบที่เข้าใจง่าย และเดินเรื่องได้รวดเร็วมาก แม้โดยรวมมันก็ยังคงมีข้อเสียเดิม ๆ ซึ่งก็คือมันเป็นเกมที่สร้างมาเฉพาะกลุ่มหรือแฟนตัวจริงอยู่ไม่เปลี่ยน

การมาอีกครั้งของ ‘Disgaea 7: Vows of the Virtueless’ แม้จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องกราฟิกและรูปแบบการเล่น เพราะหากมองแค่ภายนอกมันอาจจะดูธรรมดาและเชยไปแล้ว แต่สำหรับแฟนตัวจริงที่เล่นมาทุกภาคมันยังคงมีความสนุกที่เข้าถึงได้ง่าย และมีระบบที่มีอะไรให้ทำมากมายรวมทั้งเกมมีความสนุกท้าทายในรูปแบบวางแผนการรบในอดีต ใครชอบแนวทางนี้ไม่ควรพลาด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส